ตอนที่ 1001
ไพ่ใบสุดท้ายของตระกูลจี้!
สำนักและตระกูลต่างๆ แห่งขุนเขาทะเลที่เก้าตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าทำให้ดวงตาพวกมันต้องสาดประกายเจิดจ้าขึ้น และสีหน้าก็เคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด ขณะที่มองไปยังดาวตงเซิ่ง และบุรุษวัยกลางคนที่โผล่ออกมาจากสำนักเย่าเซียน
“ฟางเหยียนซวี!”
“มันคือฟางเหยียนซวี! มันตัดขาดจากตระกูลฟาง และเริ่มก่อตั้งสำนักของตนเองขึ้นมา! มันเป็นผู้ก่อตั้งสำนักเย่าเซียน…”
“มันบรรลุถึงอาณาจักรเต๋าได้แล้วจริงๆ ข้ายังจำได้ถึงวันเก่าๆ ที่มันยังเป็นผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณอยู่เลย…”
“นี่คือตระกูลฟาง, หือ? กองกำลังลับของพวกมันช่างลึกล้ำยิ่งนัก! สำนักเย่าเซียนคือสิ่งที่คนทั้งหมดต่างก็รู้จักกันดี แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ได้ถึงความจงรักภักดีของพวกมัน ในฐานะที่เป็นเงาของแสงตะเกียง!!”
สูงขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว รอยยิ้มน้อยๆ มองเห็นได้จากใบหน้าของฟางโส่วเต้า และมีแสงอันลึกล้ำแฝงความหมายอยู่ในแววตาของมัน จี้ซิ่วฟางที่ยังคงต่อสู้อยู่กับมัน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าดวงตาของตนเองได้เบิกกว้างขึ้น
“ฟางเหยียนซวี…คือไพ่ไม้ตายของเจ้า! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เจ้าจะสามารถอดทนไม่ยอมให้ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าเช่นนั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้…กลุ่มคนในตระกูลของเจ้าตายไปมากกว่าครึ่งแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงเฝ้ารอให้พวกข้าปลดปล่อยอาวุธลับออกมา ก่อนที่จะขยับตัวเคลื่อนไหว!” แต่จากนั้นจี้ซิ่วฟางก็มองไปยังฟางโส่วเต้าและยิ้มออกมา
“น่าเสียดาย เมื่อตระกูลจี้ลงมือแล้ว พวกข้าก็ไม่มีวันพ่ายแพ้! นี่คือไพ่ใบสุดท้ายของเจ้า ใช่หรือไม่?” นางยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่เย็นเยียบราวน้ำแข็ง แต่ในทันใดนั้นเองที่นางรู้สึกว่าจิตใจกำลังจมดิ่งลงไป นั่นเป็นเพราะว่าฟางโส่วเต้า…ไม่ได้แค่สงบนิ่งเยือกเย็นเท่านั้น แต่มันกำลังมองเข้ามาในดวงตาของนางด้วยสายตาอันลึกล้ำ
สายตาของมันทำให้จี้ซิ่วฟางต้องเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง
“เจ้ากำลังเสแสร้งอยู่!” นางประกาศก้องออกมา ความคิดนับพันวิ่งพล่านอยู่ในจิตใจ แต่ก็ไม่อาจจะคิดได้ว่ามีส่วนไหนในแผนการที่นางได้มองข้ามไป นางมั่นใจว่าตระกูลฟางไม่มีไพ่ไม้ตายเหลืออยู่อีกแล้ว ดังนั้นนางจึงยิ้มไปยังฟางโส่วเต้าอย่างเย็นชา และเริ่มต่อสู้กันไปมาอีกครั้ง
เสียงระเบิดดังก้องออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และบนดาวตงเซิ่งที่ด้านล่าง กลุ่มคนของตระกูลฟางต่างก็ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษวัยกลางคนที่ใกล้เข้ามาจากที่ห่างไกล และรู้สึกได้ถึงความผันผวนของแก่นแท้อาณาจักรเต๋าได้อย่างชัดเจน
สีหน้าของสามชายชราจากตระกูลจี้สลดลงในทันที ถึงแม้ว่าอายุขัยอันยาวนานของพวกมันจะเหือดแห้งหายไปอย่างรวดเร็ว แต่พวกมันก็ยังคงมีชีวิตอยู่มาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้เมื่อพวกมันต้องมาต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋า ซึ่งเป็นคนที่สามารถจะสังหารพวกมันไปได้ในทันที เสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในจิตใจพวกมัน และทันใดนั้นพวกมันก็รีบล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนนั้นเอง ที่ฟางเหยียนซวีแห่งสำนักเย่าเซียนได้ส่งเสียงหัวเราะและใกล้เข้ามา ยกมือขวาขึ้น และพลังอันมหาศาลก็พุ่งตรงไปยังชายชราที่กำลังหลบหนีจากไป
