Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1131

ตอนที่ 1131

เสวี่ยเอ๋อร์

ดูเหมือนว่าจิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังหมุนคว้าง เห็นได้ชัดว่าเสียงของจ้งอู๋หยาประกอบไปด้วยพลังที่แปลกๆ บางอย่าง เป็นสิ่งที่สามารถจะรบกวนจิตปัญญาของเมิ่งฮ่าวได้ ทำให้เขาต้องหอบหายใจออกมา คำพูดของจ้งอู๋หยากำลังสะกดจิตเขา และดูเหมือนว่าเขาจะไร้พลังที่จะคลี่คลายให้ตนเองหลุดออกมาจากสถานการณ์นี้ได้

“เต๋าเดิมแท้…” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียสติไปโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าได้สูญเสียพลังแห่งเหตุผลและการตัดสินใจทั้งมวลไป ราวกับว่าส่วนหนึ่งของเขาเต็มไปด้วยทุกสรรพสิ่งที่เขารับรู้เกี่ยวกับอาณาจักรขุนเขาทะเล ในเวลาเดียวกันนั้นสิ่งทั้งหมดที่เขาเชื่อถือต่างก็ถูกเปิดเผยออกมาโดยจ้งอู๋หยา

ความคิดสองรูปแบบวิ่งผ่านเข้ามาในจิตใจ และตอนนี้พวกมันกำลังต่อสู้กันไปมา

เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน หอบหายใจออกมา ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำไป

“มากับข้า แผนการของพวกเรากำลังดำเนินไปแล้ว และไม่มีใครสามารถจะมาหยุดพวกเราได้…มากับข้า และพวกเราก็จะไปยังโลกที่แท้จริง พร้อมกับร่างกายใหม่ พวกเราสามารถจะตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง” จ้งอู๋หยากล่าว

“จากนั้นเจ้าก็จะเข้าใจได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าบอกเจ้าไป…เป็นเรื่องจริง จากนั้นเจ้าก็สามารถจะรู้สึกได้ถึง…การคงอยู่ของเต๋าเดิมแท้”

ถึงแม้ว่ามีใครบางคนมองเห็นเมิ่งฮ่าวและจ้งอู๋หยาพูดคุยกัน แต่ไม่มีใครสามารถจะได้ยินคำพูดที่กำลังกล่าวออกมานั้น จ้งอู๋หยามั่นใจว่าเสียงทั้งหมดถูกปิดกั้นไว้แล้ว

ในตอนนี้เองที่บุรุษชุดดำกลุ่มใหญ่ได้ปรากฏตัวขึ้น บินตรงมายังคนทั้งสองจากทิศทางของชนเผ่าที่สาม จ้งอู๋หยามองไป และพวกมันก็หยุดชะงักนิ่งตรงเขตชายแดนในทันที เฝ้ารอคอยอยู่ที่นั่น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเคลื่อนที่ตรงมา

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปยังจ้งอู๋หยา ดูเหมือนว่าเขากำลังดิ้นรนอยู่ แต่ก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาในการขบคิด”

“ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่อาจจะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ข้าคงต้องบอกความจริงให้เจ้ารับรู้ เพื่อให้เจ้าสามารถจะตัดสินใจได้…”

จ้งอู๋หยากล่าวเสียงแผ่วเบา มองไปยังเมิ่งฮ่าว และในส่วนลึกของดวงตามันเต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนและความหวัง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านี้ บางทีสิ่งที่มันคาดหวังก็คือเมิ่งฮ่าวอาจจะเป็นเช่นเดียวกับมัน สามารถจะไล่ตามเต๋าเดิมแท้ไปได้ หรือบางทีมันกำลังคิดถึงสิ่งอื่นอยู่…

มีแต่ตัวมันเองเท่านั้นที่จะรู้ได้

“ข้าจะให้เจ้ามีเวลาขบคิดบ้าง แต่ในช่วงเวลานั้น เจ้าไม่อาจจะออกไปจากเขตพื้นที่ของวิหารกลางได้ เมิ่งฮ่าว…ดูแลตัวเองด้วย” พร้อมกับการมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาอันแหลมคมเป็นครั้งสุดท้าย มันหันหลังกลับไปยังชนเผ่าที่สาม

เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง ไม่อาจจะสงบจิตใจได้กับการกระทำของจ้งอู๋หยาว่าทำไมมันถึงได้จากไปเช่นนั้น

