ตอนที่ 1209
ภูเขาไร้กังวล
การกรีดเฉือนออกไปเมื่อในอดีตกลับส่งผลอย่างร้ายแรงในช่วงปัจจุบัน เวทแห่งกาลเวลาเช่นนี้เหมือนกับเวทกาลเวลาที่เมิ่งฮ่าวเคยใช้มาก่อน แต่ก็มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
หนึ่งเป็นราก อีกหนึ่งเป็นจอกแหนที่ลอยไปตามสายน้ำ!
เมื่อร่างของจี้ตงหยางจางหายไป ร่างเมิ่งฮ่าวก็แวบขึ้น พุ่งตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอีกแห่ง เนื่องจากจี้ตงหยางมาขัดขวาง ทำให้ตอนนี้เขาต้องเสียเวลาค้นหาประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอีกแห่งเพื่อไปยังเต๋าคุนหลุน!
แทบจะในทันทีที่เมิ่งฮ่าวก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ก็สามารถจะมองเห็นเต๋าคุนหลุนอยู่ที่เบื้องหน้า
มันเป็นภูเขาเซียนที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยกลุ่มเมฆ ดูไร้ขอบเขตและโอ่อ่าสง่างาม เต็มไปด้วยเสียงวิหคขับขาน และกลิ่นหอมของบุปผานานาพันธุ์ ราวกับเป็นสรวงสวรรค์ เพียงมองไปแค่แวบเดียว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดาไปโดยสิ้นเชิง แต่บนยอดเขาที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่ง เกิดเป็นเสียงฟ้าร้องคำรามและสายฟ้าก็ฟาดลงมาอยู่ตลอดเวลา ที่ไกลขึ้นไปด้านบน กลุ่มเมฆสีดำพลุ่งพล่านปั่นป่วน จนดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากันกับบรรยากาศรอบๆ บริเวณนั้น
ในทันทีที่มองเห็นยอดเขานั้น เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นเงาร่างสายหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่ากำลังทำการสักการะบูชาอยู่ ทุกครั้งที่มันโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ก็ทำให้สีสันแวบขึ้นไป และเกิดเป็นเสียงระเบิดดังกระหึ่มกึกก้องออกมา
เป็นชายชราผู้หนึ่งซึ่งเมิ่งฮ่าวไม่รู้จักคุ้นเคย แต่ที่ด้านข้างของมันมีคนผู้หนึ่งที่เขารู้จักเป็นอย่างดี นั่นก็คือ…ตานกุ่ย!
จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มเต้นรัว และรีบบินตรงไปยังทิศทางของยอดเขานั้นในทันที การมาถึงอย่างกระทันหันของเขาทำให้ศิษย์เต๋าคุนหลุนจ้องมองมาอย่างฉับพลัน ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากเขารีบพุ่งเข้าไป จึงทำให้ศิษย์นับไม่ถ้วนบินออกมาเพื่อขัดขวาง และกระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากก็มารวมตัวกันบนร่างเมิ่งฮ่าว
“ปล่อยให้มันเข้ามา!” เสียงเก่าแก่โบราณร้องตะโกนขึ้น ขณะที่ค่ายกลเวทแห่งเต๋าคุนหลุนกำลังจะก่อตัวขึ้นมา เสียงนั้นดังออกมาจากชายชราที่กำลังต่อสู้กลับไปยังกระแสน้ำวนอันทรงพลังที่ด้านบน ด้านข้างมันเป็นตานกุ่ย ซึ่งมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความรู้สึกที่สับสนและถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่
เมิ่งฮ่าวบินไปด้วยความรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในชั่วพริบตาก็ก้าวข้ามระยะทางที่ห่างไกล ไปปรากฎกายขึ้นในอากาศเหนือยอดเขา ไปอยู่ที่เบื้องหน้าของตานกุ่ยและชายชราผู้นั้น
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฏตัวขึ้น แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง เนื่องจากว่าสิ่งที่เขาเห็นบนยอดเขาก็คือ…โลงหยกหนึ่งโลง!
