Skip to content

A Will Eternal 913

บทที่ 913 ครึ่งเทพกลับมา

บุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราคือชายวัยกลางคนเรือนกายสูงโปร่งท่านหนึ่ง เขามีผมยาวสีเทาทั้งศีรษะ สวมอาภรณ์สีขาว ใบหน้าหล่อเหลาเวลานี้ไร้คลื่นอารมณ์ จุดลึกในดวงตาคล้ายซ่อนแฝงความกังวลไว้เสี้ยวหนึ่ง

ราวกับว่าการไปเกาะทงเทียนครั้งนี้ เรื่องที่รับรู้มาทำให้ใจของเขาไม่เป็นสุขเท่าใดนัก

ยามนี้ร่างของเขาผสานรวมอยู่ในความว่างเปล่า แม้ว่ายังอยู่บนเกาะทงเทียน ทว่าสายตาของเขาได้มองเห็นสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามาแต่ไกลแล้ว

ในอดีตทุกครั้งที่เขากลับมาหลังจากออกไปทำธุระข้างนอกล้วนไม่ได้ตรงไปปรากฏตัวในสำนักทันทีทันใด เวลาส่วนใหญ่แล้วเขามักจะชอบมองสายรุ้งเจ็ดเส้นที่ส่องแสงพร่างพราวอยู่ไกลๆ มากกว่า

ทว่าวันนี้ ขณะที่สายตาของเขากวาดมองมายังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราตามปกติ เขาก็ตะลึงงันไปทันใด แม้แต่ฝีเท้าก็ยังหยุดชะงักอย่างมิอาจห้ามปราม

สายรุ้งเจ็ดสีที่เคยสดใสงดงาม ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขาตอนนี้คือวัตถุบางอย่างที่ดำทะมึนแข็งทื่อเจ็ดเส้นซึ่ง…ลอยอยู่กลางอากาศ เป็นเหตุให้ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาคือนึกว่าตัวเองมาผิดทาง เห็นสำนักอื่นที่ไม่ใช่สำนักของตัวเอง

ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาตั้งสติได้ เวลานี้เอง เสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้าก็ระเบิดออกมาจากสายรุ้งที่เคยเป็นสีคราม เสียงนั้นดังมากจนนภากาศสั่นสะเทือน ปานประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์ที่ทำให้แม่น้ำทงเทียนซึ่งอยู่ใกล้กับสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว ขนาดแม่น้ำยังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผ่นดินและเทือกเขาที่อยู่รอบด้านเลย

เสียงกัมปนาทนั้นกลายมาเป็นคลื่นเสียงแห่งการโจมตี ราวกับมีลมพายุบ้าระห่ำที่พัดกวาดตะลุยหมุนคว้างไปทั่วทิศ!

ภาพนี้ทำให้บุรพาจารย์ครึ่งเทพท่านนี้ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี รีบก้าวเท้าออกไป เพียงก้าวเดียวก็เยื้องกรายมาถึงสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!

และขณะที่บุรพาจารย์ครึ่งเทพเยื้องกรายมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนสายรุ้งสีครามก็พลันคำรามดังลั่น วินาทีที่เตาหลอมยาหนึ่งพันกว่าใบระเบิดออก เขาก็ซัดตบะออกไป และในที่สุดก็ทำให้ลมพายุหอบเอาผงดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนปลิวโปรยปรายไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อเห็นว่าพายุพัดผ่านไปที่ใด สีของสายรุ้งก็ฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันปิติยินดี เพียงแต่ว่าความยินดีของเขาเพิ่งจะบังเกิด สีหน้าของเขากลับซีดขาวลงไปอีกครั้ง ในสมองก็ยิ่งมีเสียงดังอึงอล

