Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1060

ตอนที่ 1060

ภัยคุกคาม!

“อาวุธสงคราม?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นด้วยความสนใจ

“เป็นอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ เป็นของวิเศษที่สามารถจะยึดครองสวรรค์ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้วิชาเวท!” นกแก้วกล่าวตอบขึ้นอย่างช้าๆ มีท่าทางเคร่งขรึมขณะที่พูดออกมา แต่ประโยคถัดไปได้เผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่แท้จริงของมัน

“เห็นได้ชัดว่าอู่เหยียจะกลายเป็นอาวุธต่อสู้ไปจริงๆ ฮา ฮา ฮา! พยายามให้มากไว้ เสี่ยวฮ่าวจื่อ (เจ้ามุสิกน้อย) อู่เหยียไม่มีโอกาสได้เป็นอาวุธสงครามมานาน, นานมากแล้ว ข้าคิดถึงความรู้สึกที่สามารถเจาะทะลวงได้ทุกอย่างเท่าที่สายตาจะมองเห็นได้จริงๆ…” ด้วยเช่นนั้นดวงตามันก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมา และสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความตื่นเต้น จนลืมที่จะกระพือปีก ทำให้ต้องตกลงมาจากกลางอากาศในทันที

เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา และไม่สนใจเจ้านกแก้วที่อวดดีนั้นอีก มองไปยังผีโต้ง ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่น ดวงตาลุกโชนขึ้นด้วยความหลงใหล เมื่อได้เห็นท่าทางที่เงียบขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของมัน ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสอบถามไปว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“อา ในที่สุดเจ้าก็ถามแล้ว เมื่อได้เห็นเจ้ากลายเป็นเซียนทุกชั้นฟ้าไปเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้ข้าต้องหวนรำลึกไปถึงบางสิ่งบางอย่างเมื่อหลายปีก่อน มันเกิดขึ้นมานาน นานแสนาน นานมากๆ ดังนั้นจงตั้งใจฟังให้ดีถึงสิ่งที่ข้ากำลังอธิบายอยู่นี้” ผีโต้งกล่าวตอบ

“ก่อนอื่น พวกเราจำเป็นต้องเริ่มทำความเข้าใจกับบางสิ่งบางอย่างที่ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ทุกสิ่งก็จะค่อยๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้น เอ่อ…เจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลไป พวกเราจะค่อยๆ รับรู้เรื่องราวต่างๆ ไปอย่างช้าๆ ข้าคิดว่าคงจะสามารถอธิบายได้จบสิ้นภายในเวลาสามวัน” มันกระแอมไอ อ้าปากขึ้นและเริ่มพูดออกมา

สีหน้าแปลกๆ เริ่มมองเห็นได้จากบนใบหน้าเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ เขาตระหนักดีว่าผีโต้งสามารถนับได้เพียงแค่สามเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับมันแล้ว เลขสามคือ…จำนวนที่ไร้ขีดจำกัดของมัน

จากการวิเคราะห์ของเมิ่งฮ่าว สามวันที่ผีโต้งเอ่ยถึง น่าจะเป็นสามวันที่เทียบได้กับเวลาหนึ่งร้อยปี หรือหนึ่งพันปี หรือแม้แต่หนึ่งล้านปี…

เมิ่งฮ่าวไอแห้งๆ ออกมา และรีบหลบไปทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยังหน้าผาศิลา โบกสะบัดมือทำให้วิชาเวทไปแกะสลักเป็นถ้ำแห่งเซียนแห่งใหม่ขึ้นมา มันไม่ใช่ที่พักอาศัยเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังคงมีห้องศิลาอยู่ด้านในเป็นจำนวนมาก มีมากกว่าแปดห้อง

เกิดเป็นประกายแสงแวบขึ้นมาขณะที่เขาบินเข้าไปตรงด้านใน ปากของผีโต้งบิดขึ้นเล็กน้อย มีท่าทางเจ็บปวดใจ มันหันหน้าไปมองยังผู้ฝึกตนอสูร และซูเยียน จู่ๆ ดวงตาก็เจิดจ้าขึ้น จากนั้นมันก็กระโดดไปด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสา และจ้องมองไปยังซูเยียน

“สหายเต๋าท่านนี้ สนใจที่จะฟังเรื่องราวของข้าบ้างหรือไม่?”

