ตอนที่ 1189
บิดาต้องไม่ตาย
ในตอนนี้คนทั้งหมดกำลังมองไปด้วยความตกใจ ขณะที่เมิ่งฮ่าวฟาดฝ่ามือลงไปบนพื้น กลุ่มหมอกสีโลหิตพุ่งกระจายออกมาจากร่าง และกลิ่นอายของเขาก็อ่อนแอลงไป แต่ในที่สุดก็เกิดเป็น…ผลลัพธ์อันน่าประหลาดใจยิ่ง!
ร่างแหภาพลวงตาสั่นสะท้าน และยังได้ลอยขึ้นไปเล็กน้อยอีกด้วย ในตอนนี้บิดาเมิ่งฮ่าวมีเวลาเหลืออยู่หกสิบลมหายใจ ก่อนที่ธูปจะเผาไหม้หมดไปหนึ่งดอก!
เมิ่งฮ่าวรู้ว่าร่างแหขนาดใหญ่นั้นไม่ได้ใช้พลังโจมตีมาที่ตนเองอย่างเต็มที่ ใช้เพียงแค่ส่วนน้อยของมันเท่านั้น ค่ายกลเวทนี้สนใจที่จะสังหารผู้ฝึกตนอาณาจักรเต๋า ที่ผ่านเข้ามาในดาวหนานเทียนเท่านั้น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการเสียสละของตระกูลหลี่
สำหรับผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเล ค่ายกลเวทนี้มักจะช่วยปกป้องคุ้มครอง แต่เพราะว่าฟางซิ่วเฟิงกำลังละเมิดกฎของมัน ท่านจึงกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีอันน่ากลัวอยู่ในตอนนี้
ในตอนที่ค่ายกลเวทพุ่งกลับขึ้นไป ก็มีเวลาเหลืออยู่หกสิบลมหายใจ ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าจะมีความหวังขึ้นมา แต่จากนั้นจู่ๆ ค่ายกลเวทก็แวบประกายแสงออกมา และรังสีสังหารของมันก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เมิ่งฮ่าวสามารถจะมองเห็นภาพของเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน ที่อยู่ภายในร่างแหนั้น เงาร่างทั้งหมดดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ ขณะที่พวกมันผลักดันให้ร่างแหพุ่งลงมา
มันพุ่งลงมาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้จะด้วยผลเนี่ยผานลูกที่สี่ เมิ่งฮ่าวก็ยังไร้พลังที่จะต่อสู้กลับไป อันที่จริงผลเนี่ยผานลูกที่สี่นี้ กำลังถูกบังคับให้ออกมาจากร่างเขา
เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ถอยโซเซไปทางด้านหลัง ร่างแหใกล้เข้ามา และทันใดนั้น…ก็พุ่งผ่านเขาไปปกคลุมอยู่บนร่างของฟางซิ่วเฟิงโดยตรง
ชุดเกราะผีโต้งสั่นสะท้านไปมา แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านได้นานมากนัก สำหรับฟางซิ่วเฟิง ขั้นตอนการดูดซับหยดโลหิตของท่านอยู่ในช่วงวิกฤตและไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหวได้ ร่างแหกำลังจะพุ่งผ่านผีโต้ง และตกลงไปบนร่างฟางซิ่วเฟิง เมื่อไหร่ที่เป็นเช่นนั้น รังสีสังหารของมันก็จะบรรลุถึงจุดสูงสุด และทำให้ฟางซิ่วเฟิง…ถูกสังหารไปทั้งร่างกายและวิญญาณในทันที
“ไม่!!” น้ำตาโลหิตไหลลงมาบนแก้มเมิ่งฮ่าว และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความดุร้าย ส่งเสียงแผดร้องอย่างบ้าคลั่งออกมา ยกมือขวาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที ฉับพลันนั้นหยดโลหิตของผู้ยิ่งใหญ่ก็เริ่มสั่นสะท้าน ขณะที่เขาเรียกไปยังดวงตะวันและจันทราแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล และพวกมันก็สั่นสะเทือนเป็นการตอบรับกลับมา ลำแสงพุ่งออกมาจากพวกมัน ผ่านความว่างเปล่าและกระแทกเข้าไปในร่างแหขนาดใหญ่นั้นอย่างฉับพลัน
ตอนนี้เขากำลังใช้พลังของอาณาจักรขุนเขาทะเลเพื่อต่อต้านกับร่างแหนั้น
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ดังเต็มอยู่ในอากาศ และร่างแหก็สั่นสะเทือน ถูกผลักให้ลอยขึ้นไปเล็กน้อยด้วยลำแสงนั้น ไม่ใช่ว่าพลังของอาณาจักรขุนเขาทะเลจะไม่เพียงพอ แต่นี่คือดาวหนานเทียน และค่ายกลเวทนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความเสียสละจากตระกูลหลี่ พลังแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลจึงไม่ยินดีที่จะทำลายมันไป!
