Skip to content

A Will Eternal 1285

บทที่ 1285 จักรพรรดิเซิ่งออกจากด่าน

ประกายแสงสีแดงในดวงตายิ่งนานก็ยิ่งเข้มข้น ซ้ำสีหน้าของนักพรตทงเทียนในเวลานี้ยังมองดูคล้ายนี่ฝานอย่างมาก โดยเฉพาะตรงหว่างคิ้วของเขาที่เหมือนมีใบหน้าเล็กๆ หน้าหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมา ใบหน้านั้นก็คือใบหน้าของผู้บงการนี่ฝาน!

แม้แต่ปราณบนร่างของเขาก็ยังแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาแผ่ปราณแห่งการดับทำลาย ราวกับว่าสถานที่ใดก็ตามที่เขาไปปรากฎตัว ที่แห่งนั้นก็จะเต็มไปด้วยความตาย!

“เต๋าของข้า เมื่อเดินไปสุดปลายทาง ทุกอย่างล้วนดับสูญ มีเพียงข้าที่เป็นนิรันดร์!”

นักพรตทงเทียนเอ่ยเนิบช้า ครั้นแล้วจึงเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว วินาทีที่เขาก้าวเท้าออกมา เงาปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบกายเขาพากันเผาไหม้ตัวเองโดยอัตโนมัติ และเมื่อนักพรตทงเทียนยกนิ้วขวาขึ้นชี้ เงาปีศาจที่ติดไฟเหล่านั้นก็ล้วนกลายมาเป็นเปลวเพลิงสีดำ แล้วพริบตาเดียวก็มารวมตัวกันอยู่ตรงหน้านิ้วของนักพรตทงเทียน!

ก่อตัวกลายมาเป็น… บุปผาเปลวเพลิงสีดำหนึ่งดอก!

“ดับสูญ!”

นักพรตทงเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทันใดนั้นบุปผาเปลวเพลิงสีดำที่อยู่ตรงหน้านิ้วชี้ของเขาก็พลันขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งฟ้าดิน พลางปลดปล่อยทะเลเพลิงที่เป็นดั่งน้ำทะเล ให้พุ่งเข้ากลืนกินค่ายกลรอบด้าน ที่เดิมทีก็ง่อนแง่นใกล้จะพังทลายเต็มทีโดยตรง!

เสียงกัมปนาทสะเทือนไปทั้งห้วงอวกาศ อีกทั้งเมื่อเงยหน้าขึ้นมองจะเห็นได้ว่า บัดนี้ท้องฟ้ากลายมาเป็นสีดำเพราะถูกทะเลเพลิงดำทะมึนกลบทับ และค่ายกลของป๋ายเสี่ยวฉุนที่หลังจากยืนหยัดมาได้หลายปี ในที่สุดเวลานี้ก็ไม่อาจประคับประคองตัวเองได้อีกต่อไป พริบตาเดียวก็…ติดไฟลุกไหม้แล้วพังถล่มในทันที!

เมื่อค่ายกลพังทลาย นักพรตทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่ในร่างมีตาค่ายกล ไม่ว่าจะมีตบะอะไร บัดนี้ก็ล้วนกระอักเลือดอย่างรุนแรงโดยที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่ละคนตัวสั่นเทิ้ม หน้าขาวซีดไปทันที พวกเขาต่างก็เงยหน้าขึ้นมองค่ายกลที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เหมือนเศษกระจกที่ร่วงกราวลงมาอย่างสิ้นหวัง

และเมื่อค่ายกลพังทลาย เมื่อนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนกระอักเลือด ทะเลเพลิงสีดำบนท้องฟ้าที่ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางก็พลันจู่โจมเข้ามา ตามหลังทะเลเพลิงผืนนั้นยังมีกองทัพเงาปีศาจจำนวนมาก เงาปีศาจแต่ละตนร้องคำรามแล้วเผ่นโผนเข้าหาดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ส่วนด้านหลังกองทัพเงาปีศาจก็คือ… นักพรตทงเทียนที่ยืนนิ่ง ทั่วร่างแผ่ปราณอันน่าครั่นคร้ามประดุจ …ผู้บงการแห่งโลก!

รอบกายเขาเวลานี้ก็มีเปลวเพลิงสีดำที่คลุมทับอยู่ภายนอก คล้ายถูกห่มด้วยผ้าคลุมเปลวเพลิงสีนิล เส้นผมของเขาปลิวไสว ร่างทั้งร่างแผ่ปราณแห่งการดับสูญเยียบเย็น

เมื่อเขาเดินขยับขึ้นหน้ามาช้าๆ ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเรือนกายใหญ่มหึมาของผู้บงการนี่ฝานด้านหลังของเขา บัดนี้ยิ่งสั่นสะเทือนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตรงตำแหน่งดวงตาทั้งคู่ที่คล้ายจะพยายามลืมขึ้น!

และที่ยิ่งทำให้ทุกคนตะลึงพรึงเพริดสิ้นหวังกันยิ่งกว่าเดิมก็คือ… เส้นแสงตราผนึกที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนซ่อมแซมขึ้นใหม่บนร่างของผู้บงการในปีนั้น ตอนนี้ก็ได้พังทลายลงไปด้วย โดยเริ่มร้าวจากตำแหน่งจุดตันเถียนแล้วค่อยๆ จางหายลามไปยังตำแหน่งหว่างคิ้ว สามารถจินตนาการได้เลยว่า หากเส้นแสงนี้หายไปในหว่างคิ้วเมื่อไหร่

ผู้บงการนี่ฝานต้อง…ตื่นขึ้นมาแน่นอน!!

บัดนี้ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลกำลังเผชิญอยู่กับวิกฤตแห่งความเป็นความตาย เมื่อมองไปไกลๆ ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีดำ เงาปีศาจมืดฟ้ามัวดิน ปราณของนักพรตทงเทียนระเบิดท่วมเทียมฟ้า และพลังอำนาจทั้งหมดนี้หาใช่แผ่ไปทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล แต่ล้วนมุ่งหน้าตรงไปยัง… ทิศทางที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิขุย แล้วพลันหดสวบเข้าหากัน!!

ที่นั่นต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายของพวกเขา เพราะว่าที่นั่นมี…  ป๋ายเสี่ยวฉุน!!

ซ่งจวินหว่าน โหวเสี่ยวเม่ย โจวจื่อโม่ กงซุนหว่านเอ๋อร์ และยังมีพวกต้าเทียนซือ หลี่ชิงโหว ราชาผียักษ์ ผู้แข็งแกร่งทุกคนในราชวงศ์จักรพรรดิขุย ยามนี้ล้วนหน้าซีดขาว พวกเขามารวมตัวกันอยู่นอกห้องลับของป๋ายเสี่ยวฉุน มองทะเลเพลิงที่หดเล็กลงอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงเงาปีศาจที่บินทะยานเข้ามา

และยังมีนักพรตทงเทียนที่เดินข้ามผ่านความว่างเปล่าขยับเข้ามาใกล้ทีละก้าว ในใจของพวกเขาพลันบังเกิดความสิ้นหวัง

“สุดท้าย… ก็ไม่ทันกาลอย่างนั้นหรือ!”

“บางทีการบอกลาในวันนั้น คงเป็นการจากลาครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ …”

ท่ามกลางความขมขื่นของทุกคน เสี่ยวเสี่ยวหันหน้ากลับไปมองห้องลับด้านหลังที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านพลางเอ่ยเรียกเบาๆ

“ท่านพ่อ…”

เสียงนี้แฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ แฝงไว้ด้วยความรักและเคารพ และยิ่งมากด้วยการบอกลา…

ต้าเทียนซือหัวเราะเสียงขื่น ราชาผียักษ์หายใจถี่กระชั้น เทียนจุนคนอื่นๆ ล้วนตาแดงก่ำ พวกเขาหันมามองหน้ากัน เข้าใจดีว่าไม่มีที่ไหนให้หลบหนีได้อีกแล้ว เวลานี้จึงพากันระเบิดตบะพร้อมที่จะเปิดฉากต่อสู้จนตัวตาย!

ทว่าเวลานี้เอง แผ่นดินของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลกลับสั่นไหวขึ้นมา การสั่นสะเทือนครั้งนี้รุนแรงอย่างถึงที่สุด แม้ไม่ถึงขั้นพลิกฟ้าตลบดิน แต่กลับมีปราณที่แข็งแกร่งขุมหนึ่งระเบิดตูมเกริกก้อง!