“เป็นอย่างนี้อีกแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังคลุ้มคลั่งสังเกตเห็นว่าจุดที่ตั้งของถ้ำตัวเองบนสายรุ้งสีคราม ซึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เผชิญกับการระเบิดของเตาหลอมยามาหลายครั้ง เดิมทีแผ่นดินก็คลายตัวอยู่แล้ว และตอนนี้ยิ่งเตาหลอมยาหนึ่งพันห้าร้อยใบมาระเบิดพร้อมกัน บวกกับตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ผสานรวมเข้าไปจึงทำให้พื้นที่อันเป็นที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนบนสายรุ้งสีครามมิอาจแบกรับได้ไหวอีกต่อไป

เมื่อคลื่นเสียงซัดเข้าโจมตี พื้นที่แถบนี้ก็…พังถล่มทลายลงมาทันที!

มองไกลๆ จึงเห็นว่าบนสายรุ้งสีครามที่กำลังกลับคืนสู่สีเดิมอย่างรวดเร็วเกิดยุบยวบเป็นโพรงขนาดใหญ่ยักษ์โพรงหนึ่ง พอโพรงนี้ปราฏ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่อยู่บนนั้นจึงพังครืนลงมาทันที ไม่ว่าจะเป็นนักพรตของสี่มหานครที่อยู่เบื้องล่าง หรือจะเป็นบุรพาจารย์ครึ่งเทพที่เพิ่งกลับมาถึงก็ล้วนมองภาพนี้ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง…

ในโพรงบนสายรุ้งสีคราม มีเศษหินจากถ้ำสถิตของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พังถล่มร่วงกราวลงมา…

เสียงกัมปนาทยังคงดังกึกก้องไม่หยุด พายุก็ยังพัดกระหน่ำไปทั่วด้าน ส่วนสีของสายรุ้งเจ็ดเส้นที่ได้รับพลังจากผงดอกไม้โปรยปรายก็เหมือนได้รับการชำระล้างจึงกลับคืนสู่สีเดิม

เพียงแต่ว่าทุกคนที่อยู่ในสี่นครด้านล่างกลับอึ้งตะลึงไปกับโพรงยักษ์บนสายรุ้งสีครามเรียบร้อยแล้ว พวกเขามองเหม่อไปยังเศษหินจำนวนมากของถ้ำที่ร่วงระนาวลงมาจากในโพรงนั้น รวมไปถึงร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่คล้ายยืนตัวสั่น งุนงงทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางโพรง…

ไม่นานเสียงสูดลมหายใจก็ดังต่อๆ กันเป็นลูกคลื่นพร้อมๆ กับเสียงร้องอุทานแห่งความไม่ยินยอมและตะลึงลานที่อื้ออึงออกมาจากในสี่นครใหญ่

“หล่น…หล่นลงมาแล้ว?”

“สมควรตายนัก ทำไมเขาถึงเปลี่ยนสีสายรุ้งกลับมาได้แล้วล่ะ? หึ ข้าบอกไว้แต่แรกแล้วไงว่าสำนักสยบธารก็เป็นแค่สำนักบ้านนอกเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มาจากบ้านนอก อุตส่าห์มีโอกาสดีที่จะได้เล่นงานคนผู้นี้ เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายดันพลิกสถานการณ์ได้ยังไง?”

“คนนอกอย่างสำนักสยบธารมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในสำนัก

อันตมรรคาฟ้าดาราของเรา เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็แค่โชคดีเท่านั้นถึงได้กลายเป็นคนฟ้า หากเขายอมก้มหัวศิโรราบก็ยังพอทำเนา แต่นี่ดันทำตัวผยองพองขน มองไม่เห็นหัวสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของเรา ครั้งนี้พวกเราต้องร่วมมือกันรายงานให้ครึ่งเทพทำลายตบะของคนผู้นี้ทิ้งให้จงได้!” ตอนที่ครึ่งเทพยังไม่กลับมา คำพูดทำนองนี้ไม่มีใครกล้าพูด ทว่าวันนี้พอมองเห็นที่พึ่ง แต่ละคนก็ข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

ป๋ายเจิ้นเทียน หลี่เสี่ยนเต้าและบุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กก็หน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน พอสัมผัสได้ว่าบุรพาจารย์ครึ่งเทพกลับมาแล้ว คนทั้งสามที่หลังจากมองหน้ากันก็รีบปรับลมหายใจ ก่อนจะแข็งใจบินออกมารับหน้าอย่างรวดเร็ว

และเวลานี้เอง เสียงคำรามเดือดดาลที่ทำให้ท้องนภาหม่นแสง แผ่นดินสั่นสะเทือนก็พลันดังออกมาจากปากของบุรพาจารย์ครึ่งเทพที่อยู่บนท้องฟ้า

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าคิดจะทำอะไร!! อยากตายหรือไง?!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่กลางโพรงของสายรุ้งสีคราม โพรงนี้กินอาณาเขตกว้างพอร้อยลี้ รอบด้านว่างเปล่า พอก้มหน้าลงมองก็สามารถมองลอดโพรงไปเห็นแผ่นดินเบื้องล่าง เขายืนลอยตัวอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว สีหน้าจะร้องแหล่มิร้องแหล่ ตึงเครียดไปหมด ในสมองก็ยิ่งหมุนโคจรเร็วจี๋ ครุ่นคิดว่าควรจะอธิบายอย่างไรจึงจะดี

ยังดีที่ผงดอกไม้ก่อนหน้านี้มีผลในการชำระล้างอย่างแท้จริง ตอนนี้สีของสายรุ้งทั้งเจ็ดจึงกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว ส่วนพวกลูกศิษย์ที่ได้รับผลกระทบ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้อนใจก็รีบหาทางแก้ไขจนคลี่คลายฤทธิ์ยาตกค้างไปได้นานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเนื่องจากหายนะครั้งนี้ ทำให้ตบะของพวกเขาที่เมื่อถูกกระตุ้นจึงมีการพัฒนากันไปคนละนิดคนละหน่อย

คิดมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกละอายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดีขึ้นมาหน่อย ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาเปิดปาก สายตาที่ราวกระบี่คมกริบของบุรพาจารย์ครึ่งเทพก็พลันสาดมาที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แถมสีหน้าของเขายังดำทะมึน ร่างทั้งร่างราวกับจะระเบิดไฟโทสะออกมา

และหลังจากที่เขาแผ่อำนาจจิตปกคลุมไปแปดทิศอย่างรวดเร็วก็ทำให้ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพวกลูกศิษย์ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา จึงรู้ชัดเจนถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสำนักช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ทันที

ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าบนสายรุ้งเจ็ดเส้นอันเป็นบ้านของตน ตอนนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยแม้แต่คนเดียว ลูกศิษย์ทุกคนล้วนย้ายไปอยู่ในสี่มหานครเบื้องล่างกันหมด

นี่จึงทำให้แม้แต่เขาเองก็ยังรู้เหลือเชื่อไปกับความสามารถในการสร้างหายนะจากการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุน ยิ่งเห็นโพรงยักษ์บนสายรุ้งสีคราม ไอโทสะของเขาก็ยิ่งเดือดพล่านเข้าไปอีก

“เป็นใบ้ไปแล้วหรือไง!” บุรพาจารย์ครึ่งเทพสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก่อนตวาดด้วยเสียงดังเกินฟ้าผ่าจนสายรุ้งเจ็ดเส้นสั่นสะเทือน นักพรตในสี่มหานครด้านล่างก็ยิ่งกล้าๆ กลัวๆ ทว่าในใจกลับมีความรอคอยผุดขึ้นมา

แม้แต่พวกป๋ายเจิ้นเทียนสามคนที่บินออกมาอย่างรวดเร็วก็ยังเริ่มลังเล ป๋ายเจิ้นเทียนที่พอพิจารณาถึงความสามารถในการสร้างความวอดวายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แข็งใจอดกลั้นไม่ฉวยโอกาสซ้ำเติม หลี่เสี่ยนเต้าก็ทำเช่นเดียวกัน

ส่วนบุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กที่สองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ ใจก็อยากจะช่วยป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอธิบาย

ทว่าพอสายตากวาดไปเห็นโพรงยักษ์ใต้ฝ่าเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่พอเห็นสายตาไม่เป็นมิตรจากบุรพาจารย์ครึ่งเทพ เขาที่กระวนกระวายก็ได้แต่แข็งใจพูดรัวเร็ว

“บุรพาจารย์ขอรับ คือข้า…คืออย่างนี้ ข้าไม่ชอบถ้ำอันเก่าของตัวเอง ใช่แล้ว เหตุผลนี้นี่แหละ!”

“ถ้ำเก่าของข้าไม่สะดวกให้ข้าให้ปกป้องสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของเรา ดังนั้นข้าก็เลยรื้อมันทิ้ง แถมยังตั้งใจขุดโพรงขนาดใหญ่ขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้พอข้าเงยหน้าขึ้นก็จะได้เห็นรุ้งสีม่วงที่ท่านบุรพาจารย์อาศัยอยู่ สัมผัสได้ถึงอานุภาพน่าเกรงขามของท่าน พอก้มหน้าลงก็มองเห็นสี่นครใหญ่ รับรู้ถึงความเป็นอยู่ทุกอย่างของลูกศิษย์ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเรา!”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าถึงจะเบาใจ นี่แสดงให้เห็นว่าในใจของข้า บนมีบุรพาจารย์ ล่างมีลูกศิษย์ หัวใจอัดแน่นเต็มไปด้วยสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไงขอรับ!”

ตอนที่เพิ่งเปิดปากพูด ป๋ายเสี่ยวฉุนยังอึกๆ อักๆ ทว่าพูดไปพูดมากลับไหลรื่นคล่องปาก มาถึงท้ายที่สุดยังตบอกดังปับๆ ท่าทางประหนึ่งว่าเพื่อสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้ว ตนยอมทุ่มเทถวายหัวแม้ตัวตายก็ไม่เสียดาย

ประโยคเหล่านี้ของเขาดังก้องไปทั้งสำนัก พอลูกศิษย์ในสี่นครที่อยู่เบื้องล่างได้ยินเข้าก็แผดเสียงตะเบ็งลั่นทันที…

“ไร้ยางอาย!!”

“หน้าด้านเกินไปแล้ว!!”

“เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาจงใจเล่นงานสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของพวกเรา แถมยังคิดจะพังสำนักเราให้ถล่มทลาย โทษนี้สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง!”

ไม่เพียงพวกลูกศิษย์เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ พวกป๋ายเจิ้นเทียนสามคนก็ยังมีสีหน้าปั้นยาก ส่วนบุรพาจารย์ครึ่งเทพที่ได้ยินประโยคนี้ก็โกรธจัดจนกลายเป็นขำ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ใจนึกอยากจะสั่งสอนป๋ายเสี่ยวฉุนให้รู้สำนึก

แต่กลับนึกขึ้นได้เสียก่อนว่าตอนที่ตนจะออกมาจากเกาะทงเทียน ตู้หลิงเฟยได้มาหาตน ขอให้ตนช่วยดูแลป๋ายเสี่ยวฉุน

เขามองออกว่าตู้หลิงเฟยรู้สึกพิเศษกับป๋ายเสี่ยวฉุน นี่จึงทำให้เขาเริ่มเกิดความลังเลกับการจัดการเรื่องนี้

“ต่อไปหากเจ้ายังกล้าหลอมยาในสำนัก ตัวข้าจะต้องให้เจ้าได้เห็นดีกันแน่!”

นิ่งไปพักหนึ่ง บุรพาจารย์ครึ่งเทพก็แค่นเสียงเย็นในลำคอ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทำท่าจะจากไป

เมื่อเห็นว่าการลงโทษของบุรพาจารย์ครึ่งเทพเป็นเพียงแค่ข่มขู่อีกฝ่ายแล้วปล่อยไปง่ายๆ ก็ทำให้ลมหายใจของป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าติดค้างอยู่ในลำคอ จิตวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

บุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กก็ตะลึงงันไปเช่นกัน

ขนาดตัวป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังอึ้งค้าง เขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าบุรพาจารย์ครึ่งเทพจะพูดแค่ประโยคนี้ ซึ่งดูท่าแล้วเหมือนว่าเขาจะไม่ซักไซ้เอาความอีก? ตอนนี้หัวใจของเขายังเต้นกระหน่ำอยู่เลย เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความแปลกใจ ครุ่นคิดว่าหรือบางทีอาจเป็นเพราะบุรพาจารย์ครึ่งเทพมองออกถึงพลังแฝงของตน…

ส่วนพวกลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่างก็มองตาค้างกันไปหมด

พอเห็นว่าทุกคนมีท่าทางเช่นนี้ บุรพาจารย์ครึ่งเทพก็รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้ใจเกินไป ดังนั้นจึงถลึงตาดุดันใส่เขาไปอีกที

“ในเมื่อเจ้าชอบโพรงนี้มากขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นต่อไปก็อาศัยอยู่ที่นี่มันเลยแล้วกัน!” กล่าวจบ บุรพาจารย์ครึ่งเทพก็สะบัดกายบินตรงไปยังสายรุ้งสีม่วง

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ มองโพรงที่ล้อมวนอยู่รอบกายของตัวเองก็หน้าม่อยคอตกทันที เดิมทีเขานึกว่าจะไม่มีอะไรแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังมีการลงโทษโดยให้ตนอาศัยอยู่บนโพรงแห่งนี้…

“ช่างเถอะๆ เรื่องนี้เดิมทีข้าก็ผิดอยู่แล้ว อยู่ก็อยู่แล้วกัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ครึ่งเทพจึงตึงเครียดมากเกินไปเลยไม่ทันสังเกตคำด่าอาฆาตจากทุกคนที่อยู่ในนครทั้งสี่ เวลานี้จึงยังคงมีใบหน้าสลด เอาแต่โทษตัวเอง

ทว่าพวกป๋ายเจิ้นเทียนสามคนกลับใจสั่นสะเทือนไม่หยุด พวกเขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง จากความเข้าใจที่พวกเขามีต่อบุรพาจารย์ครึ่งเทพ หากพวกเขาสามคนทำความผิดร้ายแรงขนาดนี้ต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่นอน

แต่พอมาเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน เรื่องทุกอย่างกลับคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย…นี่จึงทำให้พวกเขาสามคนพลันตระหนักได้ว่าบางทีป๋ายเสี่ยวฉุนอาจมีเบื้องหลังบางอย่างที่พวกเขายังไม่รู้ก็เป็นได้!

ส่วนพวกลูกศิษย์ที่อยู่ในสี่นครเบื้องล่างก็ยิ่งอึดอัดขับข้องใจ

เดิมทีพวกเขารอคอยจะได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนดวงซวยโดนเล่นงาน ทั้งยังมีพวกสุดโต่งบางคนที่อยากเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนโดนฆ่าถึงจะหายแค้น ไม่ได้คิดเลยว่าในความเป็นจริงแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ทำร้ายอะไรให้พวกเขาบาดเจ็บอย่างแท้จริง แต่ที่พวกเขาคิดอย่างนี้ก็เป็นเพราะเรื่องการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเพียงตัวจุดชนวนเท่านั้น หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่น แท้จริงแล้วล้วนเป็นเพราะความอิจฉาริษยาที่พวกเขามีต่อการลุกผงาดโดดเด่นของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งเป็นคนจากสำนักสยบธาร หาใช่นักพรตของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอย่างแท้จริงไม่…

ต่อให้ไม่มีเรื่องหลอมยา วันหน้าหากมีเรื่องอื่นเกิดขึ้น การระเบิดอารมณ์ทำนองนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!