ศิษย์เต๋าคุนหลุนจำนวนมากเรียงแถวอยู่รอบๆ โลงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ พวกมันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ราวกับว่ากำลังพยายามจะทำให้…บุคคลที่อยู่ในโลงศพนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมา!
“เจ้ามาสายไปแล้ว…” ตานกุ่ยกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “เมื่อวานยามรุ่งอรุณ…วิญญาณนางแตกกระจายออกไปแล้ว”
“ข้าขอให้ท่านปรมาจารย์มาช่วยรวมวิญญาณของฉู่อวี้เยียนเข้าด้วยกัน แต่น่าเสียดาย…ที่ท่านไม่อาจจะรวมเข้ามาได้เมื่อมันแตกกระจายออกไปแล้ว”
เมิ่งฮ่าวกำลังสั่นไปทั้งร่าง จิตใจเกิดเป็นเสียงดังกระหึ่ม สิ่งที่ตานกุ่ยเพิ่งจะพูดออกมานี้ เขาแทบจะไม่ได้ฟัง ขณะที่จ้องมองไปยังโลงศพ และฉู่อวี้เยียนที่อยู่ด้านใน ราวกับว่านางกำลังหลับอยู่
ตอนนี้เมื่อเขามาอยู่ที่นี่แล้ว เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันมากเกินไป กระทันหันจนเขาไม่อาจจะยอมรับได้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ จิตใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกแทงด้วยคมมีด ขณะที่เข้าไปใกล้โลงศพ ทันใดนั้นสายตาของศิษย์เต๋าคุนหลุนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็เบิกกว้างขึ้นด้วยโทสะ
“ไสหัวไป! เจ้าไม่คู่ควรจะมายังที่แห่งนี้!”
“เจ้าคือเมิ่งฮ่าว? คนที่ศิษย์น้องฉู่ไม่อาจจะลืมได้คือเจ้า? เจ้าไม่คู่ควรจะมายืนที่นี่!”
“ห้ามคนที่ไร้น้ำใจ ไม่ยึดมั่นในความรักเช่นเจ้า มาทำให้ร่างของศิษย์พี่ฉู่ต้องแปดเปื้อน!!”
ศิษย์เต๋าคุนหลุนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับฉู่อวี้เยียนในช่วงที่นางมาอยู่ในเต๋าคุนหลุน บ้างก็เป็นพี่สาวน้องสาวของนาง บ้างก็เป็นคนที่นับถือเลื่อมใสนาง เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวมาแสดงตัวขึ้นในตอนที่พวกมันกำลังมีจิตใจที่แหลกสลาย ก็ทำให้พวกมันต้องระบายโทสะไปที่เขาในทันที
เมื่อคำพูดเหล่านี้ผ่านเข้ามาในหูเมิ่งฮ่าว จิตใจก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ขณะที่เขาก้าวตรงไปอย่างเงียบๆ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากกลุ่มฝูงชนมายืนอยู่ที่เบื้องหน้า ดวงตาแดงก่ำร้องตะโกนขึ้นด้วยโทสะ “เจ้าเป็นบุรุษหรือไม่? เจ้าก็รู้ว่าฉู่อวี้เยียนรู้สึกอย่างไรกับเจ้า เจ้ารู้ แต่เจ้าก็ปฏิเสธนางอย่างไร้หัวใจ! แล้วตอนนี้เจ้ากำลังจะทำอะไรอีก? ไสหัวไปได้แล้ว!”
บุรุษหนุ่มยกมือขวาขึ้นมา ขยับร่ายเวทและชี้ตรงไปยังเมิ่งฮ่าว วิชาเวทก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในทันที และพุ่งตรงไปที่เขาอย่างรวดเร็ว
การกระทำของมันทำให้ศิษย์คนอื่นๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมิ่งฮ่าวไม่ตอบโต้แม้แต่น้อย และไม่หลบเลี่ยงการโจมตีของพวกมันด้วยเช่นกัน แค่เดินตรงไปเท่านั้น พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังก้องออกมารอบตัว ในที่สุดตานกุ่ยก็ร้องตะโกนขึ้น “ยั้งมือด้วย! ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่มีใครคู่ควรที่จะได้เห็นเยียนเอ๋อร์มากไปกว่ามันอีกแล้ว!”
