Skip to content

A Will Eternal 357

บทที่ 357 มาด้วยจุดประสงค์ร้าย

บนนภากาศทุกคนล้วนแย่งชิงกันไปมา โดยเฉพาะหลังจากที่นักพรตก่อกำเนิดของสำนักสยบธารปรากฏตัวก็ยิ่งมีเงาร่างบิดเบือนมากมายเผยออกมาจากในความว่างเปล่า แล้วเข้ามาร่วมวงด้วยอย่างรวดเร็ว

เงาร่างเหล่านี้ล้วนอำพรางปราณและรูปลักษณ์ที่แท้จริงเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่ยินดีให้สำนักสยบธารรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง และมองดูแล้วก็เหมือนว่าไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียว แต่สามารถแบ่งออกได้ถึงสี่กลุ่ม!

ท่ามกลางการช่วงชิงนี้ ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของบรรพบุรุษโลหิตที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักพลันเบิกโพลง เผยให้เห็นสายตาที่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งของ

ป๋ายเสี่ยวฉุน เถี่ยตั้นคือลูกชายของเขา ในฐานะที่เป็นพ่อของเถี่ยตั้น มองเห็นคนเหล่านี้รังแกเถี่ยตั้นถึงเพียงนี้ แถมยังคิดจะแย่งเอายาม่วงของเถี่ยตั้นไป มีหรือที่เขาจะยอมทนได้!

“ไสหัวไป!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดัง เสียงคำรามของเขาดังผ่านร่างของบรรพบุรุษโลหิตจึงกลายเป็นเสียงระเบิดที่ดังเกินอสนีบาต สั่นสะเทือนไปยันเก้าชั้นฟ้า มือขวาของบรรพบุรุษโลหิตยกขึ้นกำเป็นหมัดแล้วต่อยโครมลงไปบนนภากาศอย่างแรง

หมัดนี้ปลดปล่อยจากตบะทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุน ระเบิดออกมาพร้อมกับยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าและยาวัชระมิวางวายของเขา อาศัยเรือนกายบรรพบุรุษโลหิตสะสมความโกรธเคืองของเขา เมื่อหมัดนั้นเหวี่ยงออกไป ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น ความว่างเปล่าสั่นคลอน หมัดใหญ่ยักษ์ไม่ต่างไปจากพื้นแผ่นดินกว้างใหญ่กระแทกลงบนท้องฟ้า ทำให้นภากาศสั่นไหวคล้ายจะแตกทลาย ก่อเกิดเป็นลมพายุคลุ้มคลั่งซัดถาโถม

พายุนี้พัดกวาดไปสี่ทิศ ทำให้คนเหล่านั้นที่หวังจะฉกฉวยผลประโยชน์พากันหน้าเผือดสี รีบถอยหลบ หลายคนที่หลบไม่ทันก็กระอักเลือดออกมาทันที

ส่วนงูบินตัวนั้นที่เข้ามาใกล้พอดีก็ถูกหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนกระแทกลงบนร่างอย่างจัง มันร้องคำรามแหบโหย ลนลานถอยกรูดออกไป

ตลอดทั้งท้องฟ้าเงียบสงัดลงไปในบัดดล ทุกคนล้วนหันมามองเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทั้งยังมีคนกำลังวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องว่าเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตนี้มีจุดอ่อนที่ตรงไหน

เฟิงเสินจื่อและหันจงสบตากันหนึ่งครั้ง เดิมทีพวกเขาคิดจะรออีกสักหน่อยเพื่อล่อให้คนออกมามากกว่านี้ แต่ก็รู้ว่าการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขนาดควบคุมร่างบรรพบุรุษโลหิตเพียงลำพังโดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทนเช่นนี้ หากยังถ่วงเวลาต่อไป เกรงว่าคงจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตำหนิพวกเขาอยู่ในใจ ดังนั้นจึงพยักหน้าให้แก่กัน

“ได้เวลายุติแล้ว ต่อให้คนบางส่วนจะไม่ได้ปรากฏตัวก็ต้องหวาดผวากันไปบ้างแล้ว!” หันจงโบกมือ พริบตาเดียวชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็มีพระอาทิตย์สีดำปรากฏขึ้น อีกทั้งด้านหลังพระอาทิตย์สีดำนี้ก็มีพระอาทิตย์สีขาวปรากฏอีกที พระอาทิตย์ขาวดำทับซ้อนเข้าด้วยกัน อีกาขาวดำด้านในก็ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเบิกตาเบิกโพลง กรีดร้องเสียงแหลมบาดหู

พุ่งพรวดออกมา…ในชั่วพริบตาเดียว พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวดังสะท้อน หุ่นไล่กาเดินออกมาจากในความว่างเปล่า แถมยังมีกระบี่เขาสวรรค์ที่กลายร่างเป็นแสงสีทองแลบปลาบอยู่ระหว่างชั้นเมฆ ตรงดิ่งเข้าหาทุกคน

ยังไม่สิ้นสุด ค่ายกลของสำนักสยบธารก่อนหน้านี้มองดูเหมือนเปิดใช้เต็มขีดจำกัดแล้ว ทว่าเวลานี้เมื่อมีประกายแสงเปล่งวาบ อานุภาพของมันกลับเพิ่มพรวดขึ้นถึงสามเท่า กลายร่างมาเป็นแสงกระบี่ขนาดยักษ์สามเล่ม ทุกที่ที่ผ่าน ความว่างเปล่าก็คล้ายมีไฟลุกไหม้

เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ฟ้าดินสะเทือนไหว เงาร่างเหล่านั้นพยายามสุดกำลังเพื่อถอยร่นหนีห่าง ทว่ายังไม่ทันได้บินออกไปไกลนัก กระบี่เขาสวรรค์ก็ตามมาทันอย่างรวดเร็วแล้วสังหารคนผู้หนึ่งโดยไม่รั้งรอ

ร่างของหุ่นไล่กาเองก็เปล่งประกายแสงน่าพิศวง พอตามคนผู้หนึ่งไปทันก็กระโจนใส่ร่างของอีกฝ่าย แล้วลงมือถลกหนังของคนผู้นั้นทันใด ทว่าเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นภาพมายา จึงไม่มีหนังให้ถลก แต่ภาพความเหี้ยมโหดนี้ก็ยังคงทำให้คนมองขนพองสยองเกล้าได้อยู่ดี!

ส่วนแสงของพระอาทิตย์ขาวดำก็ยิ่งทำให้คนเหล่านั้นไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง อีกาขาวดำรวดเร็วถึงขีดสุด พุ่งผ่านตรงไหนต้องมีคนตายตรงนั้น

นี่ยังไม่ถือว่าเท่าไหร่ ที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือแสงกระบี่สามเล่มที่กลายร่างมาจากค่ายกลนั้นกลับแผ่กระจายออกไปรอบด้าน ก่อเกิดเป็นตาข่ายกระบี่สามชั้นที่มีกระบี่บินหนึ่งแสนเล่มตัดสลับกันบนท้องฟ้าพุ่งทะยานเข้าเข่นฆ่า!

มีเพียงงูบินตัวนั้นที่เวลานี้หนีเตลิดไปอย่างว่องไว หลี่จื่อโม่แค่นเสียงเย็นแล้วไล่ตามไปทันที

เมื่อมองไกลๆ ตลอดทั้งสำนักสยบธารแพรวพราวไปด้วยประกายแสง ประดุจ

บุปผากระบี่งดงามดอกหนึ่งที่ผลิบาน…

ทว่าที่น่าแปลกก็คือมีคนไม่น้อยตายไป แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมามากนัก อีกทั้งศพทุกศพที่ร่วงลงมายังพร่าเลือนและกระจายตัวกันออกไป มีเพียงคนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่พอตายแล้วเผยศพให้เห็น

เห็นได้ชัดว่าพวกที่ไม่มีซากศพ ไม่ใช่คนที่แท้จริง แต่เป็นร่างจำแลงที่ถูกหลอมมาจากเลือดลม ต่อให้เสียหายหรือถูกทำลาย แต่กลับไม่ได้ทำร้ายไปถึงแก่นแท้ของมัน

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อบุปผากระบี่สลัวราง ยาม่วงไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ตกลงเข้าไปในปากของเถี่ยตั้นและหลังจากถูกเถี่ยตั้นกลืนลงไปแล้ว ปราณบนร่างของมันก็ไต่ขึ้นสูงอย่างฉับพลัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกมาจากในร่างบรรพบุรุษโลหิต ใบหน้าของเขาซีดขาว แฝงไว้ด้วยความอ่อนเพลีย ต่อให้เป็นพลังของโอสถคู่ ทว่าควบคุมร่างของบรรพบุรุษโลหิตคนเดียว ทำให้เขาสูญเสียพลังไปมหาศาล