เกิดเป็นเสียงระเบิดที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือนขึ้น ขณะที่พลังแก่นแท้ระเบิดออกไป สามชายชราส่งเสียงแผดร้องแหลมเล็กออกมา และโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปาก ขณะที่พวกมันหลบหนีไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด สำหรับกลุ่มคนทรยศของตระกูลทั้งหมดที่อยู่ในคฤหาสน์โบราณ พวกมันเริ่มสั่นสะท้านและรีบหลบหนีไปอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เท่าที่เห็นความปั่นป่วนวุ่นวายนี้กำลังจะจบลงแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังเต้นรัวมากขึ้น ราวกับว่า…มีบางสิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ จะทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร ในกลียุคของตระกูลทั้งหมดนี้
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง และเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
สูงขึ้นไปในกลางอากาศ สามผู้แข็งแกร่งเสมือนเต๋าเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ถึงแม้จะตระหนักดีว่าไม่ควรที่จะต่อสู้ด้วย แต่พวกมันก็จมอยู่ในความบ้าคลั่ง และหมุนตัวพุ่งตรงไปยังฟางเหยียนซวี เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นมา และอากาศก็แตกกระจายไป สายลมอันรุนแรงกรีดร้องระงม และรอยแตกร้าวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน
การโจมตีของนักรบศิลาและผู้เฒ่าโอสถก็เหมือนกับเป็นการเพิ่มลูกเห็บให้กับหิมะ โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากของสามชายชรา และพวกมันก็แผดร้องอย่างน่าสังเวชออกมา หนึ่งในพวกมันสูญเสียแขนข้างขวา ซึ่งได้ระเบิดออกจนกลายเป็นกลุ่มหมอกของโลหิตไป
พวกมันตกตะลึงต่อพลังอันน่ากลัวนี้ แต่ก็ยังคงถูกปิดกั้นไว้ทั้งหมด สีหน้าพวกมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่เงาแห่งความตายได้กระจายออกมาปกคลุมไปทั่วจิตใจ
ที่ด้านล่างบนพื้นดิน กลุ่มคนทรยศของตระกูลกำลังถูกไล่ล่าและสังหารไป โลหิตกระจายออกไปมากขึ้น และผู้คนนับไม่ถ้วนได้ตกตายไป แม้แต่คนที่เลือกจะหลบหนีจากไปก็ต้องจบลงด้วยการพบว่า ไม่มีสถานที่แห่งใดให้หลบหนีจากไปได้
ผู้อาวุโสต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยม กลุ่มคนในตระกูลซึ่งอยู่ในอาณาจักรเซียนต่อสู้กันไปมา ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรวิญญาณต่างก็บ้าคลั่งขึ้นเช่นเดียวกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะหันกลับมาอยู่ที่ข้างของกลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อตระกูล แต่ความรู้สึกวิตกกังวลของเมิ่งฮ่าวก็ยังคงมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่า…อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างปะทุขึ้นมาในไม่ช้า
ขณะที่เหล่าปรมาจารย์ของสำนักและตระกูลต่างๆ แห่งขุนเขาทะเลที่เก้ามองไปยังการต่อสู้นี้ ความรู้สึกของพวกมัน ถึงแม้ว่าจะไม่เข้มข้นเหมือนกับเมิ่งฮ่าว แต่ก็ยังทำให้พวกมันต้องรู้สึกลังเลขึ้นมา
“กองกำลังของตระกูลฟางลึกล้ำอย่างถึงที่สุด…เหมาะสมแล้วที่พวกมันคือหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ แต่เมื่อตระกูลจี้ลงมือแล้ว มันจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้จริงๆ?”
“ตระกูลฟางได้ปลดปล่อยอาวุธลับทั้งหมดของพวกมันออกมาแล้ว ตระกูลจี้…ยังมีอะไรเหลืออยู่อีกบ้าง?”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าสามผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าที่อยู่ด้านนอกของเกราะผนึกป้องกัน จะเข้ามาร่วมในการต่อสู้นี้ด้วย?”