เสียงของท่านดังก้องออกมาราวกับเสียงฟ้าร้องคำราม ดังกระหึ่มออกไปในทั่วทุกทิศทาง สหายของฉู่อวี้เยียนเหล่านั้นหยุดการโจมตีไปทีละคน จ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยแววตาที่แข็งกร้าว ค่อยๆ แยกย้ายกันออกไป
“ฉู่อวี้เยียนเฝ้ารอคอยเจ้ามานานหลายปี จนในที่สุดนางก็ตายไป ช่างไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ!” หญิงสาวนางหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ขณะที่เดินผ่านเมิ่งฮ่าวไป
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมวิญญาณของศิษย์น้องฉู่ถึงได้แตกกระจายออกไปอย่างกะทันหัน แต่ก็รู้ว่าตอนที่นางกลับมาเมื่อเร็วๆ นี้ นางได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส! อาการของนางไม่เคยดีขึ้นมาเลย หรือว่าเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทำไม!?”
“เมิ่งฮ่าว, เมิ่งฮ่าว…ไม่ว่าเจ้าจะมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้ามากแค่ไหน ก็อย่าได้ลืมเลือนสิ่งที่เจ้าเป็นหนี้นางไปตลอดกาล”
คำพูดเหล่านี้คล้ายกับเป็นกระบี่อันคมกริบ ซึ่งเขาไม่อาจจะต่อต้านได้ ไม่ว่าเขาจะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตามที เขาไม่อาจจะทำอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้กระบี่เหล่านั้น แทงลึกเข้ามาในจิตใจได้
เขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ภายในใจ และใบหน้าก็ซีดขาวราวกระดาษ ขณะที่เดินตรงไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ผู้คนพูดในสิ่งที่พวกมันต้องการจะพูดออกมา ขณะที่เข้าไปใกล้โลงศพ และจากนั้นก็มองลงไปยังฉู่อวี้เยียนที่นอนอยู่ด้านใน
นางสวมใส่ชุดยาวสีขาว และมีใบหน้าที่งดงาม ผิวกายละเอียดอ่อนจนดูเหมือนว่าแม้แต่สายลมก็อาจจะทำให้ผิวกายนั้นเกิดเป็นบาดแผลขึ้นมาได้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่านางซีดขาวจนไร้สีเลือดไปโดยสิ้นเชิง เมิ่งฮ่าวอาจจะคิดว่านางกำลังนอนหลับอยู่จริงๆ ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายแห่งความตายบนร่างนาง ทำให้ดูแตกต่างไปจากผู้ที่มีชีวิตอยู่อย่างชัดเจน ราวกับเป็นความแตกต่างระหว่างหยินและหยาง ไร้ขอบเขตอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
จิตใจเมิ่งฮ่าวว่างเปล่าขณะที่จ้องมองลงไป เขาไม่เคยคาดคิดว่าวันนี้จะมาถึง…ย้อนกลับไปในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ก็มีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้น แต่ในที่สุดฉู่อวี้เยียนก็ไม่ได้ตายไป
แต่ตอนนี้…เมิ่งฮ่าวยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาวางลงไปบนหน้าผากของฉู่อวี้เยียน หลังจากที่ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเข้าไป เขาก็เริ่มสั่นสะท้านมากขึ้นกว่าเดิม
“ตายแล้ว…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ จิตใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ขณะที่หวนรำลึกไปถึงภาพจากในอดีตที่ผ่านมา เป็นภาพที่ฉู่อวี้เยียนยืนอยู่ข้างกายหวังเถิงเฟย ราวกับว่าคนทั้งสองเป็นคู่ที่ฟ้าสร้างสรรค์
จากนั้นก็มองเห็นฉู่อวี้เยียนและตนเองอยู่ในปล่องภูเขาไฟ หลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักจื่อยิ่น ต่อมาคนทั้งสองก็พบกันอีกครั้งในดินแดนด้านใต้ เมื่อเขาและสวี่ชิงวิวาห์กัน ฉู่อวี้เยียนก็อยู่ที่นั่น พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน แต่นางก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่นางเก็บซ่อนหยดน้ำตาไว้อย่างเงียบๆ
ทั้งหมดนั้นคือความทรงจำที่เขาจะเก็บไว้ในจิตใจตราบชั่วนิรันดร์
ฉู่อวี้เยียนเป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง เมื่อนางตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวไม่เลือกนาง นางก็ยอมจากไปแต่โดยดี นางคิดว่าสามารถจะลืมเลือนได้ แต่หลังจากที่นางมองย้อนกลับไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็ตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง
ท่านอาจจะไม่รักข้า แต่ข้า…มีแค่สองทางเลือกเท่านั้น รักท่าน หรือว่ารักท่านมากยิ่งขึ้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไม เมื่อนางมองเห็นเมิ่งฮ่าวอีกครั้งในทะเลที่เก้า จึงรู้สึกมีความสุขและอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเบื้องหน้านางจะแสดงออกมาอย่างไร แต่ภายในจิตใจนั่นคือช่วงเวลาที่มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ย้อนกลับไปในตอนนั้น นางปรารถนาที่จะให้เหตุการณ์นั้นยังคงดำเนินต่อไปนานขึ้นอีกเล็กน้อย นางไม่หวังว่าจะคงอยู่ตราบชั่วกาลนาน แค่ต้องการให้เวลาเดินช้าลงอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อนางมองเห็นเมิ่งฮ่าวต่อสู้อย่างยากเย็นในอาณาจักรสายลม เมื่อนางได้ยินเสียงแผดร้องที่ไม่ยอมแพ้ของเขา นางจึงไม่ลังเลหรือแม้แต่จะคิดในสิ่งที่ต้องทำ ตอนนั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทะลวงผ่านของนาง แต่นางก็ยังคง…เสี่ยงใช้พื้นฐานฝึกตนของตัวเอง…จนมีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
ในตอนนั้นนางไม่ได้คิดไปถึงผลกระทบที่อาจจะตามมา คิดแต่เพียงแค่…จะช่วยเมิ่งฮ่าวอย่างไรเท่านั้น
ดังนั้นนางจึงกระทำในสิ่งที่นางต้องทำ ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่มองมายังนางแม้แต่น้อยในตอนนั้น…
“ช่างโง่เขลานัก…บางทีเหตุผลที่มันรักสวี่ชิงก็เป็นเพราะว่านางโง่เขลาด้วยเช่นกัน…” นั่นคือสิ่งที่ฉู่อวี้เยียนครุ่นคิดกับตนเอง ขณะที่ถอนหายใจและก้าวเท้าเข้าไปในกระแสน้ำวน หลังจากเหตุการณ์ในอาณาจักรสายลม
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวเริ่มซีดขาวมากขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด ดูเหมือนว่ารอยยิ้มของฉู่อวี้เยียนจะยึดครองความทรงจำของเขาไปจนหมดสิ้น และทันใดนั้นเอง เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนเอง…กำลังเปิดออก
เรื่องทั้งหมดที่นางกระทำมา ทำให้เกิดเป็นความเสียใจอย่างลึกล้ำ พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกในจิตใจของเขา…เป็นความเสียใจอย่างลึกซึ้งที่ทำให้เขาไม่มีทางจะลืมเลือนหญิงสาวนางนี้ไปได้ ตลอดชั่วชีวิตนี้
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ พร้อมทั้งกระอักโลหิตออกมา
ในตอนนี้เองที่เสียงอันเย็นชาอย่างมีโทสะ ดังก้องมาจากด้านบนราวกับเป็นเสียงฟ้าคำราม
“เมิ่งฮ่าว นางเลือกเจ้า ดังนั้นข้าจึงปรารถนาดีต่อเจ้าด้วยเช่นกัน…ข้าหวังว่านางจะมีความสุขสมหวัง…”
“แต่ทำไมเจ้าถึงไร้น้ำใจเช่นนี้!”
“ถ้าเจ้าไม่ชอบนาง ทำไมต้องมายุ่งเกี่ยวกับนาง? ถ้าเจ้าไม่เลือกนาง ทำไมถึงทำให้นางต้องมีความหวัง…? ทำไม…เจ้าต้องแย่งชิงนางไปจากข้าด้วย!?!?”
“เมิ่งฮ่าว!!” เสียงนั้นเต็มไปด้วยโทสะอย่างถึงที่สุด เป็นโทสะที่เต็มไปด้วยความเสียใจ ขณะที่เสียงนั้นดังลอยมาจากท้องฟ้า เงาร่างขนาดใหญ่ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านบน มีดวงดาวอยู่บนหน้าผาก และไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็น…บุรุษที่ปลุกสายโลหิตเทพให้ตื่นขึ้นมาได้…หวังเถิงเฟย!!
มันแผดร้องอย่างกราดเกรี้ยว ทำให้สีสันแวบขึ้นไปในท้องฟ้า ขณะที่พุ่งลงมาคล้ายกับเป็นดาวตก มุ่งหน้าตรงมายังเมิ่งฮ่าว ขณะที่ทำเช่นนั้นมันก็กำมือเป็นหมัดต่อยลงไปบนหน้าอกเมิ่งฮ่าว เมิ่งฮ่าวไม่ตอบโต้กลับไป ขณะที่เสียงคำรามราวกับเสียงฟ้าร้องของหวังเถิงเฟยกระแทกเข้าไปในหูของเขา
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว และใบหน้าก็ยิ่งซีดขาวมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ กับฉู่อวี้เยียน แต่ระหว่างนางและสวี่ชิง เขาใส่ใจสวี่ชิงมากกว่า
แต่ก็ไม่ได้จะหมายความว่า เขาต้องการจะปฏิบัติต่อฉู่อวี้เยียนอย่างเย็นชา ลึกลงไปในจิตใจ เขาต้องการให้นางมีความสุข ปรารถนาให้นางสามารถจะลืมเขาไปได้ สามารถจะค้นพบเส้นทางที่มีความสุขของนางเอง
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยครุ่นคิดมาก่อนว่า…เขาเห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือไม่ แต่ตอนนี้เมื่อมองลงไปยังซากศพของฉู่อวี้เยียน ได้ยินเสียงอันกราดเกรี้ยวด้วยโทสะของหวังเถิงเฟย จิตใจเมิ่งฮ่าวก็ฉีกออกเป็นชิ้นๆ ภายในความเจ็บปวดนั้น ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าตนเองช่างเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง
เมิ่งฮ่าวพูดพึมพำขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ภูเขาไร้กังวล จนกระทั่งหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่ว แม่น้ำไร้ทุกข์โศก จนกระทั่งพื้นผิวเป็นรอยยับย่นด้วยสายลมที่พัดผ่านมา…”
——————–
หมายเหตุ 山本无忧,因雪白头,水本无愁,因风起皱 (ซานเปิ่นอู๋โยว, ยินเสวี่ยไป๋โถว, สุยเปิ่นอู๋โฉว, ยินฟงฉี่โจ้ว) ภูเขาไร้กังวล จนกระทั่งหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่ว แม่น้ำไร้ทุกข์โศก จนกระทั่งพื้นผิวเป็นรอยยับย่นด้วยสายลมที่พัดผ่านมา หมายถึง กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว จนกระทั่งผมหงอกขาวเหมือนหิมะบนยอดเขา ใบหน้าเหี่ยวย่นเหมือนแม่น้ำที่ถูกลมพัด