บทที่ 1114 ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ
ร่องลึกเกิดขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลุกลามผ่านที่ใด แผ่นดินก็ระเบิดปริแตก อีกทั้งเทือกเขาแห่งหนึ่งที่คั่นอยู่ระหว่างร่องลึกนี้ ก็ถึงกับถูกตัดแบ่งออกเป็นสองท่อน
ไม่เพียงแต่พื้นดินเท่านั้น เก้าชั้นฟ้าเบื้องบนก็คล้ายจะเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งเมื่ออยู่ภายใต้การถูกบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ก็เหมือนจะมีรอยปริแตกหลายเส้นปรากฎขึ้น แล้วผสานเข้าหากันอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ขณะเดียวกันในร่องลึกที่เกิดขึ้นระหว่างฟ้าและดินนี้ก็พร่างพราวไปด้วยแสงสีฟ้า มองไกลๆ ก็ราวกับว่ามีม่านแสงสีฟ้าไร้ที่สิ้นสุดแผ่ปกคลุมเป็นแนวตั้ง กางกั้นระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและกงซุนหว่านเอ๋อร์เอาไว้!
พวกนักพรตราชวงศ์จักรพรรดิแสด้านหลังกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่เดิมที เตรียมจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ เวลานี้ต่างก็พากันสูดลมหายใจดังเฮือก แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี ถอยหลังออกห่างอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียเขตการปกครองอวิ๋นไห่ไปแห่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่หากชีวิตก็เสียไปด้วย นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่
อันที่จริงหากคิดจะเข้าไปในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ยังมีวิธีอื่นอีก เพราะอย่างไรซะสถานที่แห่งนี้ก็เป็นแค่หนึ่งในทางเข้าเท่านั้น หากอ้อมไปอีกทางก็ใช่ว่าจะเข้าไปในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ไม่ได้
ทว่าในฐานะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเทียนจุน ท่าทีของเขาได้แสดงให้รู้ถึงการตัดสินใจที่เฉียบขาด ต่อให้เข้าไปในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ทางพื้นที่อื่นได้จริง ทว่าผลลัพธ์สุดท้าย…ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
เว้นเสียแต่ว่าเทียนจุนมารดาผีจะถ่วงเวลาป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนก็สามารถยกทัพเข้าไปบดขยี้พวกต้าเทียนซือที่รุกรานเข้าไปในเขตการปกครองอวิ๋นไห่
ทว่าตอนนี้เมื่อทุกคนเห็นม่านแสงสีฟ้าเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
โดยเฉพาะกระบี่ใหญ่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถือไว้ในมือ พวกเขาก็ยิ่งครั่นคร้าม ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลในปัจจุบันนี้มีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเทียนจุนคนที่สิบเอ็ด ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือจนไม่มีใครไม่รู้จัก และแน่นอนว่ากระบี่แห่งโลกที่เขาครอบครองก็ย่อมต้องได้รับความสนใจจากคนทั้งโลก
“นี่ก็คือ…สมบัติแห่งโลกชิ้นหนึ่ง!”
“ได้ยินมาว่าหลอมขึ้นมาจากแผ่นดินผืนหนึ่งของโลกทงเทียน…”
“ในบรรดาเทียนจุนก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ครอบครองสมบัติแห่งโลก ราชาทงเทียนมีสมบัติชิ้นนี้อยู่ในมือ พลังการต่อสู้ของเขาก็ต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า!”
ขณะที่ทุกคนพากันตกตะลึง กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ยืนจ้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตรงนั้นพลันคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนี้แฝงความน่าขนลุก ทั้งในดวงตานางยังมีประกายประหลาดวาบผ่าน เพียงยกมือขึ้นโบกเบาๆ สี่ด้านแปดทิศก็มีปราณผีอึมครึมน่าสยองแผ่กระจายไปทั่ว
“พอดีเลย ข้าเองก็อยากจะดูว่า หลังจากที่พี่ชายน้อยเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนแล้ว…จะแข็งแกร่งกว่าเก่ามากน้อยแค่ไหนกันแน่!”