“หือ?” ซูเยียนยังคงสะท้านใจต่อสิ่งทั้งหมดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับเมิ่งฮ่าวเมื่อครู่นี้ จิตใจนางยังคงหมุนคว้าง ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดก่อนที่จะตอบรับผีโต้งไป ฉับพลันนั้นผีโต้งก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเป็นอย่างยิ่ง เสียงปะทุได้ยินมาขณะที่มันกลายเป็นปิ่นปักผมรูปกระดิ่งอันเล็กๆ ลอยขึ้นไปติดอยู่ที่ผมของซูเยียน ซึ่งอยู่ตรงข้างหูของนาง

มันถอนหายใจออกมา และจากนั้นก็เริ่มกล่าวขึ้น “พวกเรามาเริ่มกันด้วยพายุฝนขนาดใหญ่จากเมื่อหลายปีก่อนโน้น ซานเหยียจำได้ว่ารู้สึกอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่งกับสายฝนในวันนั้น ข้าอยากรู้ว่าจะมีหยดน้ำฝนตกลงมามากมายเท่าใดกันแน่ ดังนั้นซานเหยียจึงได้เริ่มนับขึ้น

หนึ่ง, สอง, สาม, หนึ่ง, สอง, สาม…”

อย่างช้าๆ ซูเยียนเริ่มสั่นสะท้าน และสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ในที่สุดเส้นเลือดเขียวก็โผล่ขึ้นมาจากบนหน้าผากของนาง ขณะที่ผีโต้งเริ่มนับต่อไป พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วย “หนึ่ง, สอง, สาม” ครั้งแล้วครั้งเล่า

“บัดซบ, ลงมาให้กับข้า!” นางร้องตวาดขึ้น คว้าจับผีโต้งขว้างลงไปบนพื้น แต่โชคร้ายที่พื้นฐานฝึกตนของนางถูกผนึกไว้ ดังนั้นนางจึงไม่อาจจะต่อสู้กับผีโต้งได้…สำหรับผีโต้ง มันไม่รู้สึกหวาดกลัวที่ถูกตวาดเช่นนั้น ถ้าให้กล่าวกันจริงๆ แล้วละก็ มันรู้สึกหวาดกลัวต่อการถูกไม่แยแสสนใจเท่านั้น จู่ๆ เมื่อได้เห็นซูเยียนมีส่วนร่วมในการพูดคุยของมันก็ทำให้ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น มันรีบพุ่งไปหาตำแหน่งใหม่ในทันที และเริ่มพูดต่อไป

นกแก้วกลอกตามันไปมา ในความคิดของมัน ผีโต้งไม่มีความทะเยอทะยานมากพอ นกแก้วบินขึ้นไปในอากาศ และเริ่มหมุนเป็นรูปวงกลมอยู่รอบๆ ผู้ฝึกตนอสูร ขณะที่กลับไปสอนให้พวกมันร้องเพลงต่อไป

ไม่นานหลังจากนั้น เสียงเพลงก็ดังเต็มไปทั่วในหุบเขา

“เมื่อข้ายังเยาว์ ข้าเป็นเด็กเลว ข้าคือไห่เซียนตัวน้อย ลา ลา ลา ลา ไห่เซียนตัวน้อย โฮ โฮ โฮ โฮ ไห่เซียนตัวน้อย…”

ทั้งนกแก้วและผีโต้งต่างก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เจ็ดวันผ่านไป ตอนนี้เมิ่งฮ่าวอยู่ในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้ามามากกว่าสองเดือนแล้ว วันที่จะเข้าไปในอาณาจักรสายลมเหลืออีกเพียงแค่ยี่สิบกว่าวันเท่านั้น

สี่วันก่อนหน้านี้ สองแผ่นหยกได้มาถึงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าพวกมันเต็มไปด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อ ขณะที่พุ่งผ่านผนังของถ้ำแห่งเซียนมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าเขาโดยตรง ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับแสงระยิบระยับอันเจิดจ้า

หลังจากที่ตกลงมาบนฝ่ามือของเมิ่งฮ่าว เขาก็มองไปยังพวกมัน และจากนั้นก็เข้าฌานต่อไป ไม่สนใจแผ่นหยกทั้งสอง เขาไม่ได้คัดลอกหยดโลหิตผู้ยิ่งใหญ่