เวลานี้เขามองพวกบุรพาจารย์ทั้งหลายด้วยดวงตาวาววับ จงใจเผยให้พวกเขาเห็นความขุ่นเคือง

บุรพาจารย์หลายคนมองหน้ากันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน การรวมโอสถของเถี่ยตั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ของพวกเขา เดิมทีพวกเขามีวิธีการอื่นที่จะล่อให้พวกผู้คนที่จับตามองพวกเขาตาเป็นมันออกมา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังกังวลว่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเข้าใจผิด หันจงจึงเป็นฝ่ายออกหน้าอธิบายให้เขาฟัง

ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ทำท่าฮึดฮัด ฉวยโอกาสทวงเอาผลประโยชน์มากมายมาให้กับเถี่ยตั้น แล้วถึงได้ยอมเลิกรา

“ตาแก่พวกนี้นี่นะ…แต่ละคนช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบ้ปากบ่นพึมพำ แต่พอเห็นพลังอำนาจของเถี่ยตั้นที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นและรอคอยจนยอมให้อภัยพวกเขาได้ชั่วคราว

ราชันย์แห่งสัตว์รวมโอสถ ต่อให้รวมโอสถสำเร็จแล้วก็ยังจำเป็นต้องหล่อเลี้ยงด้วยความอบอุ่น ครั้งนี้บุรพาจารย์หลายคนมาช่วยกันเป็นผู้พิทักษ์เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นกับเถี่ยตั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขานั่งขัดสมาธิรอคอยอยู่เงียบๆ

รอเฉยๆ ก็เบื่อ เขาจึงนึกถึงทารกหญิงเจินหลิง นึกถึงยาทวนธารา อดไม่ได้จนต้องเริ่มศึกษาและครุ่นคิดขึ้นมาอีกครั้ง

“ยาทวนธารา หลอมในกายไม่ได้…นอกเสียจากว่าจะมีพลังชีวิตที่มากเพียงพอ แต่พลังชีวิตของข้าไม่พอ…ทว่าหากหลอมภายนอก แม้จะเป็นวิธีการที่ถูกต้องแต่ก็ยากเกินไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มไม่น้อย

“แม้ว่าข้าจะได้เลือดหยดหนึ่งมาจากเจินหลิง จึงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าจะต้องหลอมยาทวนธาราออกมาได้ แต่ว่า…ด้วยความรู้วิถีโอสถของข้าในตอนนี้ เกรงว่าคงยังไม่พอ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจด้วยความหดหู่เล็กน้อย ความรู้สึกที่ว่ารู้วิธีการแต่ทำออกมาไม่ได้นั้น ทำให้เขาอึดอัดคับข้องใจ

“หลอมภายในง่ายที่สุด…แค่มีพลังชีวิต…พลังชีวิต…หืม?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังห่อเหี่ยวกลัดกลุ้มอยู่นั้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเป็นประกาย ลมหายใจถี่กระชั้นน้อยๆ ก้มหน้าลงกวาดตามองถุงเก็บของหนึ่งครั้ง

“เจ้าเต่าน้อย…คือวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญ พลังชีวิตของมัน…น่าจะพอกระมัง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกมาถึงตรงนี้ใจก็พลันสั่นรัว แต่กลับไม่กล้าเปิดเผยโจ่งแจ้ง กังวลว่าเดี๋ยวเจ้าเต่าน้อยจะจับได้

“เจ้าเต่าน้อยเจ้าเล่ห์เกินไป ต้องคิดหาวิธีทำให้มันยอมช่วยอย่างว่าง่ายถึงจะได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาคิดถึงช่วงเวลาตอนที่เจ้าเต่าน้อยยังสลบ เพิ่งจะนึกมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันใจกระตุก

“สลบ…” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายชั่วร้าย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี ดังนั้นจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะต้องหลอมสุดยอดยาสลบออกมาให้ได้!

