บทที่ 1271 มีปัญหา
การถือกำเนิดของเสี่ยวเป่าทำให้อารมณ์กดดันบีบคั้นของทุกคนในราชวงศ์จักรพรรดิขุยคลายลงไม่น้อย ราวกับว่าการถือกำเนิดของเด็กทารกเป็นตัวแทนของความหวัง ต่อให้ความหวังนี้จะเป็นเพียงความเพ้อฝันเสี้ยวหนึ่งในใจ แต่ก็ยังคงทำให้ทุกคนของสามราชวงศ์ใหญ่ทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเต็มใจที่จะเชื่อ ยินดีที่จะภาวนาขอพร
เพียงแต่ว่าร่างของผู้บงการนี่ฝานที่อยู่บนท้องฟ้ากลับสร้างแรงกดดันที่มหาศาลเกินไปให้แก่ผู้คน เมื่อเวลาล่วงผ่าน อารมณ์หวาดกลัวพรั่นผวาก็ทะยานสูงพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
พื้นที่หลายแห่งบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมีนักพรตไม่น้อยที่ถูกความหวาดกลัวกัดกินหัวใจ พวกเขาจึงเริ่มกระทำการบ้าคลั่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเผาบ้านเรือน สังหารผู้คน ปล้นชิงทรัพย์ หรือบางคนที่ก็ไม่คิดจะสะกดกลั้นความคิดชั่วร้ายในใจอีกต่อไป ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่หันไปเคารพกราบไว้ผู้บงการนี่ฝานที่อยู่บนฟ้า ราวกับจะฝากตัวขอสวามิภักดิ์อย่างไรอย่างนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ที่ทยอยกันปรากฏขึ้น เป็นเหตุให้ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเหมือนมีคลื่นก่อตัวอยู่ใต้น้ำ หากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยนานไป เกรงว่าไม่จำเป็นต้องรอให้นี่ฝานฟื้นตื่น ฝ่ายในของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเองก็คงเละเฟะเน่าฟอนไปก่อนแล้ว
ยังดีที่ไม่ว่าจะเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนหรือจักรพรรดิเซิ่งที่พอรู้เรื่องนี้ ก็ได้ส่งเทียนจุนใต้บังคับบัญชาไปปราบปรามทันที แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่จุกจิกมาก แต่ด้วยชื่อเสียงและบารมีของป๋ายเสี่ยวฉุนกับจักรพรรดิเซิ่งก็ยังสามารถสยบความวุ่นวายได้เพียงเวลาสั้นๆ แต่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เข้าใจดีว่า ลองถ้าใจคนเกิดความหวาดกลัวและหวั่นไหวขึ้นมาเสียแล้ว ต่อให้จะปราบปรามได้ครั้งสองครั้ง แต่สุดท้ายแล้วย่อมต้องมีสถานการณ์ที่เกินควบคุมเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องพวกนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่อยากแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดจะทำมีเพียงอยู่เคียงข้างคนในครอบครัว ส่วนอีกเรื่องก็คือ… สร้างเรือนกายให้แก่ป๋ายฮ่าว
นี่คือคำสัญญาที่เขาเคยมอบให้แก่ป๋ายฮ่าวในอดีต และเมื่อได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ระดมกำลังของทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยให้ไปรวบรวมวัตถุดิบวิเศษหลากหลายชนิดที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต ซึ่งไม่ว่าชนิดไหนที่หากนำไปไว้ข้างนอก ก็ล้วนสามารถชักนำให้เกิดการแก่งแย่งช่วงชิงจากคนนับไม่ถ้วน แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว วัตถุดิบวิเศษทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเสริมเท่านั้น
ตัวยาหลักที่แท้จริงก็คือ ผลึกเลือดก้อนหนึ่งที่เขาใช้เลือดเนื้อของร่างแยกนี่ฝานอย่างจักรพรรดิแส มาชุบหลอมหลังจากที่เขาสังหารอีกฝ่ายได้!