ปราณนี้เหนือกว่าบุพกาล วินาทีที่ระเบิดออกมา ต่อให้เป็นนักพรตทงเทียนเอง ดวงตาก็ยังเปล่งประกายวาบ รีบหันขวับมองไปยัง…มหาสมุทรหย่งเหิง!!

ปราณนี้มองดูเหมือนแผ่ออกมาจากแผ่นดินของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ทว่าในความรู้สึกของนักพรตทงเทียน อีกฝ่ายกลับมาจาก… จุดลึกของมหาสมุทรหย่งเหิง!

บัดนี้ในรอยแตกซึ่งอยู่ในจุดลึกของมหาสมุทรหย่งเหิง

ปลายทางของแม่น้ำแห่งนิรันดร์กาลที่อยู่ในรอยแตก นอกระฆังใหญ่บนแม่น้ำแห่งนิรันดร์กาล จักรพรรดิเซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นพลันลืมตาทั้งคู่เบิกโพลง!

เมื่อดวงตาของเขาลืมขึ้น หว่างคิ้วของเขาก็มีดอกไม้ดอกหนึ่งที่เป็นเหมือนตราประทับผุดขึ้นมา… “บุปผาแห่งนิรันดร์กาล!”

เหมือนกับตราประทับที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของนักพรตทงเทียน ตราประทับนี้ก็คือตราประทับของผู้บงการ ต่อให้พวกเขาต่างก็เป็นครึ่งก้าวผู้บงการ ทว่าก็ยังคงมีตราประทับเป็นของตัวเองตรึงอยู่… ซึ่งนี่เป็นการบอกว่าพลังและทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา มีต้นกำเนิดมาจากใคร!

อันที่จริงการเลื่อนขั้นครั้งนี้ของเขายังไม่สิ้นสุด เพราะยังไม่สามารถรวบรวมตบะทั้งหมดให้อยู่ในขอบเขตของครึ่งก้าวผู้บงการได้อย่างมั่นคง แต่ตอนนี้เขาจำต้องหยุดพักการฝึกตน จำต้องออกจากด่านมาก่อนกำหนด!

เพราะว่า เขาคือ… “จักรพรรดิเซิ่ง!”

เพราะว่า นี่ก็คือบ้านเกิดของเขาเหมือนกัน!

เพราะว่า เต๋าของเขา มาจากมารดาแห่งนิรันดร์กาล!

“นักพรตทงเทียน แม้จักรพรรดิขุยไม่อยู่ แต่ก็ยังมีข้าจักรพรรดิเซิ่งที่คอยพิทักษ์แผ่นดิน!”

เสียงคำรามเดือดดาลที่ดังออกมาจากปากของจักรพรรดิเซิ่งประหนึ่งอสนีสวรรค์ที่มาระเบิดอยู่ท่ามกลางฟ้าดินของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เมื่อเสียงของเขาก้องกังวาน จักรพรรดิเซิ่งก็พลันลุกขึ้นยืน หลังจากเดินออกมาได้หนึ่งก้าว ร่างของเขาก็หายวับไป ปรากฎตัวอีกครั้งก็มาอยู่กลางอากาศเหนือนครจักรพรรดิขุยแล้ว!

เมื่อเขาปรากฏตัว พายุหมุนลูกหนึ่งก็พลันก่อตัวขึ้นบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้วพวยพุ่งเชื่อมกับท้องฟ้า ก่อนจะหมุนคว้างตรงไปหานครจักรพรรดิขุย เพื่อปะทะเข้ากับทะเลเพลิงสีดำที่อีกฝ่ายแผ่มา!

เสียงตูมตามดังสนั่นนภาและปฐพี ทะเลเพลิงกับพายุลมกรดพุ่งเข้าชนกันก็เหมือนการปะทะระหว่างฟ้ากับดิน เสียงที่เกิดขึ้นจากการชนกระแทกครั้งนี้ทำให้ทุกชีวิตบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลรู้สึกเหมือนหูจะดับไปชั่วขณะ!

ลมพายุทัดทานทะเลเพลิง ขณะเดียวกันเงาร่างของจักรพรรดิเซิ่งก็เดินออกมาหนึ่งก้าว ครั้นแล้วจึงยกมือขวาขึ้นคว้าจับผ่านอากาศไปยังทิศทางที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ทันใดนั้นดอกบัวขนาดใหญ่กลางนครจักรพรรดิเซิ่งที่ประคองค้ำยันพระราชวังเอาไว้ก็พลันสั่นสะเทือน แล้วพุ่งทะยานถอนรากถอนโคนตัวเองขึ้นมา พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้าของจักรพรรดิเซิ่งพลางแผ่แสงนวลตาออกมาเป็นระลอก

แสงนี้แผ่กระจายไปปกคลุมห่อหุ้มทั่วนครจักรพรรดิขุยประหนึ่งผ้าคลุมขนาดยักษ์ ซึ่งพอปรากฏตัว ไม่ว่ากองทัพเงาปีศาจที่อยู่ด้านหลังทะเลเพลิงจะพุ่งเข้ามากระแทกชนโจมตีมากแค่ไหน ก็ไม่อาจสั่นคลอนมันได้แม้แต่น้อย!

หลังจากแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้แล้ว จักรพรรดิเซิ่งก็พลันเงยหน้าขึ้น ตราประทับตรงหว่างคิ้วเปล่งแสงวาบ ก่อนพุ่งทะยานเข้าหานักพรตทงเทียน!

“น่าสนใจ” นักพรตทงเทียนที่ยืนมองจักรพรรดิเซิ่งด้วยสายตาเย็นชาพลันหัวเราะขึ้นเบาๆ

“เพียงแต่ว่า… เต๋าของเจ้า มาจากมารดาแห่งนิรันดร์กาล เต๋าของข้า มาจากผู้บงการนี่ฝาน แค่ด้านระดับชั้น เจ้าก็สู้ข้าไม่ได้แล้ว…ขณะเดียวกัน เจ้ายังไม่ทันได้สร้างความมั่นคงให้แก่ขอบเขตว่าที่ผู้บงการอย่างสมบูรณ์แบบด้วย เจ้าที่เป็นเช่นนี้…ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะขัดขวางข้า!”

นักพรตทงเทียนแหงนหน้าหัวเราะร่า วินาทีที่พุ่งเข้าหาจักรพรรดิเซิ่ง ร่างของเขาก็พลันหายวับไป พอปรากฎตัวอีกครั้งก็ได้กลายมาเป็นแสงสีดำผืนหนึ่งที่ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าจักรพรรดิเซิ่ง แล้วพุ่งเข้าชนอย่างแรงโดยไม่ลังเล!

จักรพรรดิเซิ่งหน้าเปลี่ยนสี รีบรับมือในทันที ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก เลือดสดทะลักออกมาจากปากของเขา ร่างของเขาเซร่นถอยไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ทว่าแสงสีดำนั่นกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดชะงัก พริบตาเดียวก็ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง

ผ่านที่ใด ความว่างเปล่าก็แห้งเหี่ยวโรยรา พลังชีวิตที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินรอบด้านเริ่มแหลกสลาย ปราณแห่งความตายแผ่อบอวลไปสี่ทิศ แสงสีดำนี้เหมือนจะเขมือบกลืนทุกอย่าง เมื่อขยับเข้าไปใกล้จักรพรรดิเซิ่งอีกครั้ง จักรพรรดิเซิ่งก็แผดเสียงคำรามกร้าว มือทั้งคู่ยกทำมุทรา ทันใดนั้นรอบกายของเขาก็มีดวงจันทร์ขนาดมหึมาโผล่พรวดขึ้นมา!

นี่ก็คือเวทอภินิหารของเขา และเมื่อตบะของเขาเพิ่มสูงขึ้น พระจันทร์ที่ปรากฏในครั้งนี้จึงไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นจันทร์เต็มดวงที่แผ่พลานุภาพสยบแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด

ทว่าในแสงสีดำที่จำแลงมาจากนักพรตทงเทียนกลับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมา พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาหาพระจันทร์เต็มดวงดวงนั้นแล้วแตะลงเบาๆ ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที!

เพียงแค่กดมือลง จันทร์เต็มดวงก็มีรอยปริแตกร้าวลามไปทั่วพร้อมเพสียงลั่นดังเปรี๊ยะๆ จนกระทั่ง… ระเบิดตูมแล้วแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ!

จักรพรรดิเซิ่งกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ถอยกรูดไปด้านหลัง ดวงตาฉายความไม่ยอมแพ้ แต่ที่มากกว่ากลับเป็นความเสียดาย

“หากให้เวลากับข้าอีกสักสองสามปี…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!