แต่ใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับพื้นฐานฝึกตนใหม่ของตัวเอง ดูว่าจะมีผลกระทบต่อความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทต่างๆ อย่างไรบ้าง

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาได้ส่งด้วงตาปีศาจให้เข้าไปอยู่ในห้องศิลารอบๆ บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก และรอคอยให้พวกมันกลายเป็นภูติเกราะดำ

เมื่อถึงวันที่เจ็ด เมิ่งฮ่าวก็มีภูติเกราะดำเพิ่มขึ้นมาอีกแปดตน ทำให้ตอนนี้เขามีพวกมันอยู่ในการควบคุมทั้งหมดสิบตน

“ถ้าข้าเปลี่ยนแปลงด้วงดำทั้งหมดได้ ก็น่าจะมีภูติเกราะดำอยู่ประมาณห้าสิบตน…ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่จำนวนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายเป็นกองทัพน้อยๆ” เมิ่งฮ่าวเก็บภูติเกราะดำไว้ จากนั้นก็ทำการแกะสลักเป็นห้องศิลาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายห้องอย่างรวดเร็ว โยนด้วงดำเข้าไปเพื่อให้พวกมันเริ่มกลายร่าง ในที่สุดเขาก็เสร็จสิ้นการเข้าฌานตามลำพังทั้งหมดเจ็ดวัน

“ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเซียนมากขึ้นกว่าเดิม จำเป็นต้องฝึกฝนกับวิชาเวทและความสามารถศักดิ์สิทธิ์บางอย่างอีกแค่เล็กน้อย และข้าก็จะเก่งขึ้น” เมิ่งฮ่าวคิด พื้นฐานฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยเหมือนกับการเปลี่ยนจากอาณาจักรวิญญาณจนกลายเป็นอาณาจักรเซียนก็ตามที แต่ก็ยังคงพุ่งทะยานขึ้นไปเป็นอย่างมาก เวลาเพียงแค่เจ็ดวันยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความคุ้นเคยกับสถานะใหม่ของเขาในตอนนี้ เขาจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการต่อสู้เพื่อทำความเข้าใจกับความแตกต่างทั้งหมดโดยสมบูรณ์

ในที่สุดสายตาของเมิ่งฮ่าวก็มองไปยังแผ่นหยกที่มาถึงเมื่อสี่วันก่อน เขาหยิบพวกมันขึ้นมาและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดอ่านไป หลังจากนั้นดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเย็นชา และเริ่มหัวเราะหึๆ ออกมา

แผ่นหยกชิ้นแรกมาจากแผนกภารกิจของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

แผนกภารกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักที่คอยดูแลเรื่องการมอบหมายงานต่างๆ ให้กับศิษย์ของสำนักโดยเฉพาะ ภารกิจเหล่านั้นถูกจัดแบ่งเป็นหลายระดับ โดยที่ศิษย์ต่างๆ ไม่อาจจะปฏิเสธการทำภารกิจระดับสูงสุดได้

แน่นอนว่าภารกิจส่วนใหญ่เหล่านั้น จะถูกกำหนดขึ้นในฐานะที่เป็นการทดสอบ ถึงแม้ว่าภารกิจส่วนใหญ่มักจะมีอันตราย แต่ก็ไม่เกินความสามารถของศิษย์ที่ถูกกำหนดไว้ ศิษย์เหล่านั้นจำเป็นต้องมีโอกาสที่จะออกไปต่อสู้จริงๆ แต่กลับกันความปลอดภัยก็ต้องมาก่อนเช่นกัน

แผ่นหยกชิ้นแรกนั้น เป็นภารกิจที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้

“ผู้ฝึกตนกระหายเลือดผู้หนึ่ง ได้ปรากฏขึ้นที่เกาะไห่ซาน(เปลือกทะเล)” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ขณะที่ทำการศึกษาข้อมูล

“มันสังหารผู้ฝึกตนไปหลายคน และกวาดล้างอสูรทะเลไปเป็นจำนวนมาก…จากการตรวจสอบ พื้นฐานฝึกตนของมันไม่ได้อยู่ในอาณาจักรโบราณ แต่อยู่ในขั้นสูงสุดของอาณาจักรเซียน

อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของมัน เนื่องจากการค้นหาร่องรอยกระทำได้ยาก รู้แต่เพียงว่ามันมักจะไปอยู่ที่เกาะไห่ซาน” ด้วยเช่นนั้น รอยยิ้มของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มเย็นชาขึ้น

เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาไม่ได้ลืมเกี่ยวกับข้อตกลงที่ทำไว้กับเก้าไห่เจี้ยเยา (อสูรทะเล)

โดยหลักการแล้ว เมิ่งฮ่าวอยู่ในสถานะที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ในแง่ของการเดิมพัน ถ้าเขาแพ้ก็ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าเขาต้องการจะมอบตำแหน่งลำดับขั้นให้กับพวกมันไปจริงๆ ก็ตามที แต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะมาแทนที่เขาได้ก็คือ ต้องสังหารเขาไปถึงสองครั้ง ถ้าพวกมันต้องการจะทำเช่นนั้น ก็คงต้องกระทำอยู่ที่ด้านนอกของสำนัก ถ้าเป็นที่นั่นก็อาจจะเป็นไปได้

กลุ่มผู้ฝึกตนอสูรดูเหมือนจะนึกถึงแต่พวกมันเอง โดยพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับลำดับขั้นมาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงก็คือพวกมันไม่ได้รู้อะไรมากนัก ตำแหน่งของลำดับขั้นไม่ใช่สิ่งที่จะส่งมอบให้ได้ด้วยการวางเดิมพัน มันเป็นสิ่งที่คงอยู่ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรแห่งความตาย

น่าเสียดายที่กลุ่มผู้ฝึกตนอสูรไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนั้น…หลังจากที่ผ่านไปนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน เมิ่งฮ่าวก็เป็นบุคคลที่สองเท่านั้น ในขุนเขาทะเลที่เก้าที่ได้มาเข้าร่วมในลำดับขั้น!

จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมิ่งฮ่าวจะยอมตกลงเดิมพันในสิ่งที่เขาไม่มีทางจะพ่ายแพ้ เหตุผลที่เขาบอกว่าจะให้คำตอบสุดท้ายในอีกหนึ่งเดือนก็คือว่า ต้องการจะทำให้เกิดเป็นสถานการณ์ที่ดูเหมือนจริงมากที่สุด

เวลานัดหมายได้ผ่านไปแล้ว และเขาก็ไม่เคยตอบกลับไป ดังนั้นจู่ๆ ก็มีแผ่นหยกนี้มาถึง…ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่ถูกใช้มาโดยกลุ่มผู้ฝึกตนอสูร

แผ่นหยกอีกชิ้นมาจากหลิงอวิ๋นจื่อ ซึ่งได้บอกกับเมิ่งฮ่าวว่า ภารกิจนั้นถูกกำหนดมาจากกลุ่มผู้ฝึกตนอสูร การเปิดอาณาจักรสายลมจำเป็นต้องมีความร่วมมือจากพวกมัน และด้วยเช่นนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบปฏิเสธไป

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนัก เมิ่งฮ่าวต้องไปปฏิบัติภารกิจให้กับสำนัก นั่นคือสิ่งที่ควรจะกระทำ และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาสนับสนุนคำปฏิเสธใดๆ

ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มผู้ฝึกตนอสูรเป็นผู้จัดเตรียมภารกิจนี้

แต่หลิงอวิ๋นจื่อก็มั่นใจว่าจะไม่มีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋ามาเกี่ยวข้องด้วย และไม่มีผู้ฝึกตนขั้นสูงสุดของอาณาจักรโบราณมายุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน หลิงอวิ๋นจื่อขอร้องให้เมิ่งฮ่าวอย่าได้ออกไปจากสำนักจริงๆ แต่ให้เขาก้าวเท้าออกไปและให้กลับเข้ามาในทันที จากนั้นก็ให้รายงานไปว่าเขาปฏิบัติภารกิจล้มเหลว

ถ้ามีการลงโทษเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากเรื่องนี้ จิ่วผอและคนอื่นๆ ก็จะมาช่วยสะสางให้

ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่สะดวกที่จะรับภารกิจนี้ เขาสามารถที่จะปฏิเสธได้ และพวกท่านก็จะพยายามหาวิธีอื่นเพื่อมาช่วยแก้ปัญหานี้

อย่างไรก็ตามถ้าเกิดขึ้นเช่นนั้น ก็จะทำให้การเปิดอาณาจักรสายลมต้องล่าช้าออกไปอย่างที่ไม่อาจจะกำหนดได้

