บทที่ 1166 รบในด่าน
ตลอดทางที่ผ่านมาป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ความเร็วที่มากที่สุดในการฝ่าด่านเพราะกลัวว่าวิญญาณวัตถุน้อยจะตื่นขึ้นมาป่วน ตอนนี้เขาจึงรีบทำเวลาพุ่งตะลุยออกไป ยังดีที่พลังกล้ามเนื้อของเขาแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นระดับความแข็งแกร่งหรือพลังการฟื้นตัวก็ล้วนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเพราะได้ดูดซับแก่นเลือดเนื้อผู้บงการ
เวลานี้เขาจึงบุกตะลุยฝ่าด่านรวดเดียวจนถึงด่านที่เจ็ดสิบแปด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเข้าไปในด่านที่เจ็ดสิบแปดก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบรุนแรงขุมหนึ่งทันที ซ้ำในพลานุภาพสยบขุมนี้ยังแฝงวิกฤตอันตรายบางอย่างไว้อีกด้วย จากการรับสัมผัสที่เฉียบไวของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อปรากฎตัวเขาจึงถอยกรูดไปข้างหลังแล้วรีบแผ่อำนาจจิตออกไปอย่างเร่งด่วน
ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง อำนาจจิตของเขาได้ปกคลุมไปแปดทิศ ทำให้สภาพแวดล้อมทุกอย่างที่อยู่รอบด้านสาดสะท้อนเข้ามาในสมอง
นี่คือโลกที่แปลกประหลาดใบหนึ่ง
ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีพื้นดิน รอบด้านว่างเปล่าเหมือนท้องฟ้านอกจักรวาล มีเพียงพื้นที่ตรงกลางเท่านั้นที่มีแท่นหินขนาดมหึมา และบนแท่นหินก็มีหุ่นไม้สูงใหญ่หุ่นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่!
หุ่นไม้นี้สูงพอร้อยจั้ง มองดูเหมือนลูกกลมขนาดมหึมา ด้านบนมีใบหน้าและเครื่องหน้าครบทั้งห้า ซึ่งเวลานี้เหมือนกำลังยิ้มอยู่ ไม่รู้ว่าทำไม ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้รู้สึกว่าที่นี่มีปราณพิลึกพิลั่นบางอย่างล้อมวน หลังจากกวาดตามองไปรอบด้าน สายตาของเขาก็จ้องนิ่งไปที่ตัวหุ่นไม้ขนาดมโหฬารนั่น
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป จู่ๆ หุ่นไม้ก็ลืมตาโพลง ในดวงตาของมันฉายประกายมืดดำ ครั้นแล้วจึงกระโดดผลุงออกจากแท่นหินแล้วตรงดิ่งครืนครั่นเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
“แค่มองปราดเดียวก็พุ่งเข้าใส่ซะแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนผงะตกใจ รีบถอยไปด้านหลัง ทว่าหุ่นไม้นั่นมีความเร็วมากเกินไป มันจึงพุ่งมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา เมื่อเห็นว่ามิอาจหลบเลี่ยง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้พลังกล้ามเนื้อของตนเพิ่มมากขึ้นแล้ว ดังนั้นสายตาจึงฉายความเด็ดเดี่ยว มือขวายกขึ้นกำเป็นหมัดแล้วเหวี่ยงโครมออกไป
หมัดนี้มองดูเหมือนธรรมดา แต่ด้วยพลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ หมัดนี้จึงมากพอจะทำให้เทียนจุนช่วงต้นกระอักเลือดและเซถอยไม่เป็นท่าได้ อาจไม่ถึงตาย แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน
เสียงอึกทึกพลันดังกระหึ่มสะเทือนทั้งนภา หุ่นไม้ขนาดใหญ่ยักษ์มองดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก ทว่าเมื่อเจอกับหมัดนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมิอาจต้านทานได้ ภายใต้เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของมันก็ระเบิดพังทลายเป็นเสี่ยงๆ
เพียงแต่ว่าแรงสะท้อนกลับจากการระเบิดของมันกลับเหนือเกินกว่าพลังการต่อสู้ของตัวหุ่นไม้เอง พลานุภาพที่พัดกวาดไปทั่วสี่ทิศนั้นมากไพศาลสะท้านไปทั้งฟ้าดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนมีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งพุ่งเข้าชนตัวเองอย่างจัง เสียงตูมตามดังกึกก้อง ร่างของเขาถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้ง ลมหายใจเปลี่ยนมาเป็นหอบรัวเล็กน้อย
“แรงสะท้อนกลับรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวรึ?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังตื่นตะลึง จู่ๆ จุดที่หุ่นไม้พังทลายก็พลันมีปราณขุมหนึ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเก่าระเบิดตูมเกริกก้อง
ภายใต้การระเบิดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปเห็นว่าแม้หุ่นไม้จะย่อยยับ ทว่าสิ่งที่ระเบิดแตกนั้นเป็นเพียงแค่ภายนอกของมันเท่านั้น เพราะด้านในของมันยังมีหุ่นไม้ที่ขนาดย่อมกว่าซ่อนอยู่อีกตัวหนึ่ง!
ปราณของหุ่นไม้ตัวนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวก่อนหลายเท่านัก พอเผยตัวมันก็เผ่นโผนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ดูจากท่าทางของมันแล้ว หากผู้ที่เข้ามาฝ่าด่านไม่พ่ายแพ้ มันคงไม่ยอมรามือง่ายๆ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วน้อยๆ ครั้นจึงขยับร่าง คราวนี้ไม่เพียงไม่ถอยหนี แต่กลับกระโจนเข้าใส่ ชั่วขณะที่ขยับเข้าไปใกล้หุ่นไม้ หมัดของเขาก็ต่อยโครมออกไปดังเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อหมัดนี้ร่วงลง เขากลับถอยกรูดออกห่างทันทีอย่างไม่ลังเล
ทว่าแม้เขาจะถอยได้เร็ว แต่แรงสะท้อนกลับจากหุ่นไม้กลับเร็วยิ่งกว่า และหุ่นไม้นั่นก็ยังคงแหลกทลายไม่อาจทานการโจมตีได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าแรงดีดกลับหลังการระเบิดของมันกลับปกคลุมไปทั่วแปดทิศในชั่วพริบตา ท่ามกลางเสียงเกริกก้องกังวาน ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้แข็งแกร่งยังถึงกับเลือดลมปั่นป่วน
ซ้ำพอหุ่นไม้พังทลาย กลับยังมีปราณที่แข็งแกร่งกว่าเก่าแผ่กำจายออกมา และพอสังเกตเห็นว่าด้านในยังมีหุ่นไม้อยู่อีกตัวหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้างโดยพลัน
“ไม่แล้วไม่เลิกสักทีรึ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพรั่นใจ ตระหนักได้ว่าหากคิดจะผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก็จำเป็นต้องทำลายหุ่นไม้ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละชั้นให้สิ้นซากจนหมดเสียก่อน
“ด่านนี้พิสดารเกินไปแล้ว หากวิญญาณวัตถุอยู่ด้วยล่ะก็อันตรายต่อข้าแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันตื่นตระหนก รีบกวาดอำนาจจิตไปรอบด้าน พยายามตามหาวิญญาณวัตถุ
“น่าจะยังไม่ตื่น…แต่หากวิเคราะห์ตามเวลา เกรงว่าเจ้าวิญญาณวัตถุนั่นคงใกล้จะตื่นเต็มทีแล้ว!” ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีอำนาจในซากพัดเล่มนี้ไม่น้อยแล้ว จึงพอจะอนุมานได้ถึงการดำรงอยู่ของวิญญาณวัตถุได้คร่าวๆ
เขาร้อนรุ่มกระวนกระวายใจอย่างมาก ด้วยรู้ดีว่าจะมัวชักช้าอยู่ไม่ได้ หากไม่ยอมแพ้และจากไปเสียเดี๋ยวนี้ ก็ต้องบุกฝ่าพิฆาตด่านนี้ออกไปให้ได้โดยใช้เวลาที่เร็วที่สุด
