Skip to content

A Will Eternal 1169

บทที่ 1169 งานเลี้ยงองค์ชาย

ภาพเหตุการณ์ที่ลอยขึ้นมาในสมองทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ในใจก็ยิ่งมีคลื่นลูกใหญ่เทียมฟ้าถาโถมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นั่นเป็นเพราะว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินไป ใหญ่จนเกินจินตนาการของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ ต่อให้เมื่อครู่นี้เขาจะมีการเตรียมใจไว้บ้างแล้ว รู้ดีว่าเรื่องที่จะทำให้จางต้าพั่งตึงเครียดได้ถึงระดับนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

แต่เขาก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้!!

ไม่นึกว่าจักรพรรดิแสจะมีสองคน!

จักรพรรดิแสสองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนย่อมต้องมีตัวจริงและตัวปลอมอยู่แล้ว!

และเสียงคำรามก่อนตายนั้นก็เปล่งออกมาว่า ตัวเองทำผิดต่อบรรพชน ต่อให้จะไม่มีหลักฐาน ต่อให้จะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานเท่าไหร่มาแล้ว แต่ลางสังหรณ์อย่างหนึ่งบอกกับป๋ายเสี่ยวฉุนว่า คนที่ตายไปนั่นต่างหาก…ถึงจะเป็นจักรพรรดิแสตัวจริง!

และขณะที่จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภาพเหตุการณ์ในสมองของเขาก็ค่อยๆ พร่าเลือน ราวกับว่าเมื่อถูกจางต้าพั่งรับสัมผัสไปสามครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรับสัมผัสไปหนึ่งครั้ง ความคิดเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในทวนยาวจึงกลายมาเป็นเถ้าธุลีและสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

ต่อให้หลังจากนี้จะมีการหลอมพลังจิตเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ทวนยาวก็ไม่มีทางทำให้ภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นได้อีกแล้ว

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหนัก เมื่อภาพเหตุการณ์ในสมองหายไป เขาก็เหมือนคนที่เพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากความตกตะลึง ยกมือขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่กระนั้นในใจของเขากลับยังมีคลื่นลูกยักษ์โถมซัดสาด ไม่ได้สนใจเรื่องการหลอมพลังจิตให้กับทวนยาว และพอเขายกมือขึ้น การหลอมพลังจิตก็ชะงักงัน ไฟสี่สีกองนั้นหายวับไปท่ามกลางฟ้าดินจากตำแหน่งที่มันปรากฎตัวและถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกดลงไปเมื่อครู่นี้

ทวนยาวยังคงตั้งตระหง่าน แน่นิ่งไม่ขยับ

มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ความคิดในสมองปั่นป่วนวุ่นวาย จิตใจมิอาจสงบสุขลงได้ เรื่องจางต้าพั่งไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดตอนหลอมพลังจิตให้กับทวนยาวถึงได้มีภาพเหตุการณ์นี้ปรากฎขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้ความจริงเพียงแค่มองปราดเดียว

จะอย่างไรซะจักรพรรดิแสก็เป็นบุพกาล เหนือกว่าเทียนจุนไปหนึ่งขอบเขต ระดับความแข็งแกร่งของพลังความคิดก็ยิ่งมิอาจจะจินตนาการได้ถึง หากจะบอกว่าเทียนจุนคือบุคคลที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นบุพกาลก็คือบุคคลที่ยืนอยู่ท่ามกลางชั้นเมฆเหนือยอดเขาขึ้นไป!