ผลึกเลือดก้อนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ตรวจสอบอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ อีกทั้งยังนำการหลอมพลังจิตมาตรวจสอบดูว่า อำนาจจิตของนี่ฝานยังหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นปกติดี ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ลังเลอยู่อีกพักใหญ่ก็ไม่ได้ใช้ผลึกเลือดก้อนนี้มาหล่อหลอมเรือนกายให้แก่ป๋ายฮ่าวโดยตรง แต่ดึงเอาพลังชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในผลึกเลือดออกมา แล้วกรอกเทเข้าสู่วัตถุดิบวิเศษเหล่านั้น ก่อนจะนำวัตถุดิบที่เขาวางใจมากยิ่งกว่ามาเริ่มทดลองหลอมเรือนกายพืชหญ้า!
การหล่อหลอมครั้งนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นคงยากที่จะทำได้สำเร็จ ต่อให้พอจะฝืนทำได้อย่างกล้อมแกล้ม แต่ก็ต้องใช้เวลานานมาก ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาที่สามารถควบคุมเวลาได้ส่วนหนึ่งกลับมั่นใจมากพอว่าจะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ และเขาใช้เวลาแค่เจ็ดวันก็สามารถนำวัตถุดิบทั้งหลายเหล่านี้มาชุบหลอมขึ้นเป็นร่างวิญญาณร่างหนึ่งที่แม้จะไม่ใช่ร่างแห่งเต๋า แต่กลับสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยม
อีกทั้งหน้าตาของร่างนี้ยังเหมือนกับป๋ายฮ่าวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อร่างนี้ถูกหล่อหลอมได้สำเร็จ เมื่อป๋ายฮ่าวที่ตื่นเต้นก็ผสานรวมเป็นหนึ่งกับร่างนี้ และพอเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็มีน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจเอ่อคลอ ครั้นแล้วจึงคุกเข่าก้มลงกราบป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาฉายชัดถึงความรักและเคารพอย่างที่ไม่อาจปิดบัง
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยิ้มได้ ต่อให้แรงกดดันจากนี่ฝานจะทำให้เขาหายใจไม่คล่องคอเท่าไหร่นัก ทว่าบัดนี้เมื่อมองมายังป๋ายฮ่าว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกสุขใจอย่างมาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสุขกับชีวิตเช่นนี้อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะคอยอยู่เคียงข้างคนในครอบครัว หรือคอยมองดูป๋ายฮ่าวที่พอมีร่างจริง อีกฝ่ายก็เริ่มฝึกตน หรือบางครั้งที่ไปคุยเรื่องราวในอดีตกับพวกจางต้าพั่ง บ้างครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทอดถอนใจด้วยความปลงตก เขารู้สึกว่าหากไม่มีนี่ฝาน บางทีต่อให้ชีวิตนี้ตนจะไม่ได้เป็นอมตะ เขาก็คิดว่าตัวเองพึงพอใจมากแล้ว
และเวลานี้เอง เสี่ยวเสี่ยวที่ปิดด่านฝึกตนก็ได้ฝ่าทะลุขอบเขต
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ได้พบเสี่ยวเสี่ยวมานานมากแล้ว
เป็นคนแรกในนครจักรพรรดิขุยที่สัมผัสได้ถึงการฝ่าทะลุขอบเขตของลูกสาวตัวเอง เดิมทีเขากำลังรับฟังต้าเทียนซือรายงานเหตุการณ์ที่เกิดในราชวงศ์จักรพรรดิขุยช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากที่สัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นที่แผ่ออกมาจากสถานที่ปิดด่านของบุตรสาว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเงยหน้า ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่ายเขาจึงหายตัววับไปในทันที โดยที่ไม่ทันได้อธิบายให้ต้าเทียนซือฟัง
ท่ามกลางความอึ้งตะลึงของต้าเทียนซือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้มาปรากฎตัวในห้องลับของเสี่ยวเสี่ยวแล้ว!
ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้ามาเพราะกลัวว่าจะรบกวนการฝึกตนของเสี่ยวเสี่ยว แต่ตอนนี้เมื่อปราณแห่งการฝ่าทะลุระเบิดขึ้นบนร่างของเสี่ยวเสี่ยว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อาศัยตบะบุพกาลมาปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบก็รีบยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นชะตาชีวิตของเขาก็เชื่อมโยงเข้ากับเสี่ยวเสี่ยวทันที
ต่อให้เขาจะรู้สึกว่าเสี่ยวเสี่ยวสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองผ่านหายนะในการฝ่าทะลุขอบเขตไปได้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่วางใจ ด้วยกลัวว่าลูกสาวจะได้รับอันตราย และเวลานี้เองที่พวกต้าเทียนซือทยอยกันสัมผัสได้ แต่ละคนรู้สึกตึงเครียด เพราะอย่างไรซะตัวตนของเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่เหมือนกับคนอื่น นอกจากนี้นางเองก็ถือเป็นเทียนจุนคนใหม่ของรุ่นนี้ โดยเฉพาะในเวลาสำคัญที่ภัยพิบัติใหญ่กำลังจะมาเยือนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเช่นนี้ การที่มีเทียนจุนมาเพิ่มอีกคน บางทีก็อาจเป็นการเพิ่มกำลังขึ้นมาส่วนหนึ่ง
และการฝ่าทะลุขอบเขตของเสี่ยวเสี่ยว นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วคนที่เป็นกังวลมากที่สุดก็คือ ซ่งจวินหว่าน พอสัมผัสได้นางก็บินมาหยุดอยู่นอกสถานที่ปิดด่านของเสี่ยวเสี่ยวแทบจะทันที ลมหายใจหอบกระชั้น กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเสี่ยวเสี่ยว แต่ไม่นานข้างหูของนางก็มีอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนส่งมาถึง เมื่อได้รับการปลอบใจจากป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งจวินหว่านถึงพอจะวางใจลงได้ แล้วก็รอคอยอยู่ข้างนอกพร้อมกับพวกโหวเสี่ยวเม่ย โจวจื่อโม่และกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ตามมาถึงทีหลัง
ไม่นานเมื่อปราณแห่งการฝ่าทะลุขั้นของเสี่ยวเสี่ยวยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม เสียงกัมปนาทก็ดังสะท้านฟ้า ทัณฑ์เทียนจุนเยื้องกรายพรวดลงมา ทัณฑ์นี้ไม่ค่อยเหมือนกับทัณฑ์ทั่วไปนัก ราวกับว่าเป็นเพราะนี่ฝานใกล้จะฟื้นตื่นจึงไปส่งผลกระทบต่อมารดาแห่งนิรันดร์กาล เป็นเหตุให้ในทัณฑ์นี้มีปราณแห่งความอำมหิตแฝงมาเสี้ยวหนึ่ง!
วินาทีที่สัมผัสได้ถึงปราณอำมหิตนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดคิ้วมุ่น เดิมทีเขายังลังเลว่าการที่ตนช่วยเสี่ยวเสี่ยวต้านทานทัณฑ์เทียนจุนเพราะความรักและเป็นห่วงจะทำให้ลูกสาวของตนขาดประสบการณ์ไปหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขากลับไม่คิดอย่างนั้นอีกแล้ว ดังนั้นในขณะที่ทัณฑ์สวรรค์ยังไม่ทันร่วงลงมาถึงก็มีปราณขุมหนึ่งที่เผด็จการยิ่งกว่า ประหนึ่งผู้สูงศักดิ์หนึ่งเดียวในใต้หล้าระเบิดออกมาจากสถานที่ปิดด่านของเสี่ยวเสี่ยว
ปราณนี้พุ่งทะลุสู่ชั้นเมฆแล้วแผ่ปกคลุมไปทั่วแผ่นฟ้าโดยตรง นี่ก็คือปณิธานของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่ออยู่ภายใต้ปณิธานของเขาก็ราวกับว่าทุกคนที่อยู่บนโลกต่างก็ได้ยินเสียงที่เอ่ยประโยคหนึ่งออกมา
“ทัณฑ์ สลาย!”
เพียงแค่สองคำก็เสมือนมีมือใหญ่ข้างหนึ่งที่มองไม่เห็นปัดกวาดไปทั่วแผ่นฟ้า ลบเลือนทัณฑ์เทียนจุนที่ไร้รูปลักษณ์แต่กลับดุร้ายอย่างถึงที่สุดให้หายไปในเสี้ยววินาที!
เมื่อลบทิ้งเรียบร้อย ท้องฟ้าก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม ปราณของเสี่ยวเสี่ยวก็เริ่มสงบลงทีละนิด แต่กลับแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่านางจะฝ่าทะลุ แต่กลับไม่มีปราณของเทียนจุนแผ่ออกมา!
และทุกคนที่รวมถึงป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ล้วนไม่ได้ยินเสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลที่ปกติแล้วต้องดังขึ้นมาข้างหูยามที่มีเทียนจุนปรากฎตัว!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามองทันที ในห้องลับ เสี่ยวเสี่ยวลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตาของนางก็ฉายแววมึนงงเช่นกัน หลังจากมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างกายตัวเอง เสี่ยวเสี่ยวที่ทั้งตกใจทั้งยินดีก็รีบลุกขึ้นยืน
“ท่านพ่อ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคลี่ยิ้มให้แก่นาง แม้จะลูบคลำศีรษะของเสี่ยวเสี่ยวอย่างปราณี แต่ในใจกลับยังอัดแน่นไปด้วยพยับเมฆ เขามั่นใจมากว่าเสี่ยวเสี่ยวฝ่าทะลุขอบเขตแล้วจริงๆ แต่กลับไม่มีเสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลที่เอ่ยให้การยอมรับ ดังนั้นบนร่างของเสี่ยวเสี่ยวจึงไม่มีปราณเทียนจุน
ส่วนสาเหตุนั้น หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่เพราะการยื่นมือเข้าแทรกของตน แต่เป็นเพราะ…เกิดปัญหาขึ้นกับ มารดาแห่งนิรันดร์กาล!!
คำตอบนี้ยิ่งสร้างความกดดันให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เสี่ยวเสี่ยวที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของตบะตัวเองเช่นกัน เมื่อหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังคิดหนัก นางที่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
“ท่านพ่อ ข้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือยัง?”
“เสี่ยวเสี่ยวไม่ต้องเป็นกังวล เจ้าฝ่าทะลุเรียบร้อยแล้ว!”
หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้ารับยืนยัน เขาก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปิดประตูใหญ่ของห้องลับออก จึงมองเห็นคนมากมายที่ยืนอยู่ข้างนอก ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีสีหน้าลังเลและสับสน
พวกเขาเองก็สังเกตเห็นว่าไม่มีเสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลปรากฏขึ้น เมื่อมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนทำท่าขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเงยหน้ามองไปทางทิศที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งพลางขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ เนิ่นนานต่อมาจึงเห็นว่าบนท้องฟ้ามีรุ้งยาวประหนึ่งแสงศักดิ์สิทธิ์แหวกอากาศมาถึงในเสี้ยววินาที เมื่อแสงนั้นเปล่งแสงวาบหนึ่งครั้ง เงาร่างของจักรพรรดิเซิ่งก็พลันเผยกาย
สีหน้าของเขาก็ไม่น่ามองเช่นกัน และหากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ถึงความกระวนกระวายที่ไม่อาจปกปิดได้มิดชิด
“จักรพรรดิขุย มารดาแห่งนิรันดร์กาล… ต้องเกิดปัญหาแน่นอน!!” วินาทีที่คนทั้งสองสบตากัน เสียงของจักรพรรดิเซิ่งก็พลันดังขึ้นในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน