บทที่ 954 สายเหนือผู้ไม่เป็นมิตร
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดว่าตัวเองฟังผิด ไม่ว่าจะเป็นเสียงพึมพำที่ดังขึ้นในสมองก่อนหน้านี้ หรือว่าคลื่นที่ส่งมาจากในถุงเก็บของก็ล้วนแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตนไม่มีทางเข้าใจผิดไปเองแน่นอน…
“นางตื่นแล้วหรือนี่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจกระตุก แบ่งอำนาจจิตกลุ่มหนึ่งผสานรวมเข้าไปในถุงเก็บของเพื่อตรวจสอบโลงศพโลงนั้น เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะตรวจสอบอย่างไร ทารกหญิงที่อยู่ในโลงศพก็ยังคงพริ้มตาหลับสนิท ไม่มีพลังชีวิตใดๆ แผ่ออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว
และตอนนี้รอบด้านก็มีคนอยู่มากเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่สะดวกหยิบโลงออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด ได้แต่ข่มกลั้นความสงสัยไว้ในใจ พอเงยหน้าขึ้นก็หันไปส่ายหัวให้กับตู้หลิงเฟยที่กำลังมองมาด้วยสายตาห่วงใย
“ข้าไม่เป็นอะไร…”
“เจ้าต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ทำไมเล่า มาถึงสายเหนือของพวกเราก็หน้าเปลี่ยนสีเลยหรือ หรือว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวเสียแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดจบ ตู้หลิงเฟยยังไม่ทันเอ่ยตอบรับ แฝดอวิ๋นเหลยที่อยู่ด้านข้างกลับหัวเราะเสียงหยันขึ้นมาเสียก่อน
แฝดอวิ๋นเหลยอดทนข่มกลั้นมานานมากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนสังหารศิษย์รักของเขา เดิมทีนี่ก็คือแค้นใหญ่หลวงที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แต่กลับเป็นเพราะตัวตนของอีกฝ่าย ทำให้อวิ๋นเหลยจื่อหวาดหวั่น ไม่เพียงแต่ไม่กล้าไล่ล่าตามไปสังหาร อีกทั้งยังกังวลว่าอีกฝ่ายจะแก้แค้น จึงได้แต่กล้ำกลืนความอัปยศ ยอมมอบของขวัญชิ้นใหญ่มาคลี่คลายเรื่องนี้
ทว่าเมื่อเรื่องราวในภายหลังเกิดขึ้น แฝดอวิ๋นเหลยที่เป็นถึงคนฟ้าก็ย่อมมองออกถึง…ท่าทีของเทียนจุนแล้ว!
“เทียนจุนไม่ได้มองคนผู้นี้เป็นลูกเขยสักหน่อย…แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นี้กับตู้หลิงเฟยจะไม่ธรรมดา แต่ขอแค่เทียนจุนไม่ยอมรับ เขาก็เป็นได้แค่คนฟ้าคนหนึ่งเท่านั้น หากเปลี่ยนไปอยู่พื้นที่อื่น ข้าอาจยังต้องกริ่งเกรงในตัวเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มาอยู่แม่น้ำสายเหนือของพวกเรา ต่อให้คนผู้นี้เป็นมังกร ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นไส้เดือนให้ข้า!”
แฝดอวิ๋นเหลยยิ้มหยัน ประกายแสงเย็นเยียบในดวงตาปกปิดไว้ไม่มิด แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ในพื้นที่ของแม่น้ำสายเหนือ ในขอบเขตของสำนักเขา สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ต่อให้ไม่ถึงขั้นบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกลาญ ก็แทบไม่ต่างกันสักเท่าไหร่แล้ว
เมื่อคำพูดของแฝดอวิ๋นเหลยดังออกมา นักพรตสี่สายที่อยู่รอบด้านก็พากันหน้าเปลี่ยนสี สายตาของคนสายใต้และสายตะวันตกเปล่งประกายวิบวับ แต่กลับไม่มีใครพูดอะไร แล้วก็ไม่ยินดีจะเข้าร่วมด้วย ทว่าแม่น้ำสายเหนือกลับไม่คิดเช่นนี้
นักพรตสายเหนือแทบจะทุกคนต่างก็มีสีหน้าคึกคักกระปรี้กระเปร่า เมื่ออยู่ภายใต้ไอความเย็นนี้ก็คล้ายว่าตบะของพวกเขาจะโคจรได้เร็วกว่าเดิมไม่น้อย สายตาที่มองมายังพวกป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเปลี่ยนมาไม่เป็นมิตรตามท่าทีของพวกอวิ๋นเหลยจื่อ
ส่วนพวกนักพรตของสายตะวันออกที่แม้ว่าใจอยากจะให้ความช่วยเหลือ เพียงแต่ว่าประสบการณ์อันตรายที่ประสบพบเจอมาก่อนหน้านี้ แถมตอนนี้ยังมาอยู่ในแม่น้ำสายเหนือ ทำให้ในใจของทุกคนแบกรับความกดดันมาจนถึงขีดสูงสุดแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับคำเสียดสีของแฝดอวิ๋นเหลย เผชิญหน้ากับสายตาไม่เป็นมิตรของนักพรตแม่น้ำสายเหนือ หากเปลี่ยนมาเป็นช่วงเวลาอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องยอมไม่ได้แน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อย ในใจเขายังคงเศร้าหดหู่เพราะการจากไปของโหวเสี่ยวเม่ยและจางต้าพั่ง ทั้งยังตื่นตะลึงไปกับประโยคหนึ่งที่ดังมาจากทารกหญิงซึ่งฟื้นตื่นกะทันหัน
ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าอยากอาศัยค่ายกลนำส่งของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ารีบเดินทางไปจากที่นี่ กลับไปยังแม่น้ำสายตะวันออก และเขายังถึงขั้นไม่อยากกลับไปที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้วด้วย เขาแค่อยากกลับไปยังสำนักสยบธารเพื่อให้ตัวเองได้สงบสติอารมณ์เท่านั้น
ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้จึงไม่ได้โต้ตอบกลับไป แต่เลือกจะเงียบงันอย่างที่หาได้ยาก ปล่อยให้แฝดอวิ๋นเหลยพูดแขวะต่อไป ปล่อยให้นักพรตของแม่น้ำสายเหนือแสดงความไม่เป็นมิตรต่อไป ส่วนตัวเขาแค่เดินตามทุกคนไปข้างหน้าด้วยความเงียบขรึม
เดิมทีเขาอยากจากไปเพียงลำพัง แล้วเขาก็มีวิธีพาตัวเองกลับไปยังสายตะวันออกด้วย แต่เขาอาจกลับไปได้ก็จริง ทว่าคนอื่นของแม่น้ำสายตะวันออกกลับไม่มีความสามารถนี้ หากป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่คงต้องเผชิญกับความยากลำบากยิ่งกว่าเดิม หรืออาจต้องเดือดร้อนเพราะเขาด้วยก็เป็นได้
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ตอบรับ แฝดอวิ๋นเหลยก็หัวเราะหยัน แล้วก็ไม่ได้พูดจาเยาะเย้ยอีกฝ่ายต่อ เขาเองก็เข้าใจดีว่าคนเหล่านี้แค่ผ่านทางมาเท่านั้น อีกไม่นานแต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไป
“ถือว่าเขาโชคดี!” นัยน์ตาของแฝดอวิ๋นเหลยเปล่งปราณสังหาร เมื่อครู่นี้ตามความคิดของเขา ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนกล้าโต้กลับแม้แต่ประโยคเดียว เขาก็จะหาโอกาสลงมือทันที เมื่ออยู่ในแม่น้ำสายเหนือแห่งนี้ ต่อให้ไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ แต่ก็ต้องทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนบาดเจ็บสาหัสอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีขึ้นไป!
ตู้หลิงเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ทว่าความเย็นชายามที่นางหันมามองพวกคนของแม่น้ำสายเหนือ แฝดอวิ๋นเหลยย่อมต้องมองเห็น อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่สุดท้ายแล้วเขาเลือกที่จะไม่ลงมือ
และคนทั้งกลุ่มก็เดินออกไปจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตภายใต้ความฮึกเหิม ท่ามกลางความเงียบงันของทั้งสามสายเช่นนี้ เมื่อมาเดินอยู่ในฟ้าดินของแม่น้ำสายเหนือ ทอดสายตามองออกไป พื้นดินมีแต่น้ำแข็งปกคลุม ท้องฟ้าเย็นเยียบ พื้นดินก็เกาะตัวเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ทั้งยังมีลมหนาวเหน็บที่หอบเอาหิมะให้ปลิวปรายเข้ามา
นภากาศหม่นมัวมืดครึ้ม เสียงร้องคำรามของพายุน้ำแข็งเหมือนเป็นเพียงเสียงหนึ่งเดียวของโลกใบนี้
ภูเขาน้ำแข็งหลายลูกที่มองเห็นได้ทั่วทุกหนทุกแห่งแผ่ปราณเย็นเยียบแหลมคม และยังมีเกล็ดหิมะที่ตกลงมาพร้อมสายลม เมื่อหล่นลงบนศีรษะและบนร่างของพวกเขาก็แข็งค้างไม่ละลายไปเป็นนานคล้ายไม่ได้รับอิทธิพลจากตบะของทุกคนแม้แต่น้อย
หากคนธรรมดามาอยู่ที่นี่ เกรงว่าร่างคงถูกไอความเย็นแทรกซึมแล้วกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งในเสี้ยววินาที ทว่าตบะของทุกคนที่ต่อให้อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นก่อกำเนิด เมื่ออยู่ท่ามกลางลมหนาวนี้จึงไม่มีใครเป็นอะไร
ภายใต้ฟ้าดินที่หิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้า แผ่นดินรอบด้านเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง สามารถมองเห็นไกลๆ ว่ามีเทือกเขาสีทองอยู่เส้นหนึ่งที่กำลังไหลบ่าไปยังทิศไกล นั่นก็คือน้ำของแม่น้ำทงเทียนสายเหนือ!
ต่อให้อยู่ในสายเหนือที่สามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งเกาะตัวเป็นน้ำแข็งได้นี้
แม่น้ำทงเทียนก็ยังคงไหลรินอยู่ตลอดเวลา ไม่มีลางที่จะถูกปิดผนึก…
“สายเหนือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ พอกวาดสายตามองเห็นทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน เขาก็ไพล่นึกไปถึงประวัติความเป็นมาของสำนักธาราเทพ นึกถึงหันเหมิน…
เวลาล่วงผ่าน ทุกคนเงียบงันกันไปตลอดทาง ทว่าความเร็วกลับไม่ช้า รุ้งยาวร้อยกว่าเส้นห้อตะบึงลอดทะลวงไปกลางฟ้าดินที่หนาวสะท้าน และไม่นานก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า
ไม่นานนักภาพบรรยากาศของสำนักใหญ่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็พลันปรากฏอยู่ในคลองจักษุของทุกคน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้น มองปราดเดียวก็เห็นว่า…ระหว่างฟ้าดินที่อยู่เบื้องหน้า ตรงสุดปลายทางของแม่น้ำทงเทียน ท่ามกลางต้นกำเนิดของความหนาวเหน็บนี้ มี…น้ำตกขนาดใหญ่น่าตะลึงอยู่เส้นหนึ่ง!
เหมือนกับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา น้ำตกนี้เชื่อมโยงกับมหาสมุทรและแม่น้ำ เมื่อน้ำทะเลไหลรินลงมารวมกับแม่น้ำก็กลายมาเป็นน้ำแม่น้ำทงเทียนที่ไหลขึ้นสู่ด้านบน
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับภาพบรรยากาศเขียวขจีบริเวณรอบๆ น้ำตกของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้ว รอบน้ำตกของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าแห่งนี้กลับมีแต่สีขาวโพลน ทุกอย่างล้วนถูกกลบทับไปด้วยน้ำแข็ง
และสองข้างฝั่งของน้ำตกสายนี้ก็มีรูปปั้นน้ำแข็งใหญ่ยักษ์อยู่สองรูป!
รูปปั้นน้ำแข็งทั้งสองนี้ใหญ่โตสุดประมาณ แผ่พลังอำนาจที่น่าครั่นคร้าม ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองปราดเดียวก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังความกดดันบีบคั้นที่พุ่งมาปะทะใบหน้า
รูปปั้นนั้นตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นน้ำแข็ง ฝั่งซ้ายคือรูปปั้นน้ำแข็งของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ท่าทางสุภาพอ่อนโยน เขากำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็ยื่นออกมาคล้ายต้องการสัมผัสกับความว่างเปล่า!
บนมือขวาของเขาไม่มีสิ่งใด แต่ค้ำประคอง…เมฆขาวผืนใหญ่มโหฬารเอาไว้ ขอบเขตของเมฆขาวนี้กว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด มองไกลๆ ก็คล้ายโลกเล็กๆ ใบหนึ่ง
บนเมฆขาวนั้นมีหอเรือนอยู่นับไม่ถ้วน และยังมีรุ้งยาวอีกหลายเส้นที่เข้าๆ ออกๆ อยู่ภายใน ซึ่งนั่นคือนักพรตทั้งหมด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หวนนึกไปถึงความเข้าใจที่มีต่อสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็จำได้ทันทีว่าเมฆขาวที่มือขวาของรูปปั้นทางซ้ายยกค้ำเอาไว้ก็คือ…
สำนักเมฆาของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า!
“ถ้าอย่างนั้นทางฝั่งขวาก็น่าจะเป็นสำนักอสนีแล้วล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปยังรูปปั้นฝั่งขวามือ รูปปั้นนี้ก็เป็นรูปปั้นของชายวัยกลางคนเช่นกัน ทว่ากลับไม่ได้ดูสุภาพอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความเผด็จการ น่าเกรงขามทั้งที่ไม่ได้แสดงความโกรธ ขณะเดียวกันก็มีสายฟ้าแลบวูบวาบไปทั่วร่างของเขา
และมือซ้ายของเขาก็ยกขึ้นประคองชั้นเมฆชั้นหนึ่งเช่นกัน แต่ชั้นเมฆนี้เป็นสีดำ รวมเมฆทะมึนเข้มข้นเอาไว้ด้วยกัน ความกว้างใหญ่ไพศาลไม่ต่างจากเมฆสีขาวเท่าไหร่นัก ด้านบนก็มีหอเรือนตั้งตระหง่านและมีนักพรตมากมายดุจเดียวกัน
นอกจากสีของชั้นเมฆที่แตกต่างแล้ว ยังมีอีกอย่างก็คือสายฟ้าแต่ละเส้นในเมฆสีดำที่เป็นราวกับงูสีเงินยวงเหล่านั้นมีจำนวนมากมายเกินจะนับได้หมด ราวกับว่าสายฟ้าเหล่านั้นถือกำเนิดขึ้นมาในชั้นเมฆอย่างต่อเนื่อง และคอยแลบปลาบไปแปดทิศพร้อมเสียงฟ้าคำรณอยู่ตลอดเวลา
นี่ก็คือสำนักอสนี!
“ลูกศิษย์ของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ามีตบะไม่เท่าเทียมกัน ชั้นฟ้าที่หนึ่งคือต่ำสุด ส่วนชั้นฟ้าที่เก้าคือสูงสุด…และสำนักที่อยู่ด้านในก็แบ่งออกเป็นสองส่วน นั่นคือสำนักเมฆากับสำนักอสนี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนดึงสายตากลับมาจากรูปปั้นสำนักอสนี พอเงยหน้าขึ้นก็มองไปยังด้านบนของชั้นเมฆที่รูปปั้นค้ำประคองเอาไว้ ซึ่งมี…โลงศพสองโลง หนึ่งเล็ก หนึ่งใหญ่ที่เป็นคล้ายกับจุดสูงสุดของสำนักซึ่งลอยอยู่ตรงสุดขอบฟ้า!
โลงศพขนาดใหญ่เป็นสีดำสนิทไปทั้งโลง แผ่พลังของกาลเวลาอันเก่าแก่ราวกับว่าดำรงอยู่มานานแสนนานแล้ว ด้านในนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงคลื่นคนฟ้าอย่างชัดเจน…
“น่าจะเหมือนกับสายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เป็นสถานที่ของคนฟ้า…ถ้าอย่างนั้นโลงศพที่เล็กกว่านั่นก็น่าจะเป็นที่อยู่ของครึ่งเทพแล้วล่ะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้สายตาก็กวาดมองไปยังจุดสูงสุดของสิทธิและอำนาจทั้งหมดที่เป็นของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า…
นั่นคือโลงศพที่เป็นผลึกใส!
มีขนาดแค่สามส่วนของโลงศพใหญ่สีดำ แต่กลับสูงส่งไร้เทียมทาน ตั้งตระหง่านอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุด แผ่ปราณน่ากริ่งเกรงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งแม่น้ำสายเหนือ
“ยินดีต้อนรับสู่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า” แฝดอวิ๋นเหลยมองไปยังสีหน้าตกตะลึงของทุกคนที่อยู่รอบด้านแล้วหัวเราะอย่างโอหัง ก่อนจะเอ่ยเนิบช้า
นักพรตของแม่น้ำสายเหนือที่อยู่รอบด้านก็มีท่าทางฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด ความรู้สึกที่รอดพ้นจากความตายแล้วได้กลับบ้านทำให้ทุกคนดีใจกันสุดขีด และเวลานี้เอง เมื่อจบคำพูดของแฝดอวิ๋นเหลย ในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็มีเสียงสวบๆ แหวกอากาศดังออกมาพร้อมกับเงาร่างมากมายที่พุ่งพรวดออกจากเมฆขาวและเมฆดำ รวมไปถึงในโลงศพสีดำกลางท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังมีคลื่นคนฟ้าที่เยื้องกรายลงมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น สี่เส้น!!
คลื่นคนฟ้าสี่เส้น ปณิธานของคนเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อปณิธานสวรรค์ เมื่อเยื้องกรายลงมาเยือน บนท้องฟ้าก็มีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์สีหน้าที่จ้องมองมายังทุกคนด้วยสายตาเย็นชา!
“เจ้าก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน…ที่สังหารลูกศิษย์สายเหนือของข้า!!” ประดุจเสียงฟ้าคำรณ หนึ่งในใบหน้าทั้งสี่ที่อยู่บนท้องฟ้าพลันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังกึกก้อง สายตาของคนทั้งสี่จึงพร้อมใจกัน…หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน!
ผู้ที่มามีเจตนาร้าย กำเริบเสิบสาน วางอำนาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
ทำเอาหนังตาป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุกรัวแรง…