บทที่ 307 เป้าหมาย…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
“หลอมพลังจิตสิบครั้ง น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!!” ในสำนักธาราทมิฬ บุรพาจารย์หลายคนรู้สึกเหลือเชื่อ จิตใจของพวกเขาสะท้านสะเทือน แม้แต่พวกเขายังเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตยาอายุวัฒนะของสำนักธาราทมิฬ พวกเขาแต่ละคนหนังหัวชาหนึบ ลมหายใจถี่กระชั้น
ต่อให้เป็นคนของสำนักธาราโลหิต บัดนี้ก็ยังเกิดเสียงดังอึงอลขึ้นในสมอง บุรพาจารย์หลายท่านของสำนักธาราโลหิตรู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ให้ความสำคัญกับกระบี่เขาสวรรค์เล่มนี้อย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ได้มาเห็นอานุภาพของกระบี่เล่มนี้กับตาตัวเอง จึงจำต้องยอมรับว่า พวกเขายังประเมินกระบี่สยบสำนักเล่มนี้…ต่ำเกินไป!
“หลอมพลังจิตสิบครั้ง…ดูท่าเรื่องเล่าจะเป็นความจริง หลังจากหลอมพลังจิตสิบครั้งแล้ว วัตถุจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าตะลึง…เกรงว่ากระบี่นี้ขาดอีกแค่เส้นเดียวก็สามารถกลายมาเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้แล้ว!” ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตสูดลมหายใจเข้าลึก จากการที่ได้ร่วมมือกับสำนักธาราเทพ เขาก็ค่อยๆ มองออกแล้วว่าสำนักธาราเทพ…ถนัดในการซุกซ่อนอำพรางยิ่งนัก พลังที่แท้จริงเช่นนี้ แม้ว่าจะเทียบกับสำนักธาราโลหิตของพวกเขาไม่ได้ แต่หากเปิดศึกกันขึ้นมาจริงๆ ต่อให้สำนักธาราโลหิตชนะก็ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สาหัสสากรรจ์ ทั้งต้องสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าไปอยู่ในแม่น้ำตอนกลางอย่างแน่นอน
หรืออาจถึงขั้นที่ว่า…ภายหลังเมื่อสำนักธาราทมิฬมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ เกรงว่าภาพเหตุการณ์ในสนามรบที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้ อาจไปปรากฏอยู่นอกประตูสำนักธาราโลหิตเสียเอง
การปะทะกันระหว่างกระบี่เขาสวรรค์และวัวสวรรค์เกราะดำดึงดูดสายตาของทุกคนไปหมด โดยเฉพาะบนเมืองคูน้ำที่ตอนนี้มีปราณระลอกหนึ่งแอบเพ่งเล็งอยู่รอบๆ ร่างของวัวสวรรค์เกราะดำ…
เวลานี้เมื่อกระบี่เขาสวรรค์ยกตวัดขึ้น เมื่อวัวสวรรค์เกราะดำหัวและร่างหลุดออกจากกัน บนสนามรบเกิดความเงียบในระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นนักพรตทุกคนของสำนักธาราเทพก็ระเบิดเสียงไชโยกู่ร้องสะเทือนเลือนลั่น ขวัญกำลังใจของทุกคนเพิ่มปะทุพรวดพราด
ที่รู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิงคือนักพรตสำนักธาราทมิฬ พวกเขามองเห็นวัวสวรรค์เกราะดำอันเป็นอาวุธล้ำค่าของสำนักตัวเองสิ้นใจตาย มองเห็นเลือดสดสีดำที่สาดกระเซ็นไปรอบด้าน นักพรตสำนักธาราทมิฬที่อยู่ในเมืองคูน้ำจิตใจห่อเหี่ยว แต่ละคนก้มหน้าลงต่ำ ความคิดมากมายบังเกิดขึ้นในหัว
และเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีคนสังเกตเห็นว่าเมื่อพวกเขามองไปยังผลึกที่แผ่พลังแปลกประหลาดซึ่งอยู่ในศพของวัวสวรรค์เกราะดำนั้น ก็คล้ายจะถูกมันดึงดูดเอาไว้
ทว่าผู้ที่พบผลึกหินก่อนหน้านักพรตบนสนามรบแห่งนี้กลับเป็นสัตว์รบทุกตัว สัตว์รบพวกนั้นแต่ละตัวดวงตาแดงก่ำ เอาแต่จ้องเขม็งไปที่ผลึกหินก้อนนั้น
“ผลึกราชันย์แห่งสัตว์ ไม่ถูก นั่นมันของปลอม!” หลังจากที่ปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิตกวาดตามองหนึ่งครั้งก็พลันหน้าเปลี่ยนสี
แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาเอ่ยปาก เบื้องหน้าสัตว์รบและนักพรตทุกคน เถี่ยตั้นที่หดตัวลงจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือพลันระเบิดความเร็วน่าตกตะลึง บินดิ่งเข้าหาศพของวัวสวรรค์เกราะดำตัวนั้น
นัยน์ตาของมันเผยความกระหายใคร่ ทั้งยังมากด้วยความบ้าคลั่ง ความเร็วนั้นทำให้มันกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวพุ่งเข้าหาวัวสวรรค์เกราะดำในพริบตาเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน แอบรู้สึกไม่ชอบมาพากล ร่างของเขาจึงพุ่งตามออกไป ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเข้าไปใกล้ ทันใดนั้น…
เสียงตูมดังสนั่นดุจดั่งเสียงธนูพุ่งออกจากแล่งพลันดังลอยมาจากทิศทางที่ตั้งเมืองคูน้ำของสำนักธาราทมิฬ ทั้งยังมีเสียงกรีดผ่าอากาศเสียดแหลมที่ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนปวดแสบปวดร้อนดังกึกก้อง
สามารถมองเห็นได้ว่ามีลูกธนูสีดำหนึ่งดอกพุ่งออกมาจากในเมืองคูน้ำสำนักธาราทมิฬอย่างรวดเร็วจนยากที่จะมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า ก่อนหน้านี้ยังอยู่ห่างไปไกล ทว่าวินาทีถัดมาลูกธนูดอกนี้กลับมาปรากฏอยู่ข้างกายของวัวสวรรค์เกราะดำ!
เป้าหมายของมัน ก็คือเถี่ยตั้น!!
ร่างของเถี่ยตั้นพลันสั่นเทิ้ม ภายใต้วิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงเช่นนี้ มันเปล่งเสียงคำรามแหบโหย คิดจะหลบเลี่ยง คิดจะดิ้นรน ทว่ากลับไร้ประโยชน์ ลูกธนูดอกนั้นกำลังจะแทงทะลุเข้ามาที่หว่างคิ้วของเถี่ยตั้น!
ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งทันที ลำคอของเขาแหบแห้ง ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน ร่างของเขาถลาพรวดบินออกไป ดวงตาที่สามพลันเบิกโพลงท่ามกลางเสียงคำรามกร้าวกระด้าง บัดนี้เนตรทงเทียนได้ระเบิดพลังแฝงเร้นทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลายร่างเป็นพลังควบคุม ดุจดั่งมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งคว้าจับไว้ที่ธนูดอกนั้นอย่างแรง พยายามสกัดขวาง
ส่วนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขยายความเร็วถึงขีดสุด พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ศพของแมลงเปลือกแข็งสีดำ พลังควบคุมที่แลกมาด้วยเลือดซึ่งไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ในที่สุดก็สามารถทำให้ธนูดอกนั้น…หยุดชะงักลงน้อยๆ!
วินาทีที่มันหยุดชะงักลง เถี่ยตั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หลบออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเถี่ยตั้นหลบไปได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพรูลมหายใจอยู่ในใจ ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นธนูดอกนั้นกลับเปลี่ยนทิศทาง ไม่ได้หมายหัวเถี่ยตั้นอีกต่อไป และก็ไม่ได้เล็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ทำท่าพุ่งแทงเข้าที่ผลึกหินสีดำนั้น…อย่างแม่นยำ!
ความรวดเร็วนั้นมากกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย ถึงขั้นที่ว่าเพียงแค่พลังโจมตีเดียวก็ทำให้พลังควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุนแตกละเอียดทั้งหมด…
ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาว ทว่าความเป็นจริงเกิดขึ้นรวดเร็วถึงขีดสุด ทุกคนที่อยู่บนสนามรบแห่งนี้ ผู้ที่มีสติคืนกลับมาได้รวดเร็วมีไม่มากนัก ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตที่อยู่บนท้องฟ้าเวลานี้ร่างสั่นเยือก หนังหัวแทบระเบิด แผดเสียงตะโกนขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“เย่จั้งรีบถอยเร็วเข้า เป้าหมายของมัน…คือเจ้า!!”
ปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิตเพิ่งเอ่ยจบก็ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน บุรพาจารย์คนอื่นๆ จึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับคืนมา พากันหน้าเปลี่ยนสี คิดจะช่วยเหลือ แต่กลับไม่ทันกาลเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้มองดูแล้วเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนเสี่ยงอันตราย ทว่าทุกเวลานาทีล้วนมีบุรพาจารย์คอยระวังภัยอยู่ตลอดเวลา หากป๋ายเสี่ยวฉุนเจอวิกฤตความเป็นความตาย พวกเขาก็จะลงมือทันที
ทว่าตอนนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป อีกฝ่ายเลือกเวลาลงมือได้อำมหิตยิ่งนัก อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นฝ่ายพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วเอง แถมเถี่ยตั้นก็ตกอยู่ในอันตราย เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้มารวมกับความเร็วสูงสุด จึงทำให้การคุ้มกันที่บุรพาจารย์เทพโลหิตสองสำนักมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุน เกิดช่องโหว่…ในที่สุด!
ช่องโหว่นี้คนนอกมองไม่ออก ทว่ามีหรือที่สำนักธาราทมิฬจะมองไม่ออก หรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่า นี่ก็คือฉากสังหาร…ที่บุรพาจารย์ชื่อหุนของสำนักธาราทมิฬซึ่งแข็งแกร่งที่สุดผู้นั้นจัดวางเองกับมือ!
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหดตัว ไม่มีเวลาให้คิดมาก วิกฤตควาเป็นความตายที่รุนแรงมากเช่นนั้นทำให้เขามิอาจป้องกันตัวเองได้มากนัก เวลานี้มือเอื้อมคว้าจับเถี่ยตั้นเอาไว้ท่ามกลางเสียงคำราม ปากมีแสงสีดำเปล่งวาบ หม้อกระดองเต่าพลันบินออกมาในพริบตา และเขาก็ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีหดร่างลงเข้าไปอยู่ในการปกคลุมของหม้อกระดองเต่าพร้อมเถี่ยตั้นที่ร่างหดเล็กลงเช่นกัน
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำทุกอย่างนี้เสร็จ ลูกธนูดอกนั้นก็ปักสวบลงไปบนผลึกหินในร่างแมลงเปลือกแข็งสีดำ วินาทีที่มันสัมผัสเข้าด้วยกัน เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้า คลื่นสีดำเส้นหนึ่งพลันแผ่กระจายออกมาปกคลุมไปทั่วรัศมีสามสิบจั้ง ทุกที่ที่ผ่าน ไม่เหลือแม้แต่พืชหญ้าสักต้น ในรัศมีสามสิบจั้ง ทุกสิ่งมีชีวิตถูกลบเลือนให้หายไป เสียงร้องโหยหวนยังไม่ทันได้เล็ดรอดออกมา ร่างก็สลายหายวับไปทันทีทันใด…
แม้แต่ร่างของวัวสวรรค์เกราะดำเองก็ยังสูญสลายกลายเป็นเถ้าธุลี แม้กระทั่งพื้นดินในรัศมีสามสิบจั้งก็ยังยุบหายไปครึ่งจั้งเมื่อเทียบกับรอบด้าน เกิดเป็นหลุมแบนราบหลุมหนึ่ง!
หลังจากแสงสีดำไร้ที่สิ้นสุดสลายหายไปหมด สิ่งที่ยังคงหลงอยู่มีเพียงหม้อสีดำใบใหญ่ที่วางแน่นิ่งอยู่ข้างขอบหลุม
สายตาของทุกคนที่อยู่รอบด้านพากันจ้องมองนิ่ง หม้อใหญ่ใบนั้นสั่นน้อยๆ แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ขาวซีดของป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของเขาแฝงเร้นไว้ด้วยความหวาดกลัว ร่างของเขาสั่นสะท้าน ความรู้สึกที่เพิ่งรอดพ้นมาจากความตายทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนน้ำตาแทบจะหยด
“สำนักธาราทมิฬ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ขอจบกับพวกเจ้าง่ายๆ เจ้าๆๆ…พวกเจ้าบังอาจลอบโจมตีข้าถึงสองครั้ง!!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแหลมปรี๊ด เขากลัวนี่นา เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ถึงแม้จะมีหม้อกระดองเต่าปกป้องเอาไว้ ทว่าเขาก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ท่ามกลางความตายอยู่ดี
ยังดีที่หม้อหลอมพลังจิตใบนี้แสดงศักยภาพที่น่าตื่นตะลึงออกมา มิฉะนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าชีวิตน้อยๆ ของตนคงสิ้นไปนานแล้ว เวลานี้ใจของเขาเต้นโครมๆ ความหวาดกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเสมือนกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ทำให้แข้งขาของเขาอ่อนยวบ
“เถี่ยตั้น เจ้าเกือบจะทำให้พ่อเจ้าตายแล้ว รู้บ้างไหม!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลานออกมาจากหม้อกระดองเต่า ในอ้อมอกมีเถี่ยตั้นที่เวลานี้ก้มหน้าทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ มันรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางเช่นนี้ของเถี่ยตั้นก็ด่าไม่ลง ไฟโทสะที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจมารวมกันอยู่ที่ดวงตาทั้งคู่ ตอนที่มองไปยังเมืองคูน้ำ เขาเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองโดยมีธนูคันใหญ่อยู่ในมือ
“ตาแก่หนังเหนียว รอนายท่านป๋ายของเจ้าก่อนเถอะ ธนูคันนั้นในมือเจ้า ข้า…ข้าจะเอามาแน่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาลถึงขีดสุด คำรามเกรี้ยวกราดไม่หยุด
“ยังไม่ตายอีกรึ!!” บนเมืองคูน้ำ ในมือของบุรพาจารย์ชื่อหุนถือธนูใหญ่สีเขียวหนึ่งคัน ธนูนี้เต็มไปด้วยความเก่าแก่ผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน แผ่ปราณบางอย่างของวิถีฟ้าออกมา ซึ่งนั่นก็คือ…อาวุธล้ำค่าชิ้นที่สองของสำนักธาราทมิฬ ธนูสวรรค์!
ลูกศรดอกนั้น ยิงออกไปจากธนูคันนี้!
คิดจะฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน สำนักธาราทมิฬของพวกเขาดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่า ต่อให้เป็นนักพรตขั้นยาอายุวัฒนะก็ยังมิอาจทำได้สำเร็จ มีเพียงบุรพาจารย์ลงมือเองเท่านั้น ทว่าบุคคลในระดับบุรพาจารย์หากลงมือ อีกฝ่ายย่อมต้องมีการสกัดขวาง อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าถึงแม้มองดูแล้วบนสนามรบจะอลหม่านวุ่นวาย ทว่าในความเป็นจริงแล้วการปกป้องที่สองสำนักเทพโลหิตมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นกลับเข้มงวดถึงขีดสุด
บุรพาจารย์ชื่อหุนหาโอกาสลงมือสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนแบบโต้งๆ ไม่ได้แม้แต่นิด ดังนั้นเขาถึงได้คิดวิธีนี้ขึ้นมา ใช้การเสียสละวัวสวรรค์เกราะดำเป็นค่าตอบแทน ส่งผลึกหินที่มีปราณเส้นหนึ่งของราชันย์แห่งสัตว์ออกไปล่อลวงเถี่ยตั้น หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออกหน้าช่วยเหลือก็ช่าง เขาชื่อหุนก็จะยอมรับ แต่ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว ถ้าเช่นนั้น…ก็สามารถระเบิดผลึกหินสีดำก้อนนั้น ลบเลือนทุกการดำรงอยู่รอบด้าน สังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้โดยตรง!
ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนตาย ก็สามารถทำให้เทพโลหิตเจ็บปวดถึงขีดสุด ทั้งยังต้องแตกคอกันเอง ถึงเวลานั้นต่อให้สำนักธาราทมิฬต้องยอมยกธงขาว วันหน้าก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาใหม่!
ทว่า…ทุกการวางแผนคิดคำนวณของเขา สุดท้ายกลับพบว่ายังมิอาจดับทำลายเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ได้ ความอึดอัดคับข้องใจของเขาจึงไต่ไปถึงระดับยากจะบรรยาย
มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ตาย บุรพาจารย์เทพโลหิตสองสำนักก็พากันถอนหายใจ หลี่ชิงโหวก็ยิ่งตัวสั่น เมื่อครู่เขาได้แต่มองเซ่อ และยังมีเพื่อนของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในสนามรบที่ต่างก็พากันสะท้านสะเทือนไปทั้งกายใจ
จากนั้นภายใต้ความโกรธแค้น การโจมตีของสองสำนักเทพโลหิตจึงระเบิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้กระบี่เขาสวรรค์แผดเสียงคำรามพุ่งเข้าแทงค่ายกลของเมืองคูน้ำ หรือแม้แต่อาวุธล้ำค่าอื่นๆ ของสำนักเทพโลหิตก็ยังพากันเผยกาย!
ไม้ยักษ์สีเลือด กระจกโลหิต วัตถุต่างๆ มากมาย คำรามเข้าโจมตีคล้ายจะแหวกฟ้าผ่าดิน!