“คงจะไม่ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่…ได้ระงับการลุกฮือขึ้นมาในสำนักของพวกมันได้แล้ว ถ้าคนทั้งสามกล้าที่จะเข้าไปร่วมต่อสู้ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็จะต้องฉวยโอกาสลงมืออย่างแน่นอน!”
“ถ้าเช่นนั้น…ตระกูลจี้จะมีอะไรซุกซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของพวกมันบ้าง?” เหล่าปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าต่างก็เฝ้าจับตามองไปอย่างใกล้ชิด
“มีบางสิ่งที่แปลกๆ!” ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ก็ตระหนักว่าในตอนนี้ ไม่มีใครมีความรู้สึกเช่นเดียวกับตนเอง ดูเหมือนว่าจะมีเขาเพียงคนเดียวในตระกูลเท่านั้น ที่คิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกๆ กำลังเกิดขึ้นอยู่
สูงขึ้นไปในกลางอากาศ เสียงระเบิดดังก้องออกมาจากการต่อสู้ที่กำลังดำเนินไป ฟางเหยียนซวีตกอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบไปโดยสิ้นเชิง เมื่อท่านโจมตีไปก็จะเกิดเป็นการระเบิดขนาดใหญ่ขึ้น สามชายชราเสมือนเต๋าได้รับบาดเจ็บไปเรียบร้อยแล้ว และแทบไม่อาจจะต่อสู้กลับมาได้ โลหิตไหลซึมออกมาจากปากแผลของพวกมันอย่างต่อเนื่อง และเห็นได้ชัดว่าพวกมันแทบจะถูกกำจัดไปทั้งร่างกายและวิญญาณได้ทุกเมื่อ
ที่พื้นดินด้านล่าง กลุ่มคนทรยศของตระกูลต่างก็พ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง พวกมันประสบกับความสูญเสียอย่างน่าสยดสยองและน่าหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่อาจจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ความรู้สึกถึงหายนะที่ใกล้เข้ามา ก็ยังคงพุ่งขึ้นมาในจิตใจของเมิ่งฮ่าวอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่แน่ใจว่าทำไม แต่ด้วยสัญชาตญาณก็พบว่าตนเองกำลังมองไปรอบๆ ยังกลุ่มคนของตระกูลที่อยู่ในคฤหาสน์โบราณ สายตาของเขากวาดมองไปมา และเมื่อกำลังจะเลิกล้มความคิดนี้ จู่ๆ ดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น และจ้องนิ่งไปยังคนผู้หนึ่ง
นั่นคือ…ฟางตงหาน!
ย้อนกลับไปบนดาวหนานเทียน มันเคยช่วยให้เมิ่งฮ่าวหลบหนีออกไปจากกับดักที่วางไว้ หลังจากที่เมิ่งฮ่าวกลับมายังตระกูลฟาง มันก็ไม่เคยแสดงท่าทางที่เป็นปรปักษ์ใดๆ ออกมา เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายหลักของมันก็คือยุยงให้เมิ่งฮ่าวและฟางเว่ยต่อสู้กัน หลังจากที่คนทั้งสองได้รับบาดเจ็บไปแล้ว มันก็จะสามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้
นั่นคือสิ่งที่เมิ่งฮ่าวมักจะคาดคิดไว้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ขณะที่เขามองไปยังฟางตงหาน จิตใจก็ต้องเต้นรัว นั่นเป็นเพราะว่าริมฝีปากของฟางตงหานฉับพลันนั้นก็บิดขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้อยู่ในท่ามกลางกลุ่มผู้ทรยศ ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงที่มันอยู่ มันยืนอยู่ที่นั่น เห็นได้ชัดว่าสามารถจะหลบซ่อนตัวจากการมองมาของคนอื่นๆ ทั้งหมดได้ คนทั้งหมดรอบๆ บริเวณนั้นได้มองข้ามมันไปโดยสิ้นเชิง
บางทีอาจจะกล่าวได้ว่ามันถูกลืมไปแล้ว!