ขณะที่จ้งอู๋หยาหันหลังและลอยตัวขึ้นไปในอากาศ มันก็มองไปยังเขตชายแดนซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับชนเผ่าที่หกและเขตพื้นที่วิหารกลาง สายตาของมันอ้อยอิ่งอยู่ชั่วขณะยังนักรบผู้หนึ่งในกองกำลังของชนเผ่าที่หก นักรบผู้นั้นสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องการต่อสู้อย่างสิ้นหวังนี้ไปจนหมดสิ้น

จ้งอู๋หยาละสายตากลับมาและถอนหายใจ อีกครั้งที่อารมณ์อันซับซ้อนและความมุ่งหวัง สาดประกายขึ้นมาในแววตาของมัน

ขณะที่มันเดินทางจากไป ก็พึมพำขึ้น “เมิ่งฮ่าว เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร…?”

เมิ่งฮ่าวมองดูมันจากไป และเมื่อเห็นจ้งอู๋หยามองตรงไปยังชนเผ่าที่หก เขาก็มองไปด้วยเช่นกันโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ

ก่อนที่จ้งอู๋หยาจะพุ่งจนห่างไกลออกไป ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ร้องตะโกนไล่หลังมันไป “จะเกิดอะไรขึ้น…ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเชื่อว่าเป็นความจริง กลับเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งหมด?”

จ้งอู๋หยาไม่หยุดชะงักนิ่ง ยังคงมุ่งหน้าต่อไป กล่าวตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ถ้าไม่มองเข้าไปในเรื่องราวเหล่านั้น ก็ไม่มีทางจะได้รับคำตอบ ข้าคือผู้ฝึกตน และเป้าหมายในชีวิตของข้าก็คือไล่ตามเต๋าเดิมแท้ ไม่ว่าข้าจะล้มเหลวหรือสำเร็จ ไม่ว่าอย่างไร จิตใจข้าก็จะสงบสุข!”

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่มองดูจ้งอู๋หยาพุ่งผ่านเขตชายแดนเข้าไปสู่ชนเผ่าที่สาม มันโบกสะบัดมือ และบุรุษชุดดำคนอื่นๆ ต่างก็ก้มศีรษะลง และติดตามเข้าไปในชนเผ่าที่สาม

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน คำพูดของจ้งอู๋หยายังคงดังก้องอยู่ในจิตใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจจะมีผลกระทบต่อความคิดของเขาได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่ตอนแรกเขาได้รับผลกระทบเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามความคิดของเขาเอง

สิ่งที่จ้งอู๋หยากล่าวมาดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง และผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตามที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ก็จะรู้สึกราวกับว่าโลกของพวกมันพลิกกลับตาลปัตรไป

แต่เมิ่งฮ่าวคือ…ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า!

เขาคือผู้สืบทอดที่แท้จริงของจิ่วเฟิงจื้อจุน และเป็นราชันแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลในอนาคตอีกด้วย

ความเข้าใจเกี่ยวกับอาณาจักรขุนเขาทะเลของเมิ่งฮ่าวจริงๆ แล้วก็เกินกว่าที่จ้งอู๋หยาจะรับรู้ได้

อาณาจักรขุนเขาทะเลไม่ใช่ร่างกายของจิ่วเฟิงจื้อจุน แต่เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งของท่าน ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้งอู๋หยาบอกว่าเป็นภาพลวงตา จริงๆ แล้วก็เป็นของจริง

เมื่อจ้งอู๋หยาเอ่ยถึงผีเสื้อก็มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโลกที่มันคาดเดาไปเองว่าเป็น ‘ของจริง’ ด้วยเช่นกัน ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องนึกย้อนกลับไปยังภาพที่เคยเห็นมา ตอนที่เขามองเห็นผีเสื้อเก้าตัวกำลังฉุดลากดินแดนขนาดใหญ่มาอย่างช่วยไม่ได้

“ละทิ้งร่างกายของข้าในตอนนี้ และไปยังโลกที่คิดว่าเป็นของจริงเพื่อได้รับร่างใหม่? บรรลุการรู้แจ้งของเต๋าเดิมแท้? ฟังดูเหมือนกับเป็นเรื่องจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่…มันคือสิ่งที่วิปริตไปโดยสิ้นเชิง!”

“มันคือเรื่องโกหกหลอกลวง เหมือนกับการโกหกที่ใช้ปลุกระดมสามพันอาณาจักรที่อยู่ต่ำกว่าให้กลายเป็นกบฏ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพวกมันถึงได้รวมพลังกันเพื่อโค่นล้มผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียน!”

“บางทีคำพูดที่พวกมันใช้ อาจจะเป็นคำว่า…เต๋าเดิมแท้…ด้วยเช่นกัน”

“หรือบางทีอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นกับดักอย่างหนึ่งของอาณาจักรสายลม ที่จะปลุกระดมความปรารถนาของคนผู้หนึ่งขึ้นมา!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น

“แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจ้งอู๋หยาจงใจที่จะให้ข้ามีเวลาขบคิด ดูเหมือนว่ามันเจตนาที่จะทำเช่นนี้…แต่ทำไม?” เมื่อพูดถึงเต๋าจริงหรือเทียม เมิ่งฮ่าวไม่มีทางสับสนหรืองุนงงไปได้ จิตเต๋าของเขาแน่วแน่มั่นคง ไม่ว่าจะพูดเกี่ยวกับเต๋าเทียมหรือเต๋าแท้ ก็เป็นแค่เรื่องมุมมองส่วนตัวของผู้พูดเท่านั้น

การพูดจาเช่นนั้นคือวิธีที่จะปลุกระดมให้เกิดการกบฏขึ้นในอาณาจักรที่อยู่ต่ำกว่าทั้งสามพันอาณาจักรเมื่อนานมาแล้ว เป็นสิ่งที่สร้างความสับสนและงุนงงให้กับผู้ฝึกตนจากอาณาจักรขุนเขาทะเล ที่มายังอาณาจักรสายลมแห่งนี้ บางทีคนอื่นๆ อาจจะเชื่อถือในคำพูดเหล่านั้น แต่เมิ่งฮ่าว…ไม่เชื่อ!

เหตุผลที่เขาไม่เชื่อไม่ใช่เป็นแค่เพราะว่าเขาคือราชันแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลในอนาคต หรือว่าเขาเคยเห็นผีเสื้อเก้าตัวกำลังฉุดลากดินแดนอันกว้างใหญ่นั้นมาก่อน ยังมีเหตุผลอื่นอีก เต๋าที่คิดว่าเป็นของแท้ซึ่งจ้งอู๋หยาได้พูดมาว่า เป็นเต๋าเดิมแท้ที่สามารถกำจัดเต๋าเทียมไปได้…กลับถูกเมิ่งฮ่าวทำลายไปโดยสิ้นเชิง ในตอนที่เขากลายเป็นเซียนทุกชั้นฟ้า

เต๋าแท้ที่คิดเอาเองนั้นไม่อาจจะทำอะไรกับอาณาจักรเซียนทุกชั้นฟ้าได้แม้แต่น้อย ถ้ามันเป็นเต๋า ‘แท้’ จริงๆ เหมือนที่จ้งอู๋หยากล่าวมา แล้วจะอธิบายได้ว่าอย่างไร?

เมิ่งฮ่าวไม่ได้สับสนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขารู้สึกสับสนก็คือ ท่าทีของจ้งอู๋หยา

สิ่งที่มันรู้สึกต่อเมิ่งฮ่าวจริงๆ แล้วก็เป็นความลี้ลับโดยสิ้นเชิง

“ตอนนี้เมื่อข้าคิดไปถึงเรื่องนี้ ในตอนที่อ๋าวเฉี่ยนบินออกมาจากห้องลับของวิญญาณผู้ทรยศ บุคคลที่อยู่บนยอดเขากั๋วยิ่นของชนเผ่าที่สาม ซึ่งจ้งอู๋หยาเรียกว่าจักรพรรดิ รับรู้ได้ว่าวิญญาณผู้ทรยศถูกครอบครองแล้ว…”

“มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น…” เมิ่งฮ่าวเริ่มหอบหายใจออกมา ดวงตาสาดประกายขึ้นขณะที่นึกย้อนไปยังรายละเอียดทั้งหมด

“จักรพรรดิบนยอดเขากั๋วยิ่น รับรู้ได้ว่ามีใครบางคนบุกรุกเข้าไปในห้องลับนั้น…นั่นคือสิ่งแรกที่จ้งอู๋หยากล่าวขึ้น!”

เมิ่งฮ่าวพึมพำอยู่ภายในใจ ทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง จากนั้นก็คิดย้อนกลับไป ในตอนที่อ๋าวเฉี่ยนรู้สึกได้ถึงผนึกบางอย่าง ในช่วงที่พุ่งทะลวงผ่านออกมาจากหลุมขนาดใหญ่นั้น

“ผนึก…มีผนึกอยู่ในสถานที่แห่งนั้น และเมื่ออ๋าวเฉี่ยนบินออกมา ผนึกก็พังทลายลงไป นั่นคือตอนที่จักรพรรดิบนยอดเขากั๋วยิ่นรับรู้ได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับวิญญาณผู้ทรยศ…”

“พูดในอีกแง่ก็คือว่า มันไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อน ซึ่งบ่งบอกได้ว่ามีใครบางคนไม่ต้องการให้มันรู้!”