โดยเฉพาะพลังความคิดที่เพียงแค่ขยับก็ปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนเซียนซึ่งมากพอที่จะทำให้จักรวาลเปลี่ยนสี ลมและเมฆพัดกระโชก อสนีบาตฟาดกระหน่ำลงในจิตใจของทุกสรรพชีวิตเพียงแค่ความคิดเดียวของเขา

ต่อให้จะเป็นเพราะสาเหตุบางประการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจล่วงรู้ จักรพรรดิแสคนที่ตายไปจึงไม่สามารถบอกความจริงให้แก่คนทั้งโลกรับทราบได้ ต่อให้จิตวิญญาณของเขาจะแหลกสลาย ทว่าจิตสำนึกก่อนตายของเขากลับยังคงผสานรวมเข้าไปในทวนยาวที่คร่าชีวิตของเขาเอง

เนื่องด้วยจิตสำนึกประเภทนี้เบาบางและล่องลอยเกินไป เป็นเหตุให้คนที่สังหารจักรพรรดิแสตัวจริงไม่สามารถสัมผัสได้ ยิ่งคนนอกก็ยิ่งไม่มีทางรับรู้

ทว่าการหลอมพลังจิต…หากว่ากันในบางระดับแล้วถือเป็นการสร้างทวนยาวขึ้นใหม่ ทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อบางอย่าง แล้วก็ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้จิตสำนึกที่เคยทิ้งไว้ในคราวนั้นลอยขึ้นมาในสมองของคนที่หลอมพลังจิต

แล้วก็เป็นเหตุให้ความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ซึ่งถูกกลบฝังไว้ในกาลเวลาเปิดเผยต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนในนาทีนี้

เนิ่นนานต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงจะพอฝืนทำให้จิตใจของตัวเองสงบลงได้ ทว่าพอจิตใจสงบลง ในใจของเขาก็อดมี…ข้อสงสัยที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวผุดขึ้นมาไม่ได้

“หากคนที่ตายไปคือจักรพรรดิแสตัวจริง ถ้าอย่างนั้นจักรพรรดิแสในตอนนี้…เขาเป็นใครกันแน่…”

“อีกอย่างช่วงเวลานั้น เกิดขึ้นตอนไหน…ทำไมเรื่องใหญ่อย่างการที่จักรพรรดิแสตายไป คนในราชวงศ์จักรพรรดิแสถึงไม่มีใครรู้เลย…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิดพลางเงยหน้าขึ้นมองจางต้าพั่งที่ไม่ปริปากพูดคำใดมาตั้งแต่ต้น เมื่อมองเห็นความสับสนและความตึงเครียดในดวงตาของจางต้าพั่ง เขาจึงเข้าใจจางต้าพั่งมากขึ้น เข้าใจแล้วว่าการที่จางต้าพั่งระมัดระวังตัวปานนั้นถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างแท้จริง

เรื่องแบบนี้ หากจักรพรรดิแสองค์ปัจจุบันรู้เข้า…ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรงจนไม่มีใครแบกรับได้ไหว

เนิ่นนานต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เลือกที่จะจากไป เขาถึงขนาดไม่กล้าอยู่ในที่พักของจางต้าพั่งนานเกินไปด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไวต่อความรู้สึกยิ่งนัก หากเดือดร้อนจะไม่ได้มีแค่เขากับจางต้าพั่งสองคน อาจลามไปถึงขั้นที่เป็นเหตุให้ทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลพังพินาศได้ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อกลับมาถึงสถานทูต สีท้องฟ้าก็เข้มขึ้นเพราะดึกมากแล้ว ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงมีภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ลอยขึ้นมา จนกระทั่งกลับเข้ามาในสถานทูตใหญ่แล้วครึ่งเทพสองคนที่เป็นลูกน้องของเขามาขอเข้าพบ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ฝังกลบความคิดทุกอย่างไว้ในใจอีกครั้ง

ในห้องโถงใหญ่ ครึ่งเทพสองคนนั้นคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างนอบน้อม ก่อนที่คนผู้หนึ่งจะเดินขึ้นหน้ามาส่งเทียบเชิญให้

“ใต้เท้า ช่วงเวลาที่ท่านปิดด่านนี้ องค์ชายใหญ่ของราชวงศ์จักรพรรดิแส…ส่งเทียบเชิญมาให้หลายครั้งแล้ว”

“วันนี้ปรมาจารย์จางมาขอพบท่าน บางทีอาจมีคนพบเห็น องค์ชายใหญ่จึงส่งเทียบเชิญมาอีกครั้ง…เชิญให้ใต้เท้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นในตำหนักองค์ชายคืนนี้”

คนทั้งสองเอ่ยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านออกมาทั้งหมดด้วยเสียงแผ่วเบา

ป๋ายเสี่ยวฉุนอ่านเทียบเชิญ หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ อันที่จริงนับตั้งแต่ที่เขามาดำรงตำแหน่งเป็นทูตใหญ่ก็ปิดด่าน ปฏิเสธการมาเยี่ยมเยือนของทุกคนโดยตลอด

ทว่าวันนี้องค์ชายใหญ่กลับส่งเทียบเชิญมา เห็นได้ชัดว่าเป็นอย่างที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคนของเขาบอกไว้ นั่นคือ อีกฝ่ายรู้เรื่องที่จางต้าพั่งมาพบเขา หากตนยังปฏิเสธอีก เกรงว่าคงจะนำปัญหาที่ไม่จำเป็นอีกมากมายมาสู่ตัว

“เอาเถอะ ข้าเองก็มาอยู่นครจักรพรรดิแสได้พักหนึ่งแล้ว องค์ชายใหญ่ผู้นี้…ไปพบสักหน่อยก็ดี”

นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัดสินใจได้ ครั้นจึงโบกมือขวาหนึ่งที เทียบเชิญก็ลอยมาอยู่ในมือ

“ในเมื่อองค์ชายใหญ่เชื้อเชิญมาแล้วหลายครั้ง พวกเจ้าสองคนก็ไปกับข้าด้วยแล้วกัน”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก ครึ่งเทพสองคนนั้นไม่กล้าคัดค้าน รีบรับคำแล้วติดตามไปเบื้องหลังป๋ายเสี่ยวฉุน

หลังจากที่คนทั้งสามออกมาจากสถานทูต ครึ่งเทพสองคนนั้นก็เป็นผู้นำทาง ไม่นานเมื่อฟ้าเริ่มสาง พวกเขาก็มาถึงพื้นที่แห่งหนึ่งของนครจักรพรรดิแสที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งของหัวมังกร สถานที่แห่งนี้มีคนสัญจรอยู่น้อย โดยเฉพาะเวลานี้ยังไม่สว่างดี ทำให้รอบๆ บริเวณเหมือนมีปราณของความเคร่งขรึมขุมหนึ่งที่บอกไม่ถูกแผ่อบอวลไปทั่ว

และในฐานะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเทียนจุน ทุกการกระทำของเขาย่อมต้องมีคนจับสังเกตอยู่แล้ว โดยเฉพาะการออกมาข้างนอกครั้งนี้ เขาไม่ได้ปิดบังร่องรอยของตัวเองแม้แต่น้อย ดังนั้นคนของตำหนักองค์ชายย่อมต้องสัมผัสได้

ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้าไปใกล้ตำหนักองค์ชาย ก็มีคนหลายสิบคนบินออกมาจากตำหนักที่หรูหราโอ่อ่าซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลทันที ตบะของคนหลายสิบคนนี้ คนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นถึงคนฟ้า และครึ่งเทพก็มีมากถึงห้าท่าน

ทุกคนทะยานเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุน พอมาถึงแต่ละคนก็กุมมือคารวะทันใด

“คารวะท่านทูตใหญ่ป๋าย!”

“เชิญท่านทูตใหญ่ป๋าย องค์ชายรอท่านอยู่นานแล้ว!”

แม้ว่าการรับรองขนาดนี้จะไม่ถือว่าเอิกเกริกนัก แต่ก็มากพอจะมองออกว่าองค์ชายใหญ่เกรงใจป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่มาก โดยเฉพาะเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปและเห็นว่า นอกตำหนักองค์ชายที่อยู่ห่างไปไกลมีคนเจ็ดแปดคนมายืนรออยู่แล้ว ซึ่งคนที่ยืนอยู่หน้าสุดก็คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

ชายผู้นี้สวมชุดคลุมมังกร เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับจักรพรรดิแสแล้วกลับมีความเผด็จการน้อยกว่า น่าเกรงขามน้อยกว่า ทว่าใบหน้าเขากลับมีความคล้ายคลึงกับจักรพรรดิแสถึงเจ็ดแปดส่วน

กวาดตามองครั้งเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้คำตอบในใจว่าคนผู้นี้ก็คือ องค์ชายใหญ่ของราชวงศ์จักรพรรดิแส!

หลังจากพยักหน้ารับเบาๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินนำไปก่อน ขณะที่อยู่ห่างจากตำหนักองค์ชายประมาณร้อยจั้งนั้นเอง สายตาของเขาก็ประสานเข้ากับสายตาขององค์ชายใหญ่ แล้วจู่ๆ องค์ชายใหญ่ก็พลันหัวเราะร่า

“ท่านทูตใหญ่ป๋าย เสี่ยวหวัง (คำเรียกแทนตัว แปลว่าราชาน้อย) เชื้อเชิญเจ้ามาหลายครั้งแล้ว เมื่อครู่นี้ยังคิดอยู่เลยว่าหากครั้งนี้เจ้าไม่มา ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เสี่ยวหวังคงต้องไปเชิญเจ้าด้วยตัวเองซะแล้ว”

องค์ชายใหญ่พูดพลางเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนลุกเป็นประกาย ในสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าองค์ชายใหญ่ผู้นี้อ่อนเยาว์กว่าจักรพรรดิแสอยู่มาก ห่างชั้นเกินกว่าจะทัดเทียมความอำมหิตเย็นชา และความเผด็จการที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของจักรพรรดิแสได้ คิดจะลอกเลียนแบบความเสแสร้งของจักรพรรดิเซิ่งก็ยังทำได้ไม่ดีพอ

“นี่คือการสำแดงบารมีต่อหน้าข้าอย่างนั้นรึ? โทษที่ข้าไม่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้? เป็นแค่องค์ชายตัวน้อยๆ จะนับกะผีอะไรได้”

ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงอยู่ในใจ เขาไม่มีความรู้สึกดีอันใดต่อราชวงศ์จักรพรรดิแสอยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องการแสร้งทำตัวนอบน้อมและคล้อยตามเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่จำเป็นต้องหยุดคิดแม้แต่น้อย

“จะปล่อยให้องค์ชายใหญ่ไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเองได้อย่างไร ต้องโทษที่หลังจากข้าผู้แซ่ป๋ายมาถึงที่นี่ ตบะก็เจอเข้ากับช่วงคอขวดอันเป็นอุปสรรคพอดี ดังนั้นถึงได้รีบร้อนฝึกตน ทำให้องค์ชายใหญ่ต้องรอนานแล้ว”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มน้อยๆ ตบะของเขาสูงกว่าองค์ชายใหญ่ไปมาก เสียงหัวเราะของเขาไม่ดังนัก ทว่าตอนที่เดินมา พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างเขาอย่างไม่ตั้งใจกลับยังคงสามารถกำราบได้สี่ทิศ ดังนั้นเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้ามาใกล้ ต่อให้เป็นท่าทางที่พยายามแสดงว่าเผด็จการขององค์ชายใหญ่ก่อนหน้านี้ก็หายไปเกลี้ยงโดยไม่รู้ตัว

“ท่านทูตใหญ่ป๋าย วันนี้ตัวข้าเชิญมาแค่สองคนเท่านั้น เชิญ!”

ดวงตาขององค์ชายใหญ่เปล่งประกาย รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งผลิบานมากกว่าเดิม เขากุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเชี่ยวชาญกับเรื่องแบบนี้อย่างมาก เวลานี้จึงคลี่ยิ้มไม่ต่างกัน ตลอดทางที่เดินเข้าไปก็คอยพูดคุยกับองค์ชายใหญ่อย่างเบิกบานไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นมาดหรือลักษณะอำนาจก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย ทั้งถึงขั้นที่ว่าหากไม่เป็นเพราะตัวตนขององค์ชายใหญ่ เขาก็คงยิ่งดูเป็นรองมากกว่านี้ เป็นเหตุให้ทุกคนที่ติดตามมาด้านหลังเขาต่างพินอบพิเทากับป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!