ยากที่จะบอกได้ว่ามันได้ใช้วิธีการอะไร เพื่อทำให้กลุ่มคนในตระกูลทั้งหมดลืมการคงอยู่ของมันไป…
สามารถมองเห็นมันได้ แต่ก็ไม่มีใครที่มองไปยังมันจะสามารถจดจำได้ว่ามันคือใคร มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมากจริงๆ
เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังมัน ก็เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกได้ และมองกลับมา สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน และจิตใจเมิ่งฮ่าวก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่ม สีหน้าเปลี่ยนไปขณะที่ความรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระเบิดขึ้นมาอยู่ภายในใจ
ขณะที่เกิดขึ้นเช่นนั้น ม่านตาเมิ่งฮ่าวก็พล่าเลือนไป และทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่ากำลังผ่านเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีแดงเข้มราวกับโลหิต พื้นดินราวกับเป็นโลหิตขนาดใหญ่ และเสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ ทันใดนั้นก็มีอสรพิษโซ่เหล็กนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน พวกมันเป็นสีแดง ราวกับว่าได้แปดเปื้อนไปด้วยโลหิตนับไม่ถ้วนอย่างที่ไม่อาจจะคาดคิดได้ และพวกมันก็บินตรงมายังทิศทางของเมิ่งฮ่าว มาห้อมล้อมและพันธนาการเขาไว้ในทันที
เขาไร้กำลังที่จะต่อต้านได้โดยสิ้นเชิง แทบจะราวกับว่าเขาได้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไป ที่ยิ่งน่ากลัวมากไปกว่านั้นสำหรับเมิ่งฮ่าวก็คือว่า เขากำลังรู้สึกง่วงนอนขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับว่าเขาไม่อาจแม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้
ไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะรู้สึกตื่นตระหนกมากแค่ไหนก็ตามที เขาก็ยังไม่อาจจะควบคุมร่างกายของตนเองได้ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะหลับไปอย่างรวดเร็วได้ทุกเมื่อ
ขณะที่อสรพิษโซ่เหล็กเหล่านั้นเข้ามาใกล้เขา ทันใดนั้นผลเนี่ยผานของท่านปรมาจารย์รุ่นแรกจู่ๆ ก็เริ่มสั่นขึ้นมาอยู่ในถุงสมบัติของเขา
แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว และจากนั้นเขาก็เริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ฉับพลันนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมา และดวงตาก็เบิกกว้าง ภาพที่เมิ่งฮ่าวเห็นนั้นได้แตกกระจัดกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นก็กลายเป็นลมพายุที่ม้วนกวาดออกไปในทั่วทุกทิศทาง ราวกับว่าพลังอันมหาศาลได้กระจายออกมา คว้าจับเขาไว้และดึงเขาออกมาจากโลกแห่งนั้น
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว เมื่อภาพที่เขาเห็นได้กลับคืนมาเป็นปกติ เขายังคงอยู่บนดาวตงเซิ่ง อยู่ในตระกูลฟาง เขามองเห็นฟางตงหานกำลังยิ้มมาที่เขา เป็นรอยยิ้มที่แปลกๆ และเย็นชา เมิ่งฮ่าวรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้ ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังหลบซ่อนอยู่ภายในร่างของฟางตงหาน…เป็นบางสิ่งที่สูงเกินกว่าเซียนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถจะบดขยี้ได้แม้แต่อาณาจักรเต๋า!
ฟางตงหานมองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่ามันค่อนข้างจะประหลาดใจ ที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะทำให้ตนเองหลุดรอดออกมาจากโลกแปลกๆ แห่งนั้นได้
“มันไม่ใช่ฟางตงหาน!!” เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว เพียงมองแค่แวบแรกก็ทำให้เขาต้องตกเข้าไปในโลกสีโลหิตอันน่าหวาดกลัวนั้นได้ และเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าถ้าเขาไม่มีผลเนี่ยผานแล้วละก็ เขาก็คง…ต้องตายไปอย่างแน่นอน!!
หลังจากที่ถูกดึงออกมา เขาก็ยังคงต้องกระอักโลหิตและเจ็บปวดที่หน้าอก แทบจะราวกับว่าจิตใจถูกดึงออกไปด้วยมือที่มองไม่เห็น ใบหน้าเขาซีดขาวขณะที่ถอยไปทางด้านหลัง โดยไม่ลังเลใดๆ แม้แต่น้อย เขาร้องเรียกไปยังนักรบศิลาด้วยเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์
กลับมาที่นี่!!
