Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1226

ตอนที่ 1226

เวทผนึกสวรรค์อะไรนั่น

ในท่ามกลางการหยุดชะงักนิ่งนี้ นักพรตชราแหงนหน้าขึ้น โบกสะบัดชายแขนเสื้อด้วยท่าทางสง่างาม ร้องตะโกนออกไปว่า

“ศิษย์สำนักเฮ่าหรันรับคำสั่ง คุ้มกันซือซูของพวกเจ้ากลับสำนัก!”

ศิษย์สำนักเฮ่าหรันต่างก็สั่นสะท้านไปตามๆ กัน มองขึ้นไปยังกองกำลังที่อยู่ในท้องฟ้า จากนั้นก็มองกลับไปยังเมิ่งฮ่าวและนักพรตชรา ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วขณะ พวกมันก็ถอนหายใจ ประสานมือต่อเมิ่งฮ่าวและหมุนตัวจากไป

ผู้ฝึกตนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในที่แห่งนี้ รวมทั้งกองกำลังที่อยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว มองไปยังเมิ่งฮ่าวและศิษย์สำนักเฮ่าหรันที่ห่างไกลออกไป นักพรตชรามีท่าทางพึงพอใจกับตนเองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่รีบไล่ตามเมิ่งฮ่าวไป และจากนั้นก็เดินไปอยู่ที่ด้านข้าง หัวเราะเป็นเสียงดังออกมา

“อี๋ฮ่าวจื่อ เจ้าคิดว่านามนี้เป็นอย่างไร? จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นหรือไม่?”

เมิ่งฮ่าวลังเล มองไปยังนักพรตชราก่อน และจากนั้นก็มองไปยังศิษย์สำนักเฮ่าหรันทั้งหมด ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมากล่าวว่า

“นี่…ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามนี้!” นักพรตชราตบไปที่ไหล่ของเมิ่งฮ่าว

“ผู้อาวุโส…” ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะทันได้กล่าวอะไรออกมา นักพรตชราก็ถลึงตาจ้องมองมาด้วยโทสะ จนเมิ่งฮ่าวต้องฝืนยิ้มออกมา

“เอ่อ…ซือจุน…พันธมิตรเทพสวรรค์ตั้งค่าหัวข้าไว้แล้ว ถ้าข้ากลับไปยังสำนักเฮ่าหรันพร้อมกับท่าน ข้าเกรงว่าคงจะไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง…”

เมิ่งฮ่าวรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างแท้จริง เดิมทีเขาคิดว่าจะใช้กองกำลังของพวกมันเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่วิธีการที่นักพรตชราให้เขามาซุกอยู่ใต้ปีกของมัน ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องวิตกว่าจะเป็นการฉุดลากสำนักนี้ให้มีปัญหาไปด้วย

“ไร้สาระ!” นักพรตชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่โดยสิ้นเชิง

“สำนักเฮ่าหรันคือสำนักอันดับหนึ่งบนดาวลั่วเหอ และมีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งในพันธมิตรเทพสวรรค์ ทำไมพวกเราถึงต้องกลัวด้วย? ก็แค่กวาดล้างเฮยหุนเต้าไปเท่านั้น สักวันหนี่งถ้าเหล่าเต้าอารมณ์ดี ก็จะไปกวาดล้างอีกสำนักด้วยเช่นกัน เหล่าเต้าไม่เชื่อว่าพันธมิตรเทพสวรรค์จะตั้งค่าหัวข้า!”

เมิ่งฮ่าวนิ่งเงียบไป สิ่งที่นักพรตชรากล่าวมาก็สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเมิ่งฮ่าวกลายเป็นศิษย์สำนักเฮ่าหรันอย่างแท้จริง ตามหลักแล้วเขาก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทพสวรรค์ด้วยเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็จะถือว่าเป็นเรื่องภายในของพันธมิตรเทพสวรรค์

ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะมีวิธีแก้สถานการณ์นี้ได้อย่างมากมาย แต่…เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเหมือนกับที่นักพรตชราคาดคิดไว้

สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือศักดิ์ฐานะของเมิ่งฮ่าวเอง…ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่มายังขุนเขาทะเลที่แปด!

เวลาผ่านไป คนทั้งหมดเดินทางไปด้วยกันโดยมีนักพรตชราเป็นผู้นำ ตรงไปยังอารามขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสามยอดเขาอันสูงตระหง่าน ที่ก่อตั้งอยู่บนยอดเขาทั้งสามเป็นรูปปั้นที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยเจดีย์และสิ่งปลูกสร้างมากมาย ที่ปลูกสร้างอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของสามภูเขาคือวิหารนักพรตที่เหยียดยาวแห่งหนึ่ง

ควันธูปลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ และเสียงระฆังก็ดังก้องกังวานไปทั่ว นกกระเรียนบินไปมาอยู่ในท้องฟ้าด้านบน มองเห็นเซียนนับไม่ถ้วนเดินไปมาอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่ฝึกตนซึ่งมีความสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือสำนักเฮ่าหรัน ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ก็สามารถจะมองเห็นกลิ่นอายอันทรงพลังแห่งฟ้าดินกระจายไปทั่วทั้งสำนัก ภายในกลิ่นอายนั้นคือความรู้สึกแห่งความถูกต้องเที่ยงธรรม จนทำให้ทั่วทั้งสำนักเฮ่าหรันเกิดเป็นความรู้สึกที่ทั้งโบราณและซื่อตรง!

นั่นคือสิ่งที่เขาสามารถจะมองเห็นได้ในแค่แวบแรก เมื่อเขาหรี่ตาลงและมองดูให้ละเอียด ก็ต้องตกตะลึงต่อสิ่งที่สามารถจะรับรู้ได้อีกอย่าง…นั่นคือกระแสปราณแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล!

บนประตูหลักมองเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว ดูหนักแน่นและทรงพลัง ยากที่จะบอกได้ว่าพวกมันคงอยู่มานานกี่ปีแล้ว แต่เมื่อมองไปก็จะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ราวกับว่าตัวอักษรเหล่านั้นจะไม่มีทางจางหายไปตราบชั่วนิรันดร์

สี่ตัวอักษรนั้นคือ…ตี้เทียนสิงเต้า! (ตัวแทนสวรรค์ปกครองเต๋า)

แทบจะในทันทีที่ศิษย์สำนักเฮ่าหรันก้าวเท้าเข้าไปในสำนักของพวกมัน ลำแสงมากมายก็ปรากฏขึ้นในอากาศตรงด้านบน เหล่านั้นคือผู้ฝึกตนที่มาเพื่อสังหารเมิ่งฮ่าว และตอนนี้ก็มารายล้อมสำนักเฮ่าหรันไว้

แม้แต่ผู้ฝึกตนอาณาจักรเต๋าก็มา และยึดครองตำแหน่งที่แตกต่างกันสิบแห่งในระยะห่างที่เท่ากันจากสำนัก พลังที่ผันผวนของพื้นฐานฝึกตนพวกมันกำลังสะกดข่มอย่างเอาแต่ใจจนถึงที่สุด

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมที่อยู่ภายในสำนักเฮ่าหรันพลุ่งพล่านปั่นป่วนขึ้นมา กระจายออกไปปกคลุมสำนักไว้ทั้งหมด เวทผนึกป้องกันอันยิ่งใหญ่ของสำนักถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้น ทำให้ทั่วทั้งสำนักเลือนลางไปจากสายตาของบุคคลภายนอกในทันที สิ่งเดียวที่คนส่วนใหญ่สามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ สามรูปปั้นขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดเขา

 

หนึ่งในรูปปั้นทั้งสามถือกระบี่ อีกรูปปั้นถือม้วนตำรา และรูปปั้นสุดท้ายแต่งกายด้วยชุดนักศึกษา ไพล่มืออยู่ด้านหลังขณะที่มองขึ้นไปในท้องฟ้า

เมื่อผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าที่อยู่ด้านนอกมองเห็นรูปปั้นทั้งสาม ดวงตาพวกมันก็เบิกกว้างขึ้นและกล่าวว่า “สามผู้ศักดิ์สิทธิ์เฮ่าหรัน…”

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวย่างเท้าเข้าไปในสำนัก เสียงอันทรงพลังก็ดังก้องขึ้นมาในทันที

“นำเมิ่งฮ่าวมาพบข้าเดี๋ยวนี้!” เมื่อศิษย์คนอื่นๆ ได้ยินเสียงนั้น ต่างก็ก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพในทันที นักพรตชราเป็นเพียงคนเดียวที่ดวงตาแวบประกายขึ้นด้วยโทสะ ขณะที่ก้าวเดินตรงไปยังยอดเขาที่โดดเด่นมากที่สุดในสามยอดเขา

เมิ่งฮ่าวติดตามไป คนทั้งสองรีบตรงไปยังยอดเขาซึ่งมีรูปปั้นของนักศึกษาที่ยืนมองขึ้นไปในท้องฟ้า ตรงฐานของรูปปั้นมีวิหารอยู่หลังหนึ่ง ตรงด้านนอกมองเห็นเด็กชายสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น เมื่อพวกมันมองเห็นนักพรตชรา ก็ลุกขึ้นมายืนและประสานมือด้วยความเคารพในทันที

นักพรตชราไม่พูดอะไรออกมา แต่เดินผ่านพวกมันเข้าไปในประตูวิหาร เมิ่งฮ่าวกำลังจะเดินตามไป แต่นักพรตชราก็หันหน้ามากล่าวว่า “เหวยซือ (อาจารย์) เข้าไปเอง ข้าอยากจะรู้ว่า คำพูดของเหล่าเต้า (นักพรตชรา) จะมีน้ำหนักมากแค่ไหนในสำนักเฮ่าหรันนี้!”

เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง เมื่อมองไปยังวิหารที่เบื้องหน้า ก็สามารถจะบอกได้ว่ามีสิ่งที่น่ากลัวบางอย่างอยู่ด้านใน กระจายเป็นความผันผวนออกมา จนทำให้เกิดเป็นแรงกดดันขนาดใหญ่กดทับลงมาบนร่างเขา

“สามแก่นแท้ทำให้กลายเป็นราชันเต๋า สี่, ห้า และหกแก่นแท้คือจักรพรรดิเต๋า…บุคคลที่อยู่ด้านในวิหารคือจักรพรรดิเต๋า!” ม่านตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง เขาเคยเผชิญหน้ากับราชันเต๋าสามแก่นแท้ จนถูกบังคับให้ต้องเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้

แต่ก็ยังไม่อาจจะเอาชนะได้ ถ้าต้องมาเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเต๋า แม้แต่จะเป็นคนที่มีเพียงแค่สี่แก่นแท้เท่านั้น เขาคงจะต้องตายไปอย่างแน่นอน!

แต่ละแก่นแท้ในอาณาจักรเต๋า มีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง ความแตกต่างกันระหว่างราชันเต๋าและจักรพรรดิเต๋า เหมือนเป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์และปฐพี ดังนั้นระดับความยากที่จะทะลวงผ่านจากราชันเต๋า กลายเป็นจักรพรรดิเต๋าคือสิ่งที่น่าเหลือเชื่อนัก

ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นที่แน่ใจได้ว่าในอาณาจักรขุนเขาทะเล จักรพรรดิเต๋าไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป บุคคลเช่นนี้…มีคุณสมบัติที่จะแย่งชิงตำแหน่งราชันขุนเขาทะเล!

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และรอคอยอย่างเงียบๆ เด็กชายทั้งสองที่ยืนเฝ้ายามอยู่มองประเมินมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกมันไม่ได้ออกไปจากสำนักเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวคือใคร หรือว่าเขาได้ทำอะไรมาบ้าง

เวลาผ่านไป และไม่ได้ยินเสียงอื่นใดออกมาจากด้านในวิหาร หลังจากนั้นชั่วครู่ เด็กชายทั้งสองก็ไม่อาจจะอดกลั้นที่จะถามเมิ่งฮ่าว หนึ่งในนั้นมีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ ในขณะที่อีกคนมองดูเขาด้วยสีหน้าที่อยากรู้อยากเห็นขณะที่ถามว่า “ท่านคือศิษย์คนใหม่ของปรมาจารย์อี้หรันจื่อ?”

เมื่อเมิ่งฮ่าวพยักหน้าตอบรับ เด็กชายทั้งสองก็สบตากันไปมา จากนั้นก็มองกลับมายังเมิ่งฮ่าว ครั้งนี้คนทั้งสองมีสีหน้าเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง จากนั้นก็เริ่มพูดกลับมา

“ข้าเคยอ่านบันทึกโบราณเขียนว่า…เมื่อหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อน ปรมาจารย์อี้หรันจื่อรับศิษย์ผู้หนึ่ง…แต่ก็ตายไปในสองเดือนหลังจากนั้น!”

“หนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน ท่านรับศิษย์อีกคน แต่หลังจากสองเดือนก็ตายไปเช่นกัน…”

“หนึ่งพันสามร้อยปีก่อน ท่านรับศิษย์เป็นคนที่สาม และตายไปเช่นเดียวกัน”

“จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ท่านปรมาจารย์อี้หรันจื่อรับศิษย์มาแล้วแปดคน ไม่มีใครอยู่รอดได้เกินสามเดือน พวกมันตกตายไปทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละคนก็ตายไป…ด้วