บทที่ 616 ข้าผู้เป็นราชาจะให้เขามีชีวิตต่อ
“คนเช่นนี้ไม่สมควรเห็นใจ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับร่างเผ่นทะยานต่อไป ระหว่างทางก็ศึกษาเรือวิญญาณรวมไปถึงผ้าใบเรือสีม่วงผืนเล็กของประมุขตระกูลป๋ายไปด้วย
แม้วัตถุสองชิ้นนี้จะไม่เลว โดยเฉพาะผ้าใบผืนเล็กที่ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังตกตะลึงไปกับมัน ด้านในผ้าใบผืนเล็กนาบประทับตราไว้ทั้งหมดหนึ่งแสนตรา ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับความเร็วทั้งสิ้น แม้จะสิ้นเปลืองมาก แต่หากนำมาใช้จะทำให้ความเร็วระเบิดไปได้ถึงระดับเหนือคำบรรยาย
ต่อให้เป็นประมุขตระกูลป๋ายเองก็ยังไม่สามารถร่ายใช้มันได้อย่างเต็มกำลังเพราะการเผาผลาญนั้นมีมากเกินไป มากจนถึงขั้นจินตนาการไม่ออก ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณดู หากร่ายใช้เต็มกำลัง แค่หนึ่งชั่วลมหายใจก็น่าจะต้องเผาผลาญยาวิญญาณระดับกลางไปถึงสิบเม็ด!
ความสิ้นเปลืองในระดับนี้ต่อให้เป็นตระกูลป๋ายเองก็ยังมิอาจแบกรับไหว…ที่สำคัญที่สุดก็คือเรือวิญญาณและผ้าใบเล็กนี้ล้วนมีตราประทับของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายอยู่ หากยังทำลายไม่ได้ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นของตน
อีกอย่าง…วัตถุสองชิ้นนี้ต่างก็หลอมพลังจิตแล้วสิบเอ็ดครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองลายเส้นสีทองที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านบนก็ต้องถอนหายใจออกมา รู้ว่าในระยะเวลาสั้นๆ นี้ตนไม่สามารถยืมมาใช้ได้
“แต่หากให้เวลาข้าอีกนิด บางทีข้าอาจสามารถใช้น้ำของแม่น้ำทงเทียนทำให้มันถูกกัดกร่อนไปทีละน้อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญอยู่ในใจ แล้วก็ถือโอกาสโยนของสองชิ้นนี้ลงไปในถังไม้ใบใหญ่ที่บรรจุน้ำของแม่น้ำทงเทียนทันที
เมื่อไม่ได้ร่ายใช้ เรือวิญญาณนั้นก็หดเล็กลงมีขนาดประมาณฝ่ามือ พอโยนมันเข้าไปไว้ในถังไม้เรียบร้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดึงเอาความคิดกลับคืนมาแล้วหรี่ตาทั้งคู่ลง
“ยังมีตราประทับที่อยู่บนร่างข้าอีก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น ผ่านไปพักใหญ่เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก มือทั้งคู่ทำมุทราตบไปทั่วร่างของตัวเองจนเลือดลมทั้งร่างเดือดพล่าน ใช้กฎเกณฑ์บางอย่างมาไล่ชำระล้างไปทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่องรอบแล้วรอบเล่า ทำเช่นนี้พลางเผ่นหนีไปด้วย
เวลาผ่านไปอีกสามวัน กลางวันของวันนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังห้อทะยานสีหน้าก็พลันกระตุก พอหันขวับกลับไปมองด้านหลังก็เห็นทันทีว่าระหว่างฟ้าดินด้านหลังเขามีรุ้งยาวเส้นหนึ่งกำลังพุ่งมาหาด้วยลักษณะเหิมเกริม
ในรุ้งยาวคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้เฒ่าคนนี้โดยสารอยู่บนเรือวิญญาณ ความเร็วมากถึงขีดสุด บนใบหน้าที่เปรอะเปื้อนเหนื่อยล้ากลับปกปิดไอสังหารและความดุร้ายไว้ไม่มิด เขากำลังทะยานดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่รู้ว่าคนผู้นี้ชื่ออะไร แต่กลับคุ้นตาอยู่มาก จำได้ว่าเป็นผู้อาวุโสก่อกำเนิดคนหนึ่งในตระกูลป๋าย ตบะก็เหมือนจะขยับเข้าใกล้ก่อกำเนิดช่วงกลางมากแล้ว ถือเป็นหนึ่งในคนของสายหลัก
“ตามมาอีกแล้วรึ? คนเดียวเหมือนเดิม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ กระแอมหนึ่งทีก็ถือโอกาสหยุดรอไม่หนีต่อ
ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมอง ผู้เฒ่าที่กำลังตามมาอย่างรวดเร็วผู้นั้นก็พลันมองเห็นประมุขตระกูลป๋ายที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนมัดร่างแล้วแบกไว้ด้านหลังราวกับแบกว่าวตัวหนึ่ง แค่มองปราดเดียวผู้เฒ่าคนนั้นก็ตาถลนจนแทบหลุดออกมานอกเบ้า เขาสูดลมเย็นๆ เข้าปอดดังเฮือก ร่างที่กำลังพุ่งมาด้วยความเร็วสูงชะงักกึกในเสี้ยววินาที
“ประมุขตระกูลป๋ายถูกจับตัว!! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!”