ตอนนี้นักรบศิลากำลังต่อสู้อยู่กับสามผู้แข็งแกร่งเสมือนเต๋า ที่ด้านข้างของฟางเหยียนซวี แต่มันก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ในทันทีที่รับรู้ได้ถึงเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว มันก็หยุดโจมตีและพุ่งกลับไปหาเขาในทันที
ขณะที่นักรบศิลาเริ่มขยับตัว ฟางตงหานก็เงยหน้าขึ้น และรอยยิ้มอันเย็นชาก็ประจายออกไปทั่วใบหน้ามัน จากนั้นมันก็ยกมือขวาขึ้น และโบกสะบัดเข้าไปในอากาศอย่างแผ่วเบา
การเคลื่อนไหวนั้นทำให้สีหน้าของฟางตานอวิ๋นสลดลง เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในร่างท่าน และโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปาก ท่านพยายามจะหลบหนีจากไป แต่ก่อนที่จะทันไปได้ไกล โลหิตก็ไหลซึมออกมาจากทั่วทั้งร่าง เสียงแตกร้าวได้ยินมา ขณะที่รอยแตกและฉีกขาดมากมายได้เปิดออก เกิดขึ้นสิบครั้งติดต่อกัน ในชั่วพริบตาท่านก็อ่อนแอลงไปอย่างรวดเร็ว และเริ่มกระจายกลิ่นอายแห่งความตายอันไร้ขอบเขตออกมาอีกด้วย
เท่าที่เห็น แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เสมือนเต๋า…ก็ยังต้องได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ด้วยการโบกสะบัดมือไปเพียงแค่ครั้งเดียวของฟางตงหาน!
ในเวลาเดียวกันนั้น ฟางเหยียนซวีก็ส่งเสียงคำรามอันทรงพลังออกมา ขณะที่ท่านทำการร่ายเวทพร้อมกันทั้งสองมือ แก่นแท้พลังระเบิดออกไป เป็นแก่นแท้ของต้นพืชสมุนไพร ต้นไม้นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในบริเวณนั้น แต่พวกมันก็แห้งเหี่ยวลงไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหยียนซวีกระอักโลหิตออกมา ขณะที่สั่นสะท้านถอยไปทางด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าแม้แต่พื้นฐานฝึกตนของท่าน…ก็ยังต้องถูกบังคับให้ถอยออกไปด้วยการโจมตีนั้น!
ด้วยการโบกสะบัดมือไปเพียงแค่ครั้งเดียว ก็ทำให้ผู้เฒ่าโอสถต้องได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และบังคับให้ฟางเหยียนซวีต้องล่าถอยไปทางด้านหลัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และถ้านักรบศิลาไม่ได้เคลื่อนที่ตรงไปยังเมิ่งฮ่าว มันก็คงจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
“เจ้า…” ฟางเหยียนซวีพูดขึ้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อและประหลาดใจ มองลงไปที่กลุ่มฝูงชนจากกลางอากาศ ยังบุคคลผู้หนึ่งที่คนทั้งหมดมองข้ามและลืมเลือนไป…ฟางตงหาน!
“ตระกูลจี้ช่างใช้การไม่ได้มากกว่าที่ข้าคิด…” ฟางตงหานกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ก้าวเท้าออกไปในอากาศ พุ่งทะยานขึ้นไป เส้นผมของมันลอยพลิ้วไปมาอยู่รอบๆ ตัว รูปร่างหน้าตาของมันค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ และขณะที่คนทั้งหมดเฝ้ามองไป มันก็กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว ไม่ใช่ฟางตงหาน แต่เป็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง
“ถ้าไม่ใช่ว่าข้าตื่นขึ้นมาได้ทันเวลาพอดี เกรงว่าการเตรียมการทั้งหมดของตระกูลจี้คงจะต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์” ฟางตงหานส่ายหน้าขณะที่ลอยตัวอยู่ที่นั่นในกลางอากาศ ร่างกายมันกระจายระลอกคลื่นของพื้นฐานฝึกตนอันไร้ขอบเขตออกมา มันดูคล้ายกับเป็น…ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และปฐพี ความรู้สึกถึงสายโลหิตกระจายเป็นระลอกคลื่นออกมาจากร่างมัน ทำให้เห็นได้ชัดว่ามันคือคนของตระกูลฟาง ทำให้จิตใจของคนทั้งหมดต้องสั่นสะท้าน
“ยังมีคนในตระกูลฟาง พอที่จะจดจำข้าได้อยู่หรือไม่?” ฟางตงหานกล่าวขึ้นมา เสียงของมันอ่อนโยนแต่ก็เก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด
——————–
หมายเหตุ : 雪上加霜 (เสวี่ยซ่างเจียซวง) เพิ่มลูกเห็บให้กับหิมะ หมายถึง ทำให้สถานการณ์แย่ลง