บทที่ 46 ภารกิจของศาลาพิพากษ์!
ป้ายคำสั่งนี้เป็นสีดำขลับ ตรงกลางมีอักษรคำว่า ‘พิพากษ์’ นูนออกเด่นออกมา ทำให้เวลามองไปอดจะมีความรู้สึกหนาวสะท้านเพิ่มขึ้นมาไม่ได้
ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันอยู่นั้น น้ำเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งพลันลอยออกมาจากป้ายคำสั่งนี้ ดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง
“ศิษย์ฝ่ายนอกป๋ายเสี่ยวฉุน จากการตรวจสอบของศาลาพิพากษ์ เจ้าเข้ามาอยู่ในสำนักหลายปี ทำภารกิจปลูกพืชวิเศษสำเร็จเพียงครั้งเดียว ผิดกฎของสำนัก ต้องถูกเกณฑ์ให้ออกไปปฏิบัติภารกิจนอกสนามในสามวันข้างหน้า ไม่อาจล่าช้า!”
น้ำเสียงเย็นชา ส่งผ่านความเหน็บหนาวออกมาเป็นระลอก ราวกับว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนกล้าปฏิเสธ เช่นนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือการลงโทษอันทารุณของศาลาพิพากษ์!
“ศาลาพิพากษ์!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกกว้างขึ้นโดยพลัน หัวใจกระตุก ป้ายคำสั่งนี้กลายเป็นแสงสีดำหนึ่งเส้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
รอบกายเงียบสงัด สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หลังจากหยิบป้ายประจำตัวของตนเองออกมา พบว่าด้านในนั้นปรากฏภารกิจหนึ่งที่บังคับให้ตนเองต้องไปทำ
เขาละเลยกฎของสำนักที่ว่าในหนึ่งปีต้องทำภารกิจให้สำเร็จอย่างน้อยหนึ่งอย่างไปเสียสิ้น แต่ป้ายคำสั่งของศาลาพิพากษ์นี้มากะทันหันเกินไป ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน
เขาเงียบงันอยู่ชั่วครู่ เดินออกจากห้อง หลังจากออกมาจากหอหลอมยาแล้วก็ตรงดิ่งไปยังยอดเขา
“เรื่องนี้ทะแม่งๆ แฮะ ทำให้ข้ารู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่เรื่อย…ข้าขึ้นเขามาหลายปี ไม่เคยเป็นฝ่ายไปหาท่านผู้นำมาก่อน ครั้งนี้ต้องไปเยี่ยมคารวะเสียหน่อย ถามให้รู้แน่ชัดว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดหนักไปตลอดทาง แต่พอไปถึงยอดเขาสอบถามเด็กรับใช้ของหลี่ชิงโหว กลับได้รู้ว่าหลี่ชิงโหวออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนโอดครวญร้องทุกข์ กระวนกระวายใจ ตอนที่หมุนตัวจากไปไม่ได้กลับไปยังหอหลอมยาทันที แต่ไปหาสวีเป่าไฉ ยังไงซะอีกฝ่ายก็รอบรู้ทุกเรื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าบางทีอาจจะได้เบาะแสอะไรจากอีกฝ่ายบ้างก็เป็นได้
สวีเป่าไฉเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นที่พักอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงมาตลอดทาง เวลานี้เป็นยามสายัณห์แล้ว สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ตลอดทางเจอเงาคนเพียงไม่กี่คน แผล็บเดียวก็มาถึงด้านนอกที่พักของสวีเป่าไฉ
ที่นี่ไม่เปล่าเปลี่ยวเท่าที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะมีที่พักอยู่ติดกันเจ็ดแปดหลัง เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว จึงสามารถมองเห็นแสงเทียนที่ลอดออกมาจากด้านในที่พักได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้า ไม่ได้เคาะประตู สะบัดตัวหนึ่งทีก็กระโดดข้ามเข้าไปในลานที่พักเลย มองเห็นได้ในทันทีว่าสวีเป่าไฉกำลังก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุดเล่มเล็ก