บนใบหน้าของเขาเผยความเหลือเชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนคาดไม่ถึงยิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าประมุขตระกูลของตนจะยังถูกคนจับตัวได้แบบนี้ ภาพนี้จึงทำให้ในใจของผู้เฒ่าทั้งตะลึงลานทั้งหวาดผวา
ตบะของเขาสู้ประมุขตระกูลไม่ได้ ตอนนี้ขนาดประมุขตระกูลยังถูกจับ แล้วหากตนลงมือ…สภาพจะเป็นแบบไหน? ผู้เฒ่าเห็นสภาพน่าสังเวชใจของประมุขตระกูล ในใจก็ให้ลังเลตัดสินใจไม่ได้
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเพราะเรื่องนี้…” หน้าผากผู้เฒ่าผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ คิดมาถึงตรงนี้เขาก็หยิบเอายันต์นำส่งชิ้นหนึ่งออกมาบีบให้แตกอย่างไร้ซึ่งความลังเล…
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็หายวับไปในพริบตา
“ตกใจหนีไปแล้วรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
“นี่มัน…ยึดถือคติรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีไปหน่อยไหม กลัวตายยิ่งกว่าข้าเสียอีก แถมเป็นก่อกำเนิดด้วยนะนั่น…” เขาอุตส่าห์คิดไว้เสียดิบดีว่าพอจับตัวอีกฝ่ายมาได้จะรังแกสักเล็กน้อยแล้วค่อยเก็บมาสะสมเป็นว่าวตัวใหม่ แต่พอเห็นอย่างนี้ก็ได้แต่เกาหัวแกรกๆ เมื่อหันไปมองประมุขตระกูลป๋ายแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายหลับตากัดฟันกรอดๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะด้วยความลำพองใจคละเคล้าไปด้วยความเสียดายเล็กน้อย
“ยันต์ป้องกันกายชิ้นนี้มีประโยชน์จริงๆ นะนี่” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม กระเตงประมุขตระกูลป๋ายบินต่อไปด้วยความเบิกบาน นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา คนตระกูลป๋ายก็ทยอยกันเผยกายเพิ่มมากขึ้น แต่ที่ไม่มีข้อยกเว้นเลยก็คือเมื่อใดก็ตามที่ทุกคนในสายรองเห็นว่าเบื้องหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนลากจูงประมุขตระกูลป๋ายเอาไว้ พวกเขาต่างก็สำลักลมหายใจ ก่อนจะหมุนกายจากไปอย่างไม่ลังเล
เวลาเช่นนี้ประมุขตระกูลป๋ายจำต้องทำให้ตัวเองหมดสติ…
สามารถจับตัวประมุขตระกูลป๋ายเป็นๆ แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะใช้วิธีการใด นอกเสียจากว่าตบะของพวกเขาจะอยู่เหนือกว่าประมุขตระกูลป๋าย หาไม่แล้วทุกคนก็ล้วนเสี่ยงภัยทั้งสิ้น
แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกคน ยังคงมีคนสายหลักของตระกูลป๋ายที่อาศัยตราแห่งจิตตามมาไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน และพอเจอหน้ากันก็ลงมือล้อมโจมตีทันที!
เผชิญหน้ากับคนที่ไอสังหารอบอวล ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความดุดันเย็นเยียบ ร่ายใช้เวทอภินิหารสำแดงฤทธิ์เดชอย่างไม่มีเกรงใจ อาบย้อมให้นภากาศเป็นสีเลือดไปในบัดดล…
อีกทั้งตลอดทางที่ผ่านมานี้คนที่ได้เห็นประมุขตระกูลป๋ายไม่ได้มีเพียงแค่คนของตระกูลป๋ายเท่านั้น ยังมีคนของตระกูลอื่นๆ ในแดนทุรกันดารรวมไปถึงผู้ฝึกวิญญาณและอาจารย์หลอมวิญญาณในเขตอิทธิพลนครผียักษ์ด้วย
ในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีบางส่วนที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานผ่านไปกับตาตัวเอง พอเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว แต่ละคนก็ทึ่งตะลึงกันอย่างมาก
“คนผู้นี้คือใครกัน…คนที่ถูกแบกไปนั่น เหมือนจะ…เหมือนจะเป็นประมุขตระกูลป๋ายไม่ใช่หรือ?”
“เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง…”
หลังจากจำนวนของคนที่เห็นภาพนี้เองกับตาหรือไม่ก็ได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คำวิพากษ์วิจารณ์และเสียงฮือฮาหลากหลายก็แพร่ไปทั่วขอบเขตของนครผียักษ์อย่างช้าๆ
เดิมทีข่าวลือพวกนี้คนส่วนใหญ่ล้วนเล่าให้กันฟังอย่างลับๆ ตัวคนเล่าเองก็ไม่ได้แน่ใจนัก แต่พอเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่บรรพชนตระกูลป๋ายถูกตัวแทนของสองตระกูลและทูตจากนครผียักษ์นำมาเผยแพร่อย่างลับๆ เรื่องนี้ก็เหมือนหยดน้ำที่ตกลงไปบนน้ำมันเดือดจึงระเบิดกระจายไปทั่วทิศทันที
“ว่าไงนะ ตระกูลป๋ายมีบุตรกิเลนเผยตัว เขาสังหารป๋ายฉี แย่งวิญญาณคนฟ้าไป แถมยังหนีรอดเงื้อมมือของบุรพาจารย์คนฟ้ามาได้ด้วย!!”
“หลังจากที่เขาหนีออกมา ประมุขตระกูลป๋ายก็ตามไปไล่ล่าเขาด้วยตัวเอง แต่กลับถูกคนผู้นี้จับตัวเอาเชือกมัดลากเหมือนจูงหมา เรื่องนี้คนมากมายต่างก็ได้เห็นกันเองกับตา!!”
“สวรรค์ ป๋ายฮ่าวผู้นี้…เขาทรยศต่อตระกูลป๋ายแล้ว!!” เรื่องนี้ยิ่งขยายยิ่งลุกลามใหญ่โต และก็ดึงดูดความสนใจจากคนมากมาย เมื่อข่าวที่บอกว่าตระกูลป๋ายส่งคนในตระกูลออกไปไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจำนวนมาก ทว่ากลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนโจมตีกลับคืนทยอยกันแพร่ออกไป เรื่องนี้ก็ครึกโครมกันไปทั่วทั้งนครราชาทันที
“ว่ากันว่าคนผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลป๋ายอย่างยากลำบาก เคยถูกรังแกหยามเกียรติสารพัด ทั้งยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาก็หลายครั้ง ทว่าเขากลับทนข่มกลั้นเอาไว้ รอจนพื้นที่บรรพชนเปิดออก เขาก็ระเบิดทุกความสามารถ สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกผู้คน!”
“นี่ยังไม่เท่าไหร่ ข้ายังได้ยินมาว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้มีพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟเลิศล้ำนัก ตบะก็ยังเป็นรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ไม่ธรรมดามากๆ เลยล่ะ!”
“ตระกูลป๋ายกลับมองข้ามเขาไปได้…ทว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็อำมหิตยิ่งนัก ถึงกับมัดล่ามบิดาแท้ๆ ของตัวเองได้ลงคอ!” ทุกวันนี้คนในพื้นที่อิทธิพลของนครผียักษ์ต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันไม่หยุดปาก เพราะยิ่งข่าวแต่ละเรื่องระเบิดออกมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่มีใครไม่ตื่นตะลึงไปกับการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน
หลายคนล้วนให้ความสำคัญ แม้พวกเขาจะไม่เคยเจอป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน ทว่าตอนนี้ภาพลักษณ์ของชายที่อดทนข่มกลั้น พรสวรรค์สยบฟ้า ไม่นับญาติกับผู้ใด อำมหิตไร้ปราณีได้เกิดขึ้นมาในใจของพวกเขาแล้ว
ไม่เพียงแต่คนในตระกูลและพวกพระยาสวรรค์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ต่อให้เป็นนครราชาเองก็ไม่ต่างกัน ใจกลางนครผียักษ์มีรูปปั้นขนาดมหึมาอยู่รูปหนึ่งซึ่งบนศีรษะของรูปปั้นนี้คือตำหนักราชา
ในตำหนักราชานี้มีเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดคลุมราชากำลังยืนอยู่ตรงหน้าระเบียงรั้ว เอามือไพล่หลัง ทอดสายฟ้ามองไปทั่วฟ้าดิน เรือนกายนี้ไม่เพียงแต่ยิ่งใหญ่บึกบึน ยังมีพลังอำนาจที่มิอาจบรรยายได้ระลอกหนึ่งแผ่ออกมาด้วย ราวกับว่าแค่เขายืนอยู่ตรงนั้นก็สามารถบดขยี้ปณิธานสวรรค์ทั้งหมด ต่อให้คนฟ้ามาอยู่ต่อหน้าเขาก็ยังกลัวจนตัวสั่น
ประหนึ่ง…สถานที่ที่เขาอยู่ ต่อให้เป็นฟ้าดินก็ยังต้องสยบก้มหัวให้!
นั่นคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลาอย่างถึงที่สุด ใบหน้ามีเหลี่ยมมุมเด่นชัด นัยน์ตามีประกายแห่งผู้สูงศักดิ์เหนือชาวประชา ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นก็ราวกับว่าแค่เขาคนเดียวก็สามารถกำราบฟ้าดินได้ทั้งแถบ
คนผู้นี้…ก็คือหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์แห่งแดนทุรกันดารที่อยู่ใต้การปกครองของจักรพรรดิขุย ราชาผียักษ์!! ความสูงส่งของฐานะเขาเรียกได้ว่าเป็นรองคนผู้เดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น โดยเฉพาะในยุคที่อำนาจราชวงศ์อ่อนแอเช่นนี้ สี่ราชาสวรรค์คนใดก็ตามล้วนเป็นบุคคลที่เพียงแค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้พื้นแผ่นดินแดนทุรกันดารสั่นสะเทือนได้อย่างแท้จริง!
“ป๋ายฮ่าว…น่าสนใจ…” ราชาผียักษ์เอ่ยเสียงแผ่ว นัยน์ตาเปล่งประกายวาววับ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พลันหัวเราะเบาๆ
“อู๋ฉางกง เจ้าจงไปหาตัวป๋ายฮ่าวผู้นี้มา เมื่อเจอแล้วให้พาเขากลับมาที่นครผียักษ์ แล้วมอบตำแหน่งดีๆ สักตำแหน่งให้กับเขา” น้ำเสียงของราชาผียักษ์เย็นเยียบ มุมปากที่ยกเป็นรอยยิ้มก็แฝงไว้ด้วยความหมายลึกล้ำ
เมื่อคำพูดของเขาดังสะท้อน บนมือซ้ายของรูปปั้นที่มีตำหนักอีกแห่งหนึ่งอยู่ก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าคนนี้แก่หง่อม ทว่าประกายแสงในดวงตากลับคมกริบประหนึ่งมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ฉายแสง ปราณบนร่างก็คล้ายจะผสานรวมเข้ากับฟ้าดิน เขา…มีขอบเขตถึงคนฟ้า!
“รับพระบัญชา!” ผู้เฒ่าโค้งตัวคารวะต่ำๆ หนึ่งครั้งก็สะบัดกายหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า
“ตระกูลป๋ายอยากให้เขาตาย แต่ข้าจะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ! สามตระกูลใหญ่อย่างนั้นหรือ พวกเจ้าเองก็น่าจะเตรียมตัวมาได้พอประมาณแล้วกระมัง…ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกเจ้าใครจะเป็นคนกระโดดออกมาก่อน!” ราชาผียักษ์หัวเราะเย่อหยิ่ง สำหรับเขาแล้วป๋ายฮ่าวก็เป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญอะไร จะเป็นหรือตายเดิมทีเขาไม่สนใจ ทว่าพอเกี่ยวข้องกับตระกูลป๋าย อีกฝ่ายจึงกลายมาเป็นไพ่ใบหนึ่งที่เขาหมายจะใช้หยั่งเชิงตระกูลป๋าย