หากเปลี่ยนมาเป็นตอนอยู่ในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ บางทีป๋ายเสี่ยวฉุนอาจเลือกข้อแรก ทว่าตอนนี้มาอยู่ในนครจักรพรรดิแส ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าตัวเองตกอยู่กลางอันตรายรายล้อม หากได้รับรางวัลจากการฝ่าด่านเร็วขึ้นก้าวหนึ่ง ตบะของตนก็จะมีการพัฒนาไปได้อีกหนึ่งระดับ ขณะเดียวกันหากฝ่าด่านครบทั้งหมดได้เร็วเท่าไหร่ การที่ได้กลายมาเป็นนายที่แท้จริงของซากพัดเล่มนี้ก็จะช่วยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหยัดยืนอยู่ในนครจักรพรรดิแสได้มั่นคงมากขึ้นเท่านั้น
อย่างน้อยที่สุด ในการคาดหวังของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็หวังว่าเมื่อได้ครอบครองซากพัดเล่มนี้ ตนจะมีคุณสมบัติในการประมือกับบุพกาลสักครั้ง ต่อให้จะเป็นเพียงการต่อสู้แบบถูๆ ไถๆ เขาก็พอใจแล้ว
“แม่งเอ๊ย ข้าจะลองดูอีกครั้ง หากไม่สำเร็จก็ถอย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะเดิมพันด้วยอะไรที่เกินตัว เขาจึงกัดฟันและโผนเข้าใส่หุ่นไม้เสียงดังตูม
ทันใดนั้นสองฝ่ายก็ปะทะเข้าด้วยกัน ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม หุ่นไหม้พังทลายลงอีกครั้ง ทว่าแรงสะท้อนที่ดีดคืนมากลับยิ่งมากกว่าเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้องคำรามไม่มัวเสียเวลาหลบเลี่ยง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่าคิดจะหลบให้พ้นแรงสะเทือนนี้ทำได้ยากยิ่ง สิ่งที่ด่านนี้ต้องการทดสอบก็คือระดับการบาดเจ็บจากพลังดีดสะท้อนกลับชนิดนี้
เมื่อเลือดสดไหลหลั่งมาจากมุมปาก พลังฟื้นตัวบทมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกร่ายออกมาเต็มกำลัง อาการบาดเจ็บของเขาจึงหายดีในชั่วพริบตา ดวงตาของเขาแดงก่ำเล็กน้อย ครั้นจึงพุ่งเข้าไปสังหารหุ่นไม้ที่กำลังพังทลายอีกคำรบ
แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโจนมาฆ่า เมื่อเศษหุ่นไม้ปลิวกระเซ็นไปรอบด้าน หุ่นไม้อีกตัวที่มีขนาดเล็กกว่าเก่าเล็กน้อยก็ปรากฎตัว แล้วก็เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนป๋ายเสี่ยวฉุนออกหมัดรัวติดต่อกันถึงสิบหมัด!
ทุกหมัดล้วนทำให้หุ่นไม้แตกทลาย ทว่าแรงสะท้อนกลับก็ยิ่งแข็งแกร่งดุเดือดมากขึ้นในทุกๆ ครั้ง มาถึงท้ายที่สุด ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีพลังการฟื้นตัวจากบทมิวางวาย เขาก็ใกล้จะทานทนไม่ไหวเต็มที
“ด้วยพลังการฟื้นตัวของข้า เกรงว่าต่อให้เทียนจุนช่วงท้ายมาอยู่ที่นี่ อย่างมากสุดก็คงแบกรับได้ถึงระดับนี้เท่านั้น ระดับความยากของด่านนี้ต้องเป็นเทียนจุนขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้นถึงจะผ่านไปได้!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เชื่อว่าเพียงแค่ด่านที่เจ็ดสิบแปดจะยากได้ถึงระดับนี้ เมื่อต่อยกระแทกออกไปอีกครั้ง หุ่นไม้ก็พังทลาย แรงดีดกลับทำให้เขากระอักเลือด และในที่สุดเมื่อหุ่นไม้ตัวใหม่ที่ปรากฎขึ้นด้านในของหุ่นไม้ซึ่งกำลังแตกทลายก็ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง
นี่คือหุ่นไม้ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งมีสีทองตลอดร่าง พอปรากฏตัว ปราณของเทียนจุนช่วงกลางขุมหนึ่งก็พลันปะทุเทียมฟ้า ความเร็วนั้นยิ่งเหนือเกินกว่าจินตนาการ พริบตาเดียวก็หายวับไป พอปรากฎตัวอีกครั้งก็ดันมาโผล่พรวดอยู่ตรงหน้าอกของป๋ายเสี่ยวฉุนเสียแล้ว ทั้งยังไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งตัวได้ทัน เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็ถูกชนจนกระเด็นกระดอนออกไปหลายร้อยจั้ง
เลือดสดพ่นเป็นสายออกจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุน เพิ่งจะยืนได้มั่นคงร่างก็ถูกแสงสีทองกระแทกชนอีกครั้ง หลังจากเป็นอย่างนี้ติดต่อกันอยู่หลายที ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้เดือดดาลสุดขีด
“รังแกกันมากเกินไปแล้ว!!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงฉาน ทั้งๆ ที่มีตบะเท่ากัน ทว่าอีกฝ่ายกลับซ้อมตนจนอ่วมได้เพียงแค่เพราะความเร็วของตนเทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้เช่นนี้ เขาเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรกจริงๆ
เมื่อเห็นว่าแสงสีทองเปล่งวาบอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสูดลมหายใจเข้าลึก ผิวหนังตลอดทั้งร่างเปลี่ยนเป็นสีเลือด ทั้งยังมีหมอกเลือดลอยออกมาจากในร่าง เพียงแค่ชั่วกะพริบตา ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของไอหมอกนั้น!
“พิฆาต เทพ!” ในไอหมอกเผยให้เห็นดวงตาเยียบเย็นน่าขนลุกของป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนที่น้ำเสียงซึ่งคละเคล้าไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจะดังขึ้นมา
วิชาพิฆาตเทพพลันเยื้องกรายมาถึง!
ท่ามกลางเสียงกึกก้อง วินาทีที่แสงสีทองขยับเข้ามาใกล้หมอกเลือด ไอหมอกก็พลันแผ่พรวดออกไปด้วยความเร็วสูงสุด และเป็นครั้งแรกที่แสงสีทองกระโจนเข้าใส่ความว่างเปล่า เวลาเพียงแค่ชั่วลัดนิ้วมือ ในโลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยแสงสีเลือดและแสงสีทองที่ตัดสลับโรมรันกัน ต่างฝ่ายต่างระเบิดความเร็วถึงขีดสุด
เสียงตูมตามดังสะท้อนก้องไม่หยุด ในที่สุดเมื่อแสงสีทองชะงักไปครู่หนึ่งก็ถูกหมอกเลือดโอบล้อมในเสี้ยววินาที เสียงดังสะท้านสะเทือนดังออกมาจากในไอหมอก ก่อนที่แรงดีดสะเทือนกลับซึ่งรุนแรงเหนือกว่าเก่าหลายต่อหลายเท่าจะระเบิดตามหลังมาอย่างบ้าคลั่ง!
ภายหลังเสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าดิน หมอกเลือดที่โดนแรงสะเทือนกลับก็แหลกสลายกระจายไปอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่ารอบด้าน จนกระทั่งสิบกว่าลมหายใจผ่านไป เมื่อทุกอย่างสงบลง ไอหมอกพวกนั้นถึงได้ค่อยๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แล้วเผยให้เห็นเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ใบหน้าซีดเผือด
เพิ่งจะปรากฏตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้องคราง กระอักเลือดอย่างหนัก ท่ามกลางลมหายใจที่หอบกระชั้น ร่างของเขาก็พลันเลือนหายไปจากด่านที่หกสิบแปดนี้!
แม้เขาจะฝ่าด่านนี้มาได้สำเร็จ แต่อาการบาดเจ็บที่สาหัสกลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจว่าทุกด่านนับแต่นี้ไป เกรงว่าคงยากลำบากอย่างสุดประมาณ!