“และคนผู้นั้น คือบุคคลที่วางผนึกไว้ในสถานที่แห่งนั้นซึ่งก็คือ…จ้งอู๋หยา!!”

เมิ่งฮ่าวมองตรงไปยังชนเผ่าที่สาม หอบหายใจออกมา ทันใดนั้นเองเขาก็เชื่อมต่อเศษชิ้นส่วนทั้งหมดเข้าด้วยกันได้สำเร็จ

“มันกำลังช่วยเหลือข้า!” เมิ่งฮ่าวคิดด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน

“มันไล่ตามข้ามา และเห็นได้ชัดว่าพื้นฐานฝึกตนของมันสูงกว่าข้ามากนัก แต่มันก็ไม่โจมตีมา กลับพูดจาเกี่ยวกับเต๋าแท้และเต๋าเทียม จากนั้นยังได้ให้เวลาข้าเพื่อขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกด้วย”

“คงจะถูกต้องมากกว่านี้ ถ้าจะกล่าวว่า มันไม่ได้ให้เวลาข้าขบคิด แต่ให้เวลาข้าเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ!”

“นอกจากนั้น คำโต้แย้งเกี่ยวกับเต๋าเทียมและเต๋าแท้ของมันจริงๆ แล้วก็…ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีเหตุผลที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านั้นออกมาเป็นเสียงดังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น มันควรจะง่ายกว่าที่จะใช้วิธีการอันลึกซึ้งมากกว่านี้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการโน้มน้าวจิตใจของผู้ฟังได้มากกว่า”

“แต่มันก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น แค่พูดถึงสิ่งที่เรียบง่ายและธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังจงใจที่จะเผยให้เห็นถึงข้อบกพร่องในคำโต้แย้งของมัน…”

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ทันใดนั้นเขาก็บินขึ้นไปในอากาศ ไล่ตามเส้นทางเดิมที่จ้งอู๋หยาเคยใช้มาเมื่อครู่นี้

เขามั่นใจว่ากำลังทำสิ่งที่เหมือนกับที่จ้งอู๋หยาเคยทำมาก่อน ทั้งเส้นโคจรและท่าทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย เขายังได้หันหน้ามองกลับไปยังชนเผ่าที่หกเช่นเดียวกันอีกด้วย

จากตำแหน่งในตอนนี้ ทำให้เขามองเห็นเขตพื้นที่วิหารกลาง รวมทั้งกองกำลังของชนเผ่าที่หก และนักรบที่จ้งอู๋หยาเคยมองไป นักรบผู้นั้นมีสีหน้าครุ่นคิด เหมือนกับสีหน้าที่ปรากฏขึ้นในตอนที่กำลังใคร่ครวญการรู้แจ้ง

ราวกับว่าบุคคลผู้นี้ได้ยินคำพูดของเมิ่งฮ่าวและจ้งอู๋หยา และในตอนนี้กำลังใคร่ครวญคำพูดเหล่านั้นอยู่ ในเวลาเดียวกันนั้น ก็เริ่มได้ข้อสรุปเช่นเดียวกับเมิ่งฮ่าว

แทบจะในช่วงเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังนักรบผู้นั้น มันก็มองขึ้นมา และสายตาของคนทั้งสองก็สบประสานกัน

เมิ่งฮ่าวพบว่าตนเองกำลังจ้องมองไปยังดวงตาที่งดงามคู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าดวงตาทั้งสองข้างนั้นประกอบไปด้วยร่างสวรรค์ หรือแม้แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใครก็ตามที่มองเข้าไปในดวงตาทั้งคู่นั้น ต่างก็ต้องการจะหายเข้าไปข้างใน และไม่ยอมจะกลับออกมาอีกเลย

เมื่อสายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน จิตใจเมิ่งฮ่าวก็หมุนคว้าง เขารีบกระพริบดวงตาข้างซ้ายติดต่อกันหลายครั้งอย่างรวดเร็ว เพื่อเรียกใช้วิชาม่านตาเซียน โคจรหมุนวนพื้นฐานฝึกตนไปมา และความเข้าใจในโลกแห่งนี้ก็เปลี่ยนไป รูปร่างหน้าตาของนักรบผู้นั้นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ภาพลวงตากระจายหายไป และจู่ๆ นักรบผู้นั้นก็มีรูปร่างหน้าตาเป็นหญิงสาวเยาว์วัย

นางสวมใส่ชุดยาวสีขาวและมีผิวกายที่ขาวผ่องราวหิมะ มีความงดงามอย่างน่าตกตะลึง พร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อ่อนหวาน และรูปร่างที่สวยงาม

ไม่นานต่อมา ภาพของหญิงสาวก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยภาพของนักรบ ดูเหมือนว่านักรบผู้นั้นจะตกใจที่ถูกเมิ่งฮ่าวสังเกตเห็นได้ นางกระพริบตาไปมา ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็เริ่มเดินตรงมา

ไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อนางเดินผ่านไป แทบจะราวกับว่าพวกมันมองไม่เห็นนาง แม้แต่ผู้ฝึกตนอื่นๆ ก็ไม่อาจจะรับรู้ถึงนางได้ ราวกับว่าสำหรับฝานตงเอ๋อร์และคนอื่นๆ แล้ว นักรบผู้นี้ไม่เคยคงอยู่มาก่อน

“คิดไม่ถึงว่าจะมาพบกับพี่เมิ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้…”

“แต่เมื่อท่านรับรู้ถึงข้าได้ บางทีการที่ท่านและข้าพบกันในที่แห่งนี้ ก็เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดแล้ว” ขณะที่นักรบผู้นั้นใกล้เข้ามา รูปร่างหน้าตาของมันก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นหญิงสาวเยาว์วัยที่งดงามซึ่งเมิ่งฮ่าวมองเห็นด้วยม่านตาเซียนนางนั้น

นางใช้มือปกปิดรอยยิ้มไว้ และมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่เปล่งประกายตา ดูโดดเด่นประณีตงดงาม ราวกับว่านางเพิ่งจะเดินออกมาจากอาณาจักรเซียน ผิวกายของนางขาวละเอียดราวกับหิมะ และรูปร่างที่อ่อนช้อยงดงามของนางก็เหมือนจะไม่ใช่มนุษย์ เสื้อผ้าสีขาวปกคลุมไปบนร่างที่อ่อนช้อย เป็นเรือนร่างที่ทำให้บุรุษผู้ใดก็ตามที่มองเห็น ต้องน้ำลายสอด้วยแรงปรารถนา เนื่องจากตัวนาง ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณนั้นดูเหมือนว่าจะมืดสลัวหมองมัวลงไป

เมิ่งฮ่าวรู้สึกละลานตาจนพร่ามัว แต่ก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานต่อมา ดวงตาก็แวบประกายขึ้นคล้ายกับเป็นสายฟ้า ขณะที่จ้องมองไปยังหญิงสาวเยาว์วัยด้วยสายตาที่เย็นชาราวน้ำแข็ง

“ข้ารอคอยเจ้ามานานแล้ว สหายเต๋าเสวี่ยเอ๋อร์” เขากล่าวเสียงราบเรียบ ร่างกายแวบขึ้นขณะที่บินลงมาบนพื้นและมองไปยังนางที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยสายตาที่เยือกเย็น

อ๋าวเฉี่ยนอยู่ที่ด้านหลัง รับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของหญิงสาวนางนี้ด้วยเช่นกัน และมันก็จ้องมองไปยังนางด้วยสายตาที่ดุร้ายเย็นชา

หญิงสาวมองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง ไม่ยอมบอกนามของนางให้เมิ่งฮ่าวรับรู้ในทันที เพียงแค่ยิ้มออกมา ราวกับว่าไม่ได้อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของนางแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นว่านางไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย ก็ทำให้ดวงตาของเมิ่งฮ่าวต้องเบิกกว้างขึ้น

“ดูเหมือนว่าเจ้าติดตามข้ามานานแล้ว” เขากล่าวเสียงราบเรียบ

คำพูดก่อนหน้านี้ของเขาเพียงแค่ไปกระตุ้นให้นางนางต้องยิ้มน้อยๆ ออกมาเท่านั้น แต่ประโยคนี้ทำให้นางต้องหยุดชะงักนิ่ง มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยแววตาที่มีชีวิตชีวา สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นอย่างช้าๆ

“เพียงมองเห็นปฏิกิริยาของข้าแค่แวบเดียว ก็ทำให้ท่านได้ข้อสรุปเช่นนั้น? ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินท่านต่ำไป พี่เมิ่ง” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!