“สวีเป่าไฉ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเสียงเบา พอเขาเปล่งคำพูดออกไป สวีเป่าไฉก็ตกใจสะดุ้งวาบ หลังจากเงยหน้าพรวดขึ้นมาแล้วเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
“ศิษย์พี่ป๋าย” สวีเป่าไฉแปลกใจ รีบลุกขึ้นยืน ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาในห้อง
“ศิษย์พี่ป๋ายปิดด่านอยู่ที่หอหลอมยาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาหาข้าได้ล่ะ?” สวีเป่าไฉถามด้วยความแปลกใจ
“สวีเป่าไฉ เจ้ารู้จักศาลาพิพากษ์มากน้อยแค่ไหน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากทันที
“ศาลาพิพากษ์? มีอยู่สองแห่งที่เหนือใต้ ต่างก็มีอำนาจในการตรวจสอบควบคุมลูกศิษย์ฝ่ายนอกและนักการทั้งหมดที่อยู่ในสังกัดของตนเอง แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ออกหน้า นอกเสียจากว่าทำผิดกฎสำนักร้ายแรง” สวีเป่าไฉรู้สึกทะแม่งๆ มองเห็นว่าสีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนทะมึนๆ เขาก็รีบเอ่ยปาก
“แต่เมื่อออกหน้าแล้ว อำนาจของพวกเขาเยอะนัก ไม่ต้องพูดถึงว่าสามารถบีบบังคับให้ทำเรื่องบางเรื่องได้ สำหรับผู้ที่ทรยศแล้วหลบหนีก็สามารถไล่ฆ่าได้ทันที พูดอย่างนี้แล้วกัน ศาลาพิพากษ์ก็คือมีดเล่มหนึ่ง มีดที่แขวนไว้บนหัวของลูกศิษย์ฝ่ายนอก ทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกไม่ว่าคนใดก็ล้วนไม่กล้าทำผิดกฎสำนัก”
“หากทำผิดกฎสำนัก ถูกศาลาพิพากษ์จับตามอง ไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังชั้นหนึ่งออกมา…”
“แต่ว่าถึงแม้ศาลาพิพากษ์จะมีอำนาจไม่น้อย แต่ข้อจำกัดก็เยอะมากเช่นกัน ขอแค่ไม่ทำผิดกฎสำนัก ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจศาลาพิพากษ์” สวีเป่าไฉพูดละเอียดยิบ นำข้อมูลที่เขารู้เกี่ยวกับศาลาพิพากษ์บอกให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังทั้งหมด
ถึงขั้นที่ว่าพูดไปพูดมา เขายังบอกป๋ายเสี่ยวฉุนแม้กระทั่งจุดจบสุดท้ายอันโหดร้ายของลูกศิษย์ที่เกี่ยวข้องกับการถูกศาลาพิพากษ์จับตามองทั้งหมดอีกด้วย
“ห้าร้อยปีก่อน สำนักธาราเทพของเรามีผู้ทรยศอยู่คนหนึ่ง ถูกศาลาพิพากษ์ไล่ฆ่าอยู่เจ็ดวัน ทั้งร่างและวิญญาณล้วนไม่มีเหลือ!”
“สามร้อยปีก่อน ลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งทำผิดใหญ่หลวง ศาลาพิพากษ์ให้โอกาสเขา แต่เขากลับไม่ยอมสำนึกผิดแม้แต่นิด ผลคือถูกศาลาพิพากษ์นำเรื่องไปรายงานต่อสำนัก ถูกลงโทษให้อยู่ที่ด่านลมดำ โดนสายลมรุนแรงกรีดตัดร่างตลอดทั้งวันจนกระทั่งตายไป”
“หนึ่งร้อยปีก่อน โจวซานเต้าก่อกบฏ หลังจากศาลาพิพากษ์ตักเตือนแล้วแต่อีกฝ่ายยังคงไม่สำนึกผิด ทั้งยังเคลื่อนพล การปราบปรามโจวซานเต้า นอกจากมนุษย์ธรรมดาแล้ว เหล่านักพรตทั้งหมดล้วนสะท้านสะเทือนไปทั่ว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งไม่น่ามอง ในใจส่งเสียงดังโครมครามไม่หยุด
“เจ้าหมายความว่า ศาลาพิพากษ์จะทำอะไร โดยทั่วไปแล้วต้องมีการตักเตือนก่อน หากไม่สำนึกผิดก็จะลงโทษขั้นเด็ดขาด?”
