บทที่ 1164 ท่านทูตใหญ่แห่งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง
เนื้อความในพระราชโองการ มีเพียงประโยคเดียว!
แต่งตั้งให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ตัวตนของราชาทงเทียนกลายไปเป็นท่านทูตใหญ่ของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งที่ไปประจำการอยู่ในนครจักรพรรดิแส!!
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ นับตั้งแต่ชั่วขณะที่รับพระราชโองการมาไว้ในมือ แม้ตัวตนราชาแห่งทิศเหนือของดินแดนเซียนแห่งที่สองของเขาจะยังรักษาไว้ได้ แต่ก็เหมือนเป็นการถอดถอนอย่างไร้รูปลักษณ์ เปลี่ยนเขาให้กลายมาเป็นท่านทูตใหญ่ที่ต้องเดินทางไปยังนครจักรพรรดิแสแทน!
ทั้งสองราชวงศ์ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็มีทูตใหญ่ไปประจำการอยู่ในนครหลวงของอีกฝ่าย โดยทั่วไปแล้วตำแหน่งท่านทูตใหญ่นี้มักจะมีครึ่งเทพอาวุโสเป็นผู้รับผิดชอบ มีบ้างบางกรณีที่จะให้เทียนจุนมารับหน้าที่
ท่านทูตใหญ่คนเก่าที่ไปอยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิแสก็คือซือหม่าอวิ๋นหัว เพียงแต่ว่าเวลาปกติเขามักจะไม่ค่อยเดินทางไปที่นครจักรพรรดิแสสักเท่าใดนัก เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่งมากกว่า
ทว่าตอนนี้เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ซือหม่าอวิ๋นหัวได้รับเมื่อครั้งประมือกับเทียนจุนจักษุไพศาล ไม่ว่าเขาจะยินดีหรือไม่ ก็ยังถูกจักรพรรดิเซิ่งใช้โอกาสนี้มาปลดเขาออกจากตำแหน่ง แล้วยกให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแทน!
ในความเป็นจริงแล้วนี่ก็คือความคิดที่ตระเตรียมอยู่ในใจจักรพรรดิเซิ่งมานาน นับตั้งแต่ที่เขตการปกครองอวิ๋นไห่ลุกผงาด สำหรับจักรพรรดิเซิ่งแล้ว เขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็ถือเป็นพื้นที่ล้ำค่าแห่งหนึ่ง และการมีตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้เขาปวดหัวอย่างมาก
ซ้ำตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนยังพิเศษ จักรพรรดิเซิงที่อยากมีที่ยืนในใจของนักพรตแห่งโลกทงเทียนทุกคนด้วยภาพลักษณ์ของคนดีมีคุณธรรมจึงไม่อาจปล่อยให้ตัวเองต้องแปดเปื้อนหรือตกเป็นที่ประนามของคนอื่น
ถ้าเช่นนั้นการโยกย้ายส่งตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไปอยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิแส ไม่ว่าจะยืมมีดฆ่าคนก็ดี หรือจะปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปชั่วคราวก็ช่าง ทุกอย่างก็ล้วนสอดคล้องกับความคิดของจักรพรรดิเซิ่งอย่างสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น
โดยเฉพาะครั้งนี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างคุณความชอบ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวในระดับหนึ่งกับเทียนจุนคนอื่นๆ นี่จึงทำให้จักรพรรดิเซิ่งที่เกิดใจระแวงตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด!
ในพระราชโองการฉบับนี้ไม่มีถ้อยคำข่มขู่ใดๆ มีเพียงคำแต่งตั้งและกำหนดเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องไปประจำการ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นสายตาเย็นชาและเสแสร้งของจักรพรรดิเซิ่งผ่านทางพระราชโองการฉบับนี้อย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันข่มขู่ข้าชัดๆ หากข้าไม่ทำตาม เกรงว่าเขาคงจะต้องหาวิธีการมากกว่านี้มาจัดการกับข้า”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถือพระราชโองการไว้ในมือถอนหายใจ จากนั้นก็เรียกพวกต้าเทียนซือกับราชาผียักษ์มาพบ ก่อนจะส่งพระราชโองการให้แก่พวกเขา
“จักรพรรดิเซิ่งผู้นี้รังแกกันมากเกินไปแล้ว เสี่ยวฉุน ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ทว่านี่เพิ่งจะผ่านไปได้แค่กี่เดือนเอง เขากลับทำแบบนี้กับเจ้าซะแล้ว!” ราชาผียักษ์เดือดดาลขึ้นมาทันใด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้ดีว่าที่นครจักรพรรดิแสอันตรายมาก และความอันตรายนี้ก็ไม่ได้อยู่ในที่แจ้ง แต่เป็นความอันตรายจากแผนการชั่วร้ายในที่มืด
ยิ่งมีเรื่องของร่างแยกผู้บงการก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดดูก็รู้ได้ว่าตนล่วงเกินผู้แข็งแกร่งแทบทั้งหมดในราชวงศ์จักรพรรดิแสไปเสียแล้ว
“แต่ถ้าใช้ชีวิตระวังสักหน่อย นครจักรพรรดิแสนั่นก็ไม่ใช่บ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์อะไร!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้ เพราะการข่มขู่แบบไร้เสียงของจักรพรรดิเซิ่งทำให้เขาเข้าใจว่า หากกล้าปฏิเสธ เกรงว่าเขตการปกครองอวิ๋นไห่ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการสร้างใหม่คงต้องเผชิญกับการกดดันจากจักรพรรดิเซิ่งแน่นอน
“เสี่ยวฉุน ต่อให้เจ้าไปที่นั่นจริงๆ แล้วจักรพรรดิเซิ่งจะไม่ลงมือกับเขตการปกครองอวิ๋นไห่อย่างนั้นหรือ!”
ราชาผียักษ์มองออกถึงความลังเลของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงพูดแค่นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“บางที…นี่อาจเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง!” ต้าเทียนซือที่ยืนถือพระราชโองการใคร่ครวญอยู่เงียบๆ มานานพลันเงยหน้าแล้วเอ่ยประโยคนี้ออกมา
พอเขาเอ่ยเช่นนั้น ทั้งราชาผียักษ์และป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็หันไปมอง ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฉายความคาดหวัง นั่นเป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าต้าเทียนซือเป็นพวกมากแผนการและกลอุบายลึกล้ำเพียงไหน รู้ดีว่าไอ้หมอนี่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอกเฒ่าที่ฝึกตนมาหลายพันปีเสียอีก
“อันดับแรก การไปเยือนนครจักรพรรดิแส มองดูเหมือนจะอันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในฐานะที่เทียนจุนเป็นทูตใหญ่แห่งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ตัวตนเช่นนี้ต้องได้รับความสนใจจากประชาชนของทั้งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง หากเกิดปัญหา ย่อมต้องนำไปสู่สงครามและเรื่องใหญ่ระหว่างสองราชวงศ์!”
“ดังนั้นหากว่ากันในบางระดับแล้ว ตัวตนนี้ก็เป็นตัวตนที่เดิมทีพวกคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสก็กริ่งเกรงกันอยู่แล้ว!”
“รองลงมาก็คือข้อดี พวกเราจำต้องยอมรับในข้อที่ว่า คนของโลกทงเทียนที่ตกหล่นอยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิแสนั้นมีจำนวนมากกว่าคนที่อยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง เพราะอย่างไรซะอาณาบริเวณของราชวงศ์จักรพรรดิแสก็กว้างขวางกว่ามากนัก”
“หากเทียนจุนไปที่นั่น บางทีอาจจะสามารถนำคนพวกนั้นกลับมาได้!”
“อีกอย่างก็คือเมื่ออยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งแห่งนี้ ภายใต้ข้อบังคับมากมาย มองดูเหมือนอนาคตของพวกเราจะเต็มไปด้วยความสวยงาม แต่อันที่จริงแล้วกลับไม่มีพลังแฝงสักเท่าใดนัก หากเทียนจุนสามารถบุกเบิกฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมาในพื้นที่ของราชวงศ์จักรพรรดิแส ทุกอย่างก็จะแตกต่างไปจากเดิม!”
“สุดท้าย ตอนนี้เทียนจุนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หากตัดสินใจที่จะไม่ไป พวกเราก็อย่าเอาเขตการปกครองอวิ๋นไห่นี้ไว้อีกเลย ไม่สู้ไปสวามิภักดิ์กับราชวงศ์จักรพรรดิแสจะดีกว่า!”