อันที่จริง เว้นเสียแต่ว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เมิ่งฮ่าวก็ไม่ต้องการจะทำเช่นนี้ด้วยเช่นกัน เขาชื่นชมยกย่องตระกูลหลี่ และเคารพต่อค่ายกลเวทนี้ แต่นี่คือช่วงวิกฤตความเป็นตายของบิดา และในความคิดของเมิ่งฮ่าว…ก็มักจะให้ครอบครัวอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง!!
เมื่อแสงแห่งดวงตะวันและจันทรากระแทกลงไป ร่างแหก็สั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย และเคลื่อนห่างออกไปจากร่างฟางซิ่วเฟิง สำหรับเมิ่งฮ่าวเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมาอย่างสูงลิ่วสำหรับการโจมตีนี้ และยังมากกว่าค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายออกมา
สำหรับการกระทำเช่นเดียวกันนี้เมื่อตอนที่อยู่ในอาณาจักรสายลมอีกด้วย นอกจากนี้ในเหตุการณ์นั้นเขาได้ใช้พลังนี้ทำการสังหารกลุ่มคนนอกคอกไป แต่ตอนนี้เขากำลังทำให้อาณาจักรขุนเขาทะเลทำร้ายตนเองอยู่
ดังนั้นค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายจึงสูงลิ่วมากกว่า โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก และได้แต่จ้องมองไปขณะที่ร่างแหหดตัวเล็กลงอีกครั้ง ตอนนี้บิดากำลังอยู่ในช่วงที่วิกฤตอย่างถึงที่สุด ร่างกายท่านกำลังสั่นสะท้าน ในตอนนี้เองที่ความคิดของเมิ่งฮ่าวมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ…
บิดาต้องไม่ตายไป!!
ในจิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังแผดร้องออกมา “ข้าขอเรียกพลังในนามของข้าเพื่อสั่งให้อาณาจักรขุนเขาทะเลตกลงมา!” จากนั้นก็ชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง และทันใดนั้นขุนเขาทะเลภาพลวงตาก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของฟางซิ่วเฟิง
ไม่มีใครสามารถมองเห็นขุนเขาทะเลนี้ได้ ยกเว้นจักรพรรดิถัง ทำให้สีหน้าท่านต้องเปลี่ยนไป
ขณะที่มันตกลงมา เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยหยดโลหิต และกำลังจะสลบลงไป แต่ในตอนนี้เองที่จู่ๆ ดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าออกมา ขณะที่ขุนเขาทะเลตกลงมา ร่างกายฟางซิ่วเฟิงหยุดการสั่นสะท้าน และร่างแหขนาดใหญ่ก็หยุดลง แต่โชคร้ายที่ในตอนนี้เอง รังสีสังหารจากร่างแหก็เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น และขุนเขาทะเลก็ไม่ยินดีที่จะต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทำให้ร่างแหขนาดใหญ่พุ่งผ่านมันไป และจากนั้นก็เข้าไปใกล้ร่างฟางซิ่วเฟิงอีกครั้ง
ราวกับว่าค่ายกลเวทดาวหนานเทียนจะไม่ยอมหายจากไป จนกว่าฟางซิ่วเฟิงจะตกตาย!