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำภารกิจให้สำเร็จจริงๆ เขาจะออกไปจากสำนัก แต่จากนั้นก็กลับเข้ามาแทบจะในทันที และพยายามจะหาเหตุผลมาอธิบายแก้ตัวต่อเรื่องนี้

สิ่งที่เขาต้องการจะทำจริงๆ ก็คือ ไปทดสอบที่ประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองที่เก้าอีกครั้ง และดูว่าพื้นฐานฝึกตนในตอนนี้ของเขาจะสามารถต่อต้านกับ…หมัดที่โจมตีมาเป็นครั้งที่สามของผู้ฝึกตนกายเนื้อได้หรือไม่!

“ถึงแม้ว่ากลุ่มผู้ฝึกตนอสูรจะพยายามหาหนทางมาบังคับให้ข้าต้องยอมรับภารกิจนี้ แต่พวกมันจะทำอะไรได้…ถ้าข้าไม่ต้องการไป พวกมันก็ไม่อาจจะมาบังคับข้าได้”

ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวจึงออกไปจากถ้ำแห่งเซียน บินผ่านน้ำขึ้นไปปรากฏกายอยู่ในกลางอากาศ เขาไม่หยุดชะงักลง แต่กลับพุ่งตรงไปยังประตูหลักของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งฝ่าอากาศไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด ก็มีผู้ฝึกตนมากมายมองเห็นเขา สีหน้าแปลกๆ ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่เป็นผู้ฝึกตนอสูร ซึ่งเห็นได้ชัดว่ารังเกียจและต้องการจะเห็นเขาตกตายไป

ข่าวคราวเกี่ยวกับการเดิมพันของเมิ่งฮ่าวกับไห่เจี้ยเยาทั้งเก้า

ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งสำนักมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาบอกว่าจะให้คำตอบภายในหนึ่งเดือน แต่ก็ไม่ได้ทำตามที่พูดไว้ ทำให้เก้าไห่เจี้ยเยาต้องมีโทสะขึ้น และด้วยเช่นนั้นพวกมันจึงได้แพร่ข่าวลือออกไปอย่างน่ารังเกียจ ทำให้มีศิษย์เชื่อถืออยู่เป็นจำนวนมาก

ครึ่งชั่วยามต่อมา เมิ่งฮ่าวก็ไปถึงประตูหลักของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ไกลออกไปเป็นโลกแห่งน้ำทะเลที่มืดสนิท ในทันทีที่ผ่านประตูออกไป เขาก็จะไปอยู่ในน้ำของทะเลที่เก้า

เมิ่งฮ่าวไม่หยุดชะงักลงแม้ชั่วขณะ พุ่งออกไปจากประตูเข้าไปในน้ำ ทำให้ร่างกายของเขาทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยความหนาวเย็นราวน้ำแข็งในทันที

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าออกไปจากประตูหลัก เขาก็เตรียมตัวที่จะกลับเข้าไปในสำนัก แต่ในตอนนั้นเองที่เขาต้องหยุดชะงักนิ่ง และมองขึ้นไปที่เบื้องหน้า

ที่นั่นในน้ำทะเลอันมืดมิดเป็นเงาร่างที่ดูคุ้นเคย ซึ่งก็คือ…เฉินฝาน!

ศิษย์พี่ของเมิ่งฮ่าว, เฉินฝาน!

ชั่วขณะต่อมา รูปร่างหน้าตาของเงาร่างนั้นได้เปลี่ยนไป และในตอนนี้มันได้กลายเป็นเจ้าอ้วน หลังจากที่ผ่านไปอีกชั่วครู่ มันก็กลายเป็นฉู่อวี้เยียน!

สามคนที่เขารู้จักได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าตามลำดับอย่างรวดเร็ว จากนั้นเงาร่างนั้นก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง และตอนนี้เขาได้เผชิญหน้ากับผู้นำของเก้าไห่เจี้ยเยา, หลงเทียนไห่!

มันยืนอยู่ที่นั่น ยิ้มให้กับเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็อ้าปากกล่าวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำพูดให้ได้ยิน แต่เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะอ่านริมฝีปากของมันได้อย่างค่อนข้างจะชัดเจน

“ข้าสามารถตามล่าคนทั้งสามนี้ได้” เป็นแค่สิบคำเท่านั้น แต่ก็ก่อให้เกิดเป็นภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!