เสียงหัวเราะของกงซุนหว่านเอ๋อร์ดังขึ้นพร้อมๆ กับที่นางก้าวออกมาจากเรือรบหนึ่งก้าว เรือนกายที่สวมกระโปรงยาวสีชาดผนวกกับเส้นผมสีนิลที่ปลิวไสว ยิ่งขับให้นางดูงดงามหยดย้อย ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกน่ากริ่งเกรงอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพอนางเลียริมฝีปากก็ถึงกับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไพล่นึกไปถึงความทรงจำในอดีตทันที
ขณะเดียวกันกับที่ก้าวเดินออกมา มือขวาของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ยกขึ้นทำมุทราชี้ไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทันใดนั้นฟ้าดินรอบด้านพลันดังกึกก้อง ไอหมอกผุดลอยขึ้นมาจากพื้นดิน ในไอหมอกนี้มีเสียงคำรามแหบโหย และพริบตาเดียวก็มีมือผีขนาดใหญ่ยักษ์หลายข้างเอื้อมออกมาหมายคว้าตัวป๋ายเสี่ยวฉุน
ซ้ำเมื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์อ้าปากก็มีเสียงคร่ำครวญโหยไห้ดังออกมา เสียงนี้ประหนึ่งเสียงผีร้องไห้ เพียงดังขึ้นฟ้าดินก็บิดเบือน ก่อนที่คลื่นเสียงไร้เสียงที่คนนอกไม่ได้ยินนี้ จะพุ่งจากทั่วสารทิศตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
ยังไม่สิ้นสุด กงซุนหว่านเอ๋อร์โบกมือขวาหนึ่งครั้ง มือของนางก็พลันยืดยาวออกไปราวกับไร้ขีดจำกัด กลายมาเป็นมือผีที่คว้าจับไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ทุกอย่างนี้พูดแล้วช้า แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วลัดนิ้วมือ
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นเยือก ยกกระบี่ใหญ่ในมือขึ้นฟันฉับลงไปอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงที่ดังเกริกก้องไปแปดทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือซ้ายกำเป็นหมัดและเมื่อหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญร่วงลง น้ำวนใหญ่ยักษ์ที่ก่อตัวพร้อมเสียงกัมปนาทก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยออกไป กวาดตะลุยแปดทิศ ฉีกกระชากหมอกผีให้กระจุยกระจาย ขณะเดียวกันความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดออกอีกครั้ง ชนาเขย่าภูเขาถูกกระตุ้นใช้ เป็นเหตุให้ร่างของเขาเหมือนภูเขาลูกยักษ์ที่แหวกอากาศมาโผล่พรวดอยู่เบื้องหน้ากงซุนหว่านเอ๋อร์แล้วเงื้อกระบี่ขึ้นฟันอีกครั้ง
เสียงหัวเราะของกงซุนหว่านเอ๋อร์ดังกระหึ่ม นางไม่ได้หลบเลี่ยง แต่พลันอ้าปากกว้าง ปากของนางพิลึกพิสดารอย่างถึงที่สุด เพราะพออ้าออกมันก็ขยายใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุดทันที พริบตาเดียวก็เหมือนหลุมดำหลุมหนึ่งที่ตรงเข้ากลืนกินป๋ายเสี่ยวฉุน
และท่ามกลางขั้นตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความหวาดผวาว่าพลังชีวิตเป็นเส้นๆ ในร่างของเขาถูกดึงดูดเข้าไปในปากใหญ่ของกงซุนหว่านเอ๋อร์ นี่ทำให้เขาถึงกับสูดหายใจดังเฮือก
“กงซุนหว่านเอ๋อร์ เจ้าเอาจริงหรือนี่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพลางร่ายใช้คาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยน เสียงตูมตามดังกึกก้องพร้อมๆ กับที่ร่างของเขาขยายใหญ่ถึงร้อยจั้ง
อาศัยการระเบิดในฉับพลันขยายพลังของเนื้อหนังมังสาออกไปไพศาล ทำลายแรงดึงดูดจากปากใหญ่ของกงซุนหว่านเอ๋อร์แล้วเคลื่อนตัวเบี่ยงหลบในชั่วพริบตา
ทว่าชั่วขณะที่เขากำลังหลบเลี่ยงนั้นเอง กงซุนหว่านเอ๋อร์กลับหัวเราะคิกคัก