ทันใดนั้นดวงตาฟางซิ่วเฟิงก็ลืมขึ้นมาอย่างฉับพลัน และมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่เมตตา
ถอนหายใจออกมากล่าวว่า “ฮ่าวเอ๋อร์ ดูแลหมู่ชิน (มารดา) และเจี่ยเจีย (พี่สาว) ของเจ้าด้วย เจ้าอาจจะเป็นตี้ตี่ (น้องชาย) แต่ตอนนี้ก็เป็นบุรุษเพียงคนเดียวของครอบครัวแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป…คนทั้งสองคงต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว…”
“เตีย!!” เมิ่งฮ่าวร้องไห้ออกมา เส้นผมเปลี่ยนเป็นขาวโพลนในทันที และร่างกายก็แห้งเหี่ยวลงไปจนดูคล้ายกับเป็นถุงหนังห่อหุ้มกระดูก แต่ความแน่วแน่ที่ต้องการช่วยบิดาก็ไม่ลดลงไปแม้แต่น้อย และยังได้ลุกโชนขึ้นมามากกว่าเดิมอีกด้วย
“เตีย ท่านต้องไม่ตายไป! ขุนเขาที่สองโผล่มา!”
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่ขุนเขาทะเลที่สองตกลงมาเพื่อต่อสู้กลับไปยังร่างแหขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวจะเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้น ชี้นิ้วออกไปทำให้โลหิตผู้ยิ่งใหญ่เดือดพล่านอีกครั้ง
“ขุนเขาที่สาม!” อย่างน่าตกใจยิ่ง ขุนเขาทะเลที่สามปรากฏขึ้นเหนือศีรษะฟางซิ่วเฟิง ต่อสู้กลับไปยังค่ายกลเวทดาวหนานเทียน เสียงกระหึ่มดังก้องออกมาขณะที่ร่างแหนั้นถูกผลักกลับขึ้นไปอีกครั้ง
การต่อสู้กลับไปด้วยพลังของสามขุนเขาทะเล คือสิ่งที่เมิ่งฮ่าวสามารถทำได้มากที่สุดด้วยโลหิตของผู้ยิ่งใหญ่ภายในร่าง ตอนนี้เขากำลังสั่นสะท้านและเลือดเนื้อกำลังแหลกเหลวไป เขาบรรลุถึง…ขีดจำกัดของตนเองแล้ว
ในแง่ของช่วงเวลา ยังคงเหลืออยู่อีกยี่สิบลมหายใจ!
เสียงระเบิดดังก้องออกมา ขณะที่ร่างแหนั้นพุ่งผ่านขุนเขาไปชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็เหลือเวลาอยู่อีกสิบลมหายใจ และนั่นคือตอนที่ขุนเขาทะเลสุดท้ายจางหายไป รังสีสังหารที่ปะทุขึ้นมาจากร่างแหมีความรุนแรงอย่างบ้าคลั่ง ในตอนนี้เกราะป้องกันผีโต้งไม่มีผลแม้แต่น้อย และเท่าที่เห็น ฟางซิ่วเฟิงกำลังจะถูกกำจัดออกไปแล้ว
ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ท่านหันไปมองยังเมิ่งฮ่าวและแผดร้องตะโกนขึ้น “ฮ่าวเอ๋อร์ กลับลงมาเดี๋ยวนี้! นี่คือสิ่งที่เว่ยฟู่เลือกแล้ว! ฟู่หมู่ (บิดามารดา) ควรจะช่วยเหลือบุตร ไม่ใช่ให้บุตรมาช่วยเหลือ เจ้าไม่จำเป็นต้องมาช่วยเหลือเว่ยฟู่ หลบไป!!” สีหน้าฟางซิ่วเฟิงเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง และจิตใจก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้ท่านรู้สึกขมขื่นกว่าเมิ่งฮ่าวมากนัก
ท่านไม่ปรารถนาจะตายไป แต่เมื่อทำให้เมิ่งฮ่าวต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ท่านก็ยินดีที่จะตาย!
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่สนใจฟางซิ่วเฟิงโดยสิ้นเชิง ส่งแก่นแท้แห่งเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ออกไป มันไม่ใช่ทะเลแห่งเปลวไฟ แต่เป็น…กลิ่นอายแห่งแก่นแท้ และกลิ่นอายนั้นก็สามารถจะกลายเป็น…กลิ่นอายแห่งเต๋าได้เช่นกัน!
เมื่อเมิ่งฮ่าวปลดปล่อยกลิ่นอายนั้นได้โดยสมบูรณ์ ก็ทำให้มันระเบิดออกไปอย่างเต็มกำลัง ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้า ไปยืนอยู่ระหว่างบิดาและร่างแห กางแขนออกเป็นวงกว้าง อย่างน่าตกใจยิ่งเขากำลังใช้ร่างกายและกลิ่นอายเต๋าของตนเอง ต่อสู้กลับไปยังร่างแหนั้น เขากำลังพยายามดิ้นรนเพื่อถ่วงเวลาลมหายใจสุดท้ายให้กับบิดา!
ร่างแหสั่นสะท้าน ปกคลุมลงมาบนร่างเมิ่งฮ่าวและฟางซิ่วเฟิงโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นเพราะว่าเมิ่งฮ่าวกำลังปกป้องบิดาอยู่ ทำให้เขาต้องรับการโจมตีนั้นเกือบหกส่วน มีเพียงสี่ส่วนเท่านั้นที่โจมตีผ่านไปยังฟางซิ่วเฟิง
ขณะที่เป็นเช่นนั้น รังสีสังหารก็ระเบิดออกไป และฟางซิ่วเฟิงก็กระอักโลหิตออกมากองโต วิญญาณท่านแทบจะถูกกำจัดไป ครั้งนี้ร่างแหไม่ได้พุ่งผ่านร่างเมิ่งฮ่าวไป แต่เป็นเพราะว่ากลิ่นอายเต๋าของเขา ทำให้ค่ายกลเวทมองว่าเขาคือศัตรูที่ต้องถูกกำจัดไป
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว และม่านตาก็เริ่มพร่าเลือน รู้สึกได้ถึงความตายที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็คิดไปถึงมารดา, พี่สาว และหญิงสาวอีกคน สวี่ชิง
เมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความเสียใจ และต้องการจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ โลกที่เบื้องหน้าเขาเริ่มกลายเป็นสีดำไป
“ฮ่าวเอ๋อร์!!” ฟางซิ่วเฟิงกำลังสั่นสะท้าน และความบ้าคลั่งก็พุ่งขึ้นอยู่ในใจ ท่านพุ่งขึ้นมาจากท่านั่งขัดสมาธิ ขณะที่ช่วงเวลาสิบอึดใจได้ผ่านไป ในตอนนี้ท่านดูดซับหยดโลหิตของตระกูลหลี่เข้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
นั่นคือสิ่งที่เมิ่งฮ่าวพยายามต่อสู้มาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขาแล้วละก็ ความสำเร็จของฟางซิ่วเฟิงในตอนนี้ก็จะกลายเป็นความตายของท่านไป
ในเวลาเดียวกันนั้น จักรพรรดิถังก็เสร็จสิ้นการเตรียมเวทแห่งเต๋า และปลดปล่อยมันออกไป ร่างแหขนาดใหญ่ซึ่งกรีดเฉือนลงไปบนร่างเมิ่งฮ่าวยังไม่สมบูรณ์ ส่งแสงระยิบระยับขึ้นมาและหายไปจากร่างของฟางซิ่วเฟิงและเมิ่งฮ่าวในทันที
ในตอนนี้เองที่ค่ายกลเวทดาวหนานเทียน ได้ให้คำรับรองแก่ฟางซิ่วเฟิงอย่างเป็นทางการ!
ฟางซิ่วเฟิงก้าวเข้าไปในเต๋าได้สำเร็จ แต่ค่าตอบแทนที่ท่านต้องจ่ายออกมา…ช่างมหาศาลนัก และได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นอาการบาดเจ็บที่ไม่ธรรมดา ถึงจะไม่คงอยู่อย่างถาวร แต่ก็ยังต้องเข้าฌานเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อให้ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างเต็มที่สมบูรณ์ ตลอดช่วงเวลานั้นท่านต้องจำกัดการกระทำต่างๆ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจจะรักษาให้หายขาดได้ตลอดไป
อย่างไรก็ตามฟางซิ่วเฟิงก็ไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของตนเองแม้แต่น้อย ในตอนนี้ท่านโอบกอดเมิ่งฮ่าวไว้ในวงแขน สีหน้าที่ซีดขาวซับซ้อนและบาดแผลทั่วร่างของเมิ่งฮ่าว ทำให้หยดน้ำตาเริ่มไหลลงมาบนใบหน้าท่าน
“เตีย, ยินดีด้วย…” หลังจากพึมพำประโยคนี้ออกมา เมิ่งฮ่าวก็สลบไป
เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่า หลังจากที่เขาหมดสติไป ทั่วทั้งตระกูลฟางต่างก็พยายามช่วยเหลือเขา ฟางโส่วเต้าและฟางเหยียนซวีทุ่มออกมาจนสุดตัว แม้แต่ร่างจำแลงของท่านปรมาจารย์รุ่นแรกก็ยังส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเพื่อมาช่วยเขาด้วยเช่นกัน
แม้แต่สุ่ยตงหลิวก็มา ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรับรู้ได้ก็ตามที ท่านไปยืนอยู่ที่ด้านข้างเตียงเมิ่งฮ่าว มองลงไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อน
“ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง…ไม่ว่าสิ่งใดก็เป็นไปได้” ดวงตาท่านเริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ หลังจากที่ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ท่านก็จากไป การจากไปของท่านไม่มีผู้ใดรับรู้ได้เช่นเดียวกับการมาถึงของท่าน
จักรพรรดิถังก็มาเยี่ยมครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน ขณะที่ท่านมองไปยังเมิ่งฮ่าว จิตใจก็สั่นสะท้าน แต่ก็ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ท่านไม่บอกใครว่าเคยเห็นเมิ่งฮ่าวเรียกขุนเขาทะเลมา และในตอนนี้ท่านก็ยังรู้สึกได้ถึง…กลิ่นอายของค่ายกลเวทดาวหนานเทียนบนร่างเขาอีกด้วย!
อาการบาดเจ็บของเมิ่งฮ่าวสาหัสเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะในแง่ของร่างกาย, จิตใจ หรือวิญญาณ เขาได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรงจนแทบจะตกตายไป ทำให้ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามด้วยการช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังของตระกูลฟาง ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจจะรักษาให้หายดังเดิมได้ แต่ก็ยังคงหมดสติไปอยู่ตลอดเวลา ภายในบ้านที่ดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดีของคฤหาสน์โบราณตระกูลฟางบนดาวหนานเทียน พี่สาว, มารดา และบิดามาอยู่เคียงข้างคอยดูแลเขาอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปในที่สุดก็ถึงงานฉลองพิธีแต่งตั้งผู้นำตระกูลอันยิ่งใหญ่ ภายใต้การรบเร้าจากสมาชิกตระกูลคนอื่นๆ รวมทั้งเมิ่งลี่ ทำให้ฟางซิ่วเฟิงไม่ยอมเลื่อนออกไปอีก และเตรียมตัวที่จะเริ่มจัดงานพิธีนี้
ถึงแม้ว่าท่านจะกลายเป็นผู้นำตระกูล แต่ภายในจิตใจ ตำแหน่งเช่นนั้นก็ไม่อาจจะเทียบได้กับบุตรชายแม้แต่น้อย
ในที่สุดงานพิธีอันยิ่งใหญ่ก็มาถึง