“หากตัดสินใจที่จะไป ข้าผู้อาวุโสก็ขอเสนอให้เทียนจุนเขียนหนังสือไปขอคำสัญญาจากจักรพรรดิเซิ่ง อย่างน้อยก็ต้องให้เวลาอิสระเต็มที่แก่เขตการปกครองอวิ๋นไห่สิบปีเต็ม!”
ต้าเทียนซือสูดลมหายใจเข้าลึก พอกล่าวจบก็คารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที แล้วรอฟังการตัดสินใจจากเขา
ราชาผียักษ์ที่อยู่ข้างกันเงียบงันไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองคนทั้งสอง มองพระราชโองการอีกครั้ง แล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เขารู้สึกว่านับตั้งแต่ที่ตนมาอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้ ก็ไม่เคยมีอิสระเหมือนตอนที่อยู่ในโลกทงเทียนอีกเลย
เขาต้องแบกรับแรงกดดันไว้มากมาย ภาระพันธนาการก็เยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ตามใจชอบอย่างในอดีตอีก หลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็มีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ชั่งน้ำหนักอีกพักใหญ่ถึงกัดฟันหยิบเอาแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงไปเสนอเงื่อนไขของตนให้แก่จักรพรรดิเซิ่ง!
เขาในเวลานี้มีคุณสมบัติมากพอจะยื่นเงื่อนไขบางอย่างกับบุพกาลได้แล้ว
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ทางฝ่ายของจักรพรรดิเซิ่งก็ส่งคำตอบยืนยันกลับมา ในเวลาอย่างนี้ต่างฝ่ายต่างไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากใส่กันอีกต่อไป จักรพรรดิเซิ่งจึงเสนอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปจากเขตการปกครองอวิ๋นไห่ถึงสิบปีเต็ม!
ภายในสิบปี เขาจะไม่แตะต้องเขตการปกครองอวิ๋นไห่ สิบปีให้หลัง เขตการปกครองอวิ๋นไห่จะกลับคืนสู่ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งอีกครั้ง!
“สิบปี พยายามบุกเบิกฟ้าดินแห่งหนึ่งในราชวงศ์จักรพรรดิแสให้ได้อย่างนั้นหรือ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากตัดสินใจได้ก็เลือกที่จะไปรับตำแหน่งทูตใหญ่!
หลายวันต่อมา ก่อนป๋ายเสี่ยวฉุนจะจากไปแค่บอกกล่าวกับพวกต้าเทียนซือไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเอิกเกริก เมื่อยามสนธยามาถึงเขาก็ออกไปจากเขตการปกครองอวิ๋นไห่ทันที
ด้วยตัวตนของเขา ไม่จำเป็นต้องทะยานผ่านมหาสมุทรนิรันดร์กาล แต่แค่ต้องไปยังจวนหลักในดินแดนเซียนแห่งที่สองอันเป็นที่อยู่ของเทียนจุนวิเศษกาลนานเท่านั้น เมื่อมาถึงที่นี่ เขาก็พูดคุยกับเทียนจุนวิเศษกาลนานอยู่พักหนึ่ง เมื่อรู้ถึงคำสั่งแต่งตั้งของป๋ายเสี่ยวฉุน เทียนจุนวิเศษกาลนานทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า
“สหายนักพรตป๋าย ข้าสามารถให้การรับรองอย่างหนึ่งแก่เจ้า ไม่ว่าจักรพรรดิเซิ่งจะทำเช่นไร แต่สำหรับข้าแล้ว เขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็ต้องเป็นของเจ้า นี่คือคำสัญญาของพวกเรา!”