เจ็ดวันหลังจากนั้น ช่วงเช้าตรู่ เถี่ยตั้นที่ได้รับการปกป้องจากพวกบุรพาจารย์ใหญ่พลันลืมตา เงยหน้าขึ้นแผดเสียงคำรามยาวหนึ่งครั้ง ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ ร่างของมันเปล่งประกายแสงสีม่วง ปราณและคลื่นรวมโอสถระเบิดตูมตาม

หลังจากการระเบิด สัตว์รบตลอดทั้งสำนักสยบธารล้วนคำรามกู่ก้องยินดี

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิม พวกบุรพาจารย์เองก็พากันจากไปพร้อมรอยยิ้ม

เถี่ยตั้นคึกคักกระปรี้กระเปร่า หลังจากที่ทำตัวติดกับป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายวันก็เริ่มทนอยู่เฉยไม่ไหวอีกครั้ง จึงมักจะวิ่งออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกเป็นประจำ ยังดีที่มันไม่ได้ไปจากสำนักสยบธาร แค่ไปทำความสนิทสนมใกล้ชิดกับพวกสัตว์รบเพศเมียและลูกศิษย์หญิงที่อยู่ในสำนักเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ห้ามปราม และก็ปล่อยให้เถี่ยตั้นออกไปเที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ เวลานี้ความสนใจส่วนใหญ่ของเขาล้วนอยู่ที่การหลอมสุดยอดยาสลบนั่น ตลอดทั้งวันจึงเอาแต่นั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ ศึกษาตำรายาอย่างต่อเนื่อง

เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแก้ไขตำรับยาอยู่หลายครั้ง ตำรับยาจึงค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เจ้าเต่าน้อยเองก็โผล่หัวออกมาจากในถุงเก็บของอยู่หลายรอบ มันมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาระแวงสงสัย น่าเสียดายที่มันมองไม่เห็นความคิดของ

ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าหลายเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ดวงตาแดงก่ำที่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้เจ้าเต่าน้อยรู้สึกทะแม่งๆ

ส่วนด้านการบำเพ็ญตบะ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ละทิ้ง ทุกครั้งนอกจากครุ่นคิดถึงตำรับยาแล้ว เขายังฝึกคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดและเอ็นคงกระพันอย่างไม่ขาดช่วงด้วย

จนกระทั่งถึงเช้าตรู่วันนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังปรับเปลี่ยนตำรับยาในสมองให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นอยู่นั้น สีหน้าของเขาพลันกระตุก หยิบเอาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ เมื่อถือไว้ในมือ สมองของเขาก็มีน้ำเสียงแก่ชราของหันจงดังลอยมา

“เสี่ยวฉุน มาที่ตำหนักใหญ่เขาสยบธาร สามสำนักใหญ่ของแม่น้ำตอนกลางมาเยี่ยมเยียน เจ้าก็มาฟังด้วย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง หลังจากจบเรื่องของเถี่ยตั้น เขาและบุรพาจารย์ก็ได้พูดคุยกันไปแล้ว ตามการคาดเดาของพวกบุรพาจารย์ พวกคนที่ลงมือในวันนั้น บางคนก็ฝึกบำเพ็ญตบะด้วยตัวเอง บางคนก็มาหยั่งเชิงจากอีกสามสำนักที่เหลือ

เพราะยังไงซะสำนักสยบธารเพิ่งจะสถาปนาขึ้น การหยั่งเชิงจากอีกสามสำนักที่เหลือจึงถือเป็นที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว

นึกถึงเรื่องในวันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่จึงลุกขึ้นเปลี่ยนมาใส่ชุดของบุรพาจารย์น้อย วางมาดเคร่งขรึมเย็นชาเดินออกมาจากถ้ำ ตรงดิ่งไปที่ตำหนักใหญ่สยบธาร

ระหว่างทางมีนักพรตจำนวนไม่น้อยเห็นเขา แต่ละคนใบหน้ามืดคล้ำ ตอนที่หันไปมองตำหนักใหญ่บนยอดเขาต่างก็แสดงออกถึงความแค้นเคือง

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนวาววับ เดินหน้าต่อไป ไม่นานก็มาถึงตำหนักใหญ่ แล้วก็ได้เห็นว่านอกตำหนักใหญ่มีนักพรตสามกลุ่มที่สวมอาภรณ์ต่างกันยืนอยู่ แต่ละคนกำลังขับไล่ลูกศิษย์สำนักสยบธารที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักใหญ่ด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!