“ใช่แล้ว นี่ก็คือหนึ่งในข้อจำกัดของศาลาพิพากษ์ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าอำนาจของศาลาพิพากษ์ไม่มีที่สิ้นสุดนะสิ” สวีเป่าไฉมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที ในใจแอบเดาได้ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจถูกศาลาพิพากษ์จับตามองเข้าให้แล้ว แต่เรื่องนี้เปราะบางเกินไป สวีเป่าไฉฉลาดรักษาตัวรอด ให้เล่าเรื่องข้อมูลน่ะได้ แต่กลับไม่กล้าเข้าไปพัวพันด้วยมากเกินไป
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้ว ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะจากไป สวีเป่าไฉลังเลอยู่ชั่วครู่ นึกถึงความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงพูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งประโยคเสียงเบา
“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านรู้จักลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาชิงเฟิง…เฉียนต้าจินหรือไม่? เขาเป็นญาติผู้พี่ของเฉิยเฟย คนผู้นี้เป็นหนึ่งในสมาชิกของศาลาพิพากษ์ด้วย”
หนึ่งก้านธูปผ่านไปป๋ายเสี่ยวฉุนก็จากมา เขาเดินอยู่บนทางเส้นเล็กของสำนัก มองไปยังจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงสิ่งที่สวีเป่าไฉบอก และนำมาเทียบกับแต่ละข้อที่ตัวเองเข้าใจมาก่อนหน้า หลังจากแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว ก็ถอนหายใจยาวหนึ่งที
“ในสำนักข้าก็ไม่ได้ไปล่วงเกินใครนี่นา หากมีจริง เฉินเฟยถือเป็นคนหนึ่ง แล้วก็พวกผู้ที่บูชาโจวซินฉีพวกนั้น…เฉียนต้าจิน เฉียนต้าจิน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน หลังจากกลับมาถึงหอหลอมยา เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง มองเตาหลอมยาที่อยู่ด้านหน้า หนังหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย
“พอจะเข้าใจแล้ว ที่ข้าไม่ได้ทำภารกิจของทุกปีให้สำเร็จเป็นเพียงแค่ข้ออ้างข้อหนึ่งเท่านั้น เรื่องแบบนี้ ในความเป็นจริงแล้วหากไม่มีคนไปตรวจสอบก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะยังไงซะก็ไม่มีทางมีแค่ข้าคนเดียวที่ทำไม่สำเร็จ เจ้าเฉียนต้าจินนั่นมีฐานะเป็นสมาชิกของศาลาพิพากษ์ นี่มันอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัวชัดๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ในดวงตาก็ปรากฏเส้นเลือดฝอย
“หากข้าไปทำภารกิจ คนผู้นี้จะต้องลงมือระหว่างทางแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่เปลืองสมองครุ่นคิดหาวิธีขนาดนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ต้องหลบซ่อน ไม่กล้าให้สำนักรู้เรื่องแน่ๆ สรุปโดยรวมแล้ว เขาเป็นฝ่ายถูกกระทำต่างหาก”
“แต่หากข้าไม่สนใจ ถ้าเช่นนั้นก็เข้าแผนเขาพอดี เขาจะไม่ใช่ฝ่ายถูกกระทำอีกแล้ว แต่สามารถใช้ฐานะของศาลาพิพากษ์มาเป็นฝ่ายลงโทษข้าได้เลย!”
ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ซ้ายก็ไม่ดี ขวาก็ไม่ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบป้ายประจำตัวออกมา ศึกษาภารกิจอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ไม่นานก็มองเห็นชื่อคุ้นเคยชื่อหนึ่งข้างในนั้น
“โหวอวิ๋นเฟย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง นึกถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งได้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอก เป็นโหวอวิ๋นเฟยนี่แหละที่เป็นผู้พาตนไปแนะนำให้รู้เรื่องในสำนัก หลังจากอ่านจบ เขาหลับตาใคร่ครวญ
ภารกิจนี้ไม่ยาก หลายปีก่อนโหวอวิ๋นเฟยรับภารกิจหนึ่งมา ออกไปปฏิบัติด้านนอก แต่ละเดือนจะต้องส่งข่าวกลับมายังสำนักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นเรื่องที่ลูกศิษย์คนใดก็ตามที่รับภารกิจระยะยาวจำเป็นต้องทำ
แต่เมื่อสองเดือนก่อนกลับขาดการติดต่อไป ไม่ได้ส่งข่าวกลับมา
ดังนั้นถึงได้มีภารกิจครั้งนี้ขึ้น โดยให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสามคนออกไปตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ไม่ได้กำหนดว่าจำเป็นต้องหาเบาะแสทั้งหมดให้เจอ