ความสัมพันธ์ระหว่างวิเศษกาลนานกับจักรพรรดิเซิ่งมีช่องว่างเกิดขึ้นแล้ว ยิ่งได้รู้คำสั่งแต่งตั้งของจักรพรรดิเซิ่งในเวลานี้ เขาก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก
สำหรับเขาแล้ว ในช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ในดินแดนเซียนแห่งที่สอง นอกจากตอนแรกที่คนทั้งสองมีความขัดแย้งกันแล้ว เวลาอื่นๆ พวกเขาล้วนต่างคนต่างอยู่อย่างสงบสุข อีกทั้งเทียนจุนทั้งสองยังอยู่ในดินแดนเซียนแห่งเดียวกัน นี่จึงช่วยสร้างพลังแห่งการสยบขวัญที่แข็งแกร่งแก่ดินแดนเซียนแห่งที่สอง
สำหรับคำรับรองของเทียนจุนวิเศษกาลนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจยิ่ง หลังจากคารวะแสดงการขอบคุณ ก็เดินไปที่ค่ายกลนำส่งของจวนหลักในดินแดนเซียนแห่งที่สอง เมื่อค่ายกลเปิดใช้ เมื่อเสียงดังกังวานกึกก้อง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไป พอปรากฏตัวอีกครั้ง…ก็มาอยู่ในที่ดินของราชวงศ์จักรพรรดิแสแล้ว
มาอยู่ใน…ดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิแส ซึ่งก็คือนอกนครหลักอันเป็นนครที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิแส!
บริเวณโดยรอบนครจักรพรรดิแสมีภูเขาสูงตระหง่านค้ำฟ้าอยู่ห้าลูก บนภูเขาทั้งห้าลูกนี้ต่างก็มีค่ายกลอยู่ภูเขาละหนึ่งหลัง ซึ่งเชื่อมโยงไปยังห้าดินแดนเซียนใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำให้ทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จักรพรรดิแสดูไม่ยิ่งใหญ่ไพศาลอีกต่อไป
ค่ายกลแบบเดียวกันนี้ก็มีอยู่รอบๆ นครจักรพรรดิเซิ่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าค่ายกลแบบนี้เวลาปกติจะไม่เปิดใช้ และทุกครั้งที่เปิดใช้ หากเป้าหมายเป็นถิ่นของอีกฝ่ายก็จำเป็นต้องเปิดใช้พร้อมๆ กันทั้งสองฝ่ายถึงจะสามารถนำส่งได้
คำสั่งแต่งตั้งท่านทูตใหญ่ของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ถูกส่งไปยังราชวงศ์จักรพรรดิแสตั้งแต่แรกแล้ว นั่นถึงทำให้เขาสามารถเดินทางผ่านค่ายกลนำส่ง ยามนี้เมื่อปรากฏตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นว่ารอบด้านของค่ายกลมีนักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งสิบกว่าคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยของเขา ในบรรดาคนเหล่านี้มีครึ่งเทพอยู่สองท่าน คนที่เหลือคือคนฟ้า
หลังจากมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนก็กุมมือคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คารวะราชาทงเทียน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ได้พูดคำใด เขายืนอยู่ใจกลางค่ายกลบนยอดเขาเสียดฟ้า สัมผัสถึงลมเย็นที่พัดโชยมาจากรอบด้าน เงยหน้ามองเห็นชั้นเมฆสีม่วงที่แผ่อวลไปทั่วทั้งผืนฟ้า รวมถึงสายฟ้าที่แลบปลายอยู่ตามชั้นเมฆเป็นระยะ
ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ไม่เหมือนในนครจักรพรรดิเซิ่ง มันเต็มไปด้วยความอึมครึม เต็มไปด้วยความกดดัน ทั้งยังมีปราณแห่งความกระหายเลือดแผ่จากชั้นเมฆแล้วแพร่กระจายไปทั่วฟ้าดิน
และใจกลางภูเขาเสียดฟ้าทั้งห้าลูกที่อยู่ด้านล่างของชั้นเมฆสีม่วงเหล่านั้นก็มีแอ่งกระทะอยู่แอ่งหนึ่ง กลางแอ่งมีทวนยาวขนาดมหึมาเล่มหนึ่งตั้งตรงแน่วราวกับจะค้ำฟ้าทั้งผืนเอาไว้!
ทวนยาวเล่มนี้หนาพอร้อยจั้ง เมื่อมองไปจากมุมของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นราวกับสมบัติอาคมของยักษ์ตนหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการสยบขวัญที่บอกไม่ถูก ซ้ำบนทวนยาวเล่มนี้ยังมีกระดูกมังกรที่ดูเหมือนจะหนาใหญ่ยิ่งกว่าตัวทวนยาวเองล้อมพันอยู่ด้วย!!