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ พี่ชายน้อย” ขณะที่เสียงของนางยังล่องลอยไปรอบด้าน นางก็กระโจนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเร็วที่ไต่ทะยานสู่ขีดสูงสุดจนความว่างเปล่าบิดเบือนและมิอาจมองเห็นร่างของนางได้อย่างชัดเจน ซ้ำมือซ้ายของนางยังเหมือนกลายมาเป็นภาพมายาที่ประกอบขึ้นจากหมอกควันดำทะมึน และไอหมอกที่ลอยกรุ่นแผ่ออกมาด้านนอกราวหนวดปลาหมึกนั้นยังกลายร่างมาเป็นงูพิษที่แลบลิ้นสองแฉก ก่อนจะฉกเข้าไปที่หน้าอกของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ถอยกรูดไปข้างหลังอีกครั้ง
เมื่อมองออกว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์คิดจะสังหารเขาจริงๆ ก็ให้ปวดหัวขึ้นมาครามครัน แม้ว่าครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะได้เขตการปกครองอวิ๋นไห่จริงๆ แต่ก็ไม่อยากแตกหักกับกงซุนหว่านเอ๋อร์ ตามความเห็นของป๋ายเสี่ยวฉุน การที่ยึดเขตการปกครองแห่งหนึ่งมาได้ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาราชวงศ์จักรพรรดิแสและราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็ตีกันอยู่ในเขตทิศเหนือนี่มาตลอดเวลาอยู่แล้ว
“กงซุนหว่านเอ๋อร์ เจ้าบีบบังคับข้าเองนะ!” เมื่อเห็นความเอาจริงเอาจังของกงซุนหว่านเอ๋อร์ ตอนที่ถอยหนีป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันยกมือขวาขึ้นทำมุทรา ทันใดนั้นพลังแห่งเวลาที่หมุนย้อนกลับก็คล้ายจะแผ่ออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เม็ดทรายรอบกายเขาไหลย้อนกลับเหมือนเวลาที่หวนคืนไปยังอดีตจนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชวนพิศวงขึ้นมา
ขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็พลันชี้ไปที่กงซุนหว่านเอ๋อร์พลางพ่นคำห้าคำออกมา!
“คัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีต!”
“สมควรตายนัก!” กงซุนหว่านเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีเป็นครั้งแรก เพราะสิ่งที่นางเกรงกลัวที่สุดหาใช่กระบี่ใหญ่แห่งโลกของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นวิชาอภินิหารวิชานี้!
หากเป็นกระบี่ใหญ่แห่งโลก นางยังพอจะมีวิธีรับมือได้บ้าง ทว่าวิชาอภินิหารที่มีความเกี่ยวข้องกับเวลาอย่างอัศจรรย์เช่นนี้นางมิอาจต้านทานได้เลย ดังนั้นที่ก่อนหน้านี้นางชิงลงมือก่อนก็เพราะไม่ต้องการเปิดโอกาสให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ร่ายใช้วิชานี้
ทว่าการเติบโตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้นางตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นกัน เวลาเพียงสั้นๆ เขากลับขยับเข้าไปใกล้จุดสูงสุดของเทียนจุนขั้นต้นมากทุกขณะ ยามนี้ร่างของนางถอยกรูดไปข้างหลังหมายจะเบี่ยงหลบ ทว่านางยังคงไม่เข้าใจวิชาอภินิหารนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนดีพอ ในเมื่อวิชานี้เกี่ยวข้องกับเวลา เมื่อร่ายออกมาแล้ว มีหรือที่จะหลบเลี่ยงกันได้ง่ายๆ!
ทันใดนั้นเมื่อนิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนร่วงลงมา รอบกายของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็มีอักขระนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาทันที อักขระเหล่านั้นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวลดต่ำเดี๋ยวพุ่งขึ้นสูง ทำให้เรือนกายของกงซุนหว่านเอ๋อร์สั่นเทิ้มไปพร้อมๆ กับที่นัยน์ตาฉายความเลื่อนลอย!
ดูเหมือนว่าความทรงจำของนางจะถูกดึงออกมาจากความมืดมิดที่มองไม่เห็น ครั้นจึงกลายมาเป็นอักขระ และเมื่ออักขระพวกนี้เปล่งประกายวิบวับต่อเนื่องก็ได้สร้างวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งที่มิอาจอธิบายได้อย่างแน่ชัดขึ้นมา
เมื่อเห็นว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ถูกอักขระผนึกร่างเอาไว้ นัยน์ตาก็ลอยคว้าง
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ต้องการจะทำร้ายให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจริงจังจนเป็นการทิ้งต้นตอแห่งหายนะไว้ให้ตัวเองในภายหลัง ทั้งยังอาจจะตัดขาดความสัมพันธ์ของคนทั้งสองที่เคยมีมาจึงได้แต่กัดฟันกรอด
“ดูท่าคงต้องใช้กระบวนท่านั้นแล้วล่ะ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ไม่สนใจว่ายังมีคนอีกมากมายที่จับตามองอยู่ เพียงระเบิดความเร็วมาโผล่อยู่ข้างกายกงซุนหว่านเอ๋อร์ ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นแล้วฟาดลงไปบนก้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์อย่างแรงภายใต้อาการปากอ้าตาค้างของคนจากราชวงศ์จักรพรรดิแส
เสียงเพี๊ยะดังลั่นชัดแจ๋วก้องไปสี่ทิศ ทำเอาทุกคนที่เห็นภาพนี้เบิกตากว้าง สมองว่างเปล่าขาวโพลน อึ้งค้างกันอยู่ตรงนั้น
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” กงซุนหว่านเอ๋อร์ตัวสั่น ดวงตาที่เลื่อนลอยมีแววแห่งการดิ้นรนรุนแรง นางกรีดร้องเสียงแหลมจนป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นรัว รีบฟาดลงไปอีกที เป็นเหตุให้ร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์สั่นแรงยิ่งกว่าเดิม
“ยกเขตการปกครองอวิ๋นไห่ให้ข้าได้ไหม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนข่มกลั้นอาการหวาดหวั่นในใจ รีบถลึงตาคำรามดุดัน
“เจ้า…ไร้ยางอาย…” กงซุนหว่านเอ๋อร์เพิ่งจะเอ่ยมาได้แค่นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฟาดลงไปอีกที ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ทำให้พวกนักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิแสตะลึงงันกันไปอย่างสิ้นเชิง
สายตาที่เลื่อนลอยของกงซุนหว่านเอ๋อร์เริ่มเคว้งคว้างเหมือนคนสติหลุดหาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็เงื้อมือเตรียมฟาดลงไปอีกครั้ง ทว่าเวลานี้เอง ไม่รู้ว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ร่ายใช้วิชาใด จู่ๆ ในร่างนางก็มีเสียงปังดังออกมาพร้อมกับไอหมอกสีดำระเบิดเทียมฟ้า ไอหมอกนี้กลายมาเป็นพลังโจมตีที่ผลักป๋ายเสี่ยวฉุนออกห่าง ส่วนตัวนางเองที่ถูกไอหมอกคลุมไปทั้งกายก็ถอยร่นไปข้างหลัง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ฝากไว้ก่อนเถอะ!!” ในไอหมอกมีเสียงที่เคียดแค้นสุดขีดของกงซุนหว่านเอ๋อร์ดังลอยมา ทว่าดูเหมือนนางจะไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีก
พอพูดจบ ไอหมอกนั้นจึงม้วนตลบพุ่งทะยานจากไปไกล
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อกสั่นขวัญผวากระแอมเบาๆ พลางมองพวกคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสที่ตาค้างกันไปเรียบร้อย พอกะพริบตาปริบๆ เขาก็หวนกลับไปที่ยอดเขาแล้วนั่งลงทำสมาธิอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จงใจวางท่าให้ตัวเองดูเย่อหยิ่งเย็นชา
พวกคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสหันมามองหน้ากัน เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่ทุกคนซึ่งมีสีหน้าปั้นยากจะพากันถอยร่น
พวกเขาจะไม่ถอยก็ไม่ได้ เพราะขนาดเทียนจุนมารดาผียังจากไปแล้ว พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อจะมีประโยชน์อะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่…พวกเขาพอจะมองออกว่าระหว่างท่านผู้นี้กับเทียนจุนมารดาผี คล้ายจะมีความสัมพันธ์บางอย่างที่คลุมเครือ…พูดไม่ออกบอกไม่ถูก…