ภารกิจประเภทนี้เห็นได้เป็นประจำในสำนัก โดยทั่วไปแล้วก็เป็นเพียงแค่การตามหาเท่านั้น ตรวจสอบสักพักหนึ่ง หาเบาะแสบางอย่างเจอก็พอแล้ว เมื่อนำกลับมารายงานสำนัก สำนักจะเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งหายตัวไป สำหรับสำนักแล้วไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ยังไงซะก็เป็นลูกศิษย์ของสำนัก ดังนั้นเรื่องที่มีคนหายไปก็จำเป็นต้องจัดการ
ถึงทำให้มีภารกิจครั้งนี้ขึ้นมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ชั่วครู่ หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้วก็กัดฟัน
“ภารกิจนี้ ไปก็ไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจถี่ ดวงตาแดงก่ำรีบหลอมยาทันที เขาต้องการให้ก่อนที่ตนเองจะออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ผิวหนังเหล็กคงกระพันของตนเองต้องสำเร็จไปถึงขั้นใหญ่
สองวันต่อมา ตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนส่งเสียงดังสนั่น ขณะที่ตัวสั่นสะท้าน ผิวหนังตลอดทั้งร่างของเขากลายเป็นสีดำสนิทในชั่วขณะนั้น และผิวหนังสีดำนั่นก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมองอย่างละเอียด จะสามารถมองเห็นเส้นสีแดงเลือนรางวาบผ่านบนผิวหนังแล้วหายไป
“ดำคือเหล็ก แดงคือทองแดง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกดลงไปบนผิวหนังตัวเองหนึ่งทีก็ได้ยินเสียงโลหะดังออกมาเป็นระยะ ลุกขึ้นสะบัดตัวหนึ่งครั้ง ความเร็วเหนือล้ำยิ่งกว่าก่อนหน้า
ทดลองพละกำลังอีกหน่อย สุดท้ายร่างของเขากระโดดผลุงขึ้นมา นิ้วโป้งและนิ้วชี้บิดแรงๆ หนึ่งที ตรวนสลายลำคอสำแดงฤทธิ์ เสียงที่ดังออกมาจากความว่างเปล่าไม่ใช่เสียงคึ่กๆ อีกต่อไป แต่เป็นเสียงอื้ออึงดังตูมตาม แม้จะไม่ดังมาก แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอานุภาพตรวนสลายลำคอของตัวเองเหนือกว่าที่เคยมีกว่าหนึ่งเท่าตัว
“ผิวหนังเหล็กคงกระพัน สำเร็จขั้นใหญ่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นสำหรับการออกไปทำภารกิจด้านนอก
“เสียดายก็แต่ตอนนี้ข้าทำได้เพียงหลอมยาขั้นที่หนึ่งที่เหมาะสมกับการรวมลมปราณขั้นห้าลงไปเท่านั้น ต่อให้เป็นยาวิเศษ ผลลัพธ์ในการนำไปใช้ก็ไม่ได้ดีมากนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ในห้อง รู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพียงแต่เวลากระชั้นชิด เขายังไม่สามารถหลอมยาวิเศษขั้นสองที่เหมาะสมกับการรวมลมปราณขั้นแปดลงไปได้
ดังนั้นในด้านการบำเพ็ญตบะจึงไม่มีการพัฒนาไปมากนัก บรรลุถึงแค่ขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นหกเท่านั้น
“เช้าตรู่พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ว…” ใจป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียด หลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในสำนักธาราเทพ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปข้างนอกอย่างแท้จริง ในใจรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงเอาโล่ที่ได้มาจากเฉินเฟยออกมาจากถุง นำมาหลอมพลังจิตสามครั้ง แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่มั่นคง เขาจึงเอาเสื้อหนังสี่ห้าตัวที่สวมตอนประลองเล็กมาหลอมพลังจิตไปด้วยเลย
สุดท้ายคิดไปคิดมาก็รีบออกไปหาจางต้าพั่งในคืนนั้นเลย ยืมเอาหม้อใบใหญ่สีดำที่เขาเคยบอกว่ามีการลงค่ายกลธรณีอัคคีเอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี ทว่าไม่มีวิธีอื่นแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ได้กลับไปที่หอหลอมยา นั่งอยู่ในที่พักของเขาเอง รอให้ฟ้าสว่าง
“เฉียนต้าจิน รอให้ข้าถึงขั้นสร้างฐานรากเมื่อไหร่ เดี๋ยวเจ้าได้เจอดีแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ดวงตาค่อยๆ กลายเป็นสีแดง เขากลัวตายนี่นา วันนี้เขาไม่ใช่คนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักคนนั้นอีกแล้ว ได้เข้าใจโลกของการบำเพ็ญเพียรมาพอสมควรแล้ว
คิดเหลวไหลมาทั้งคืน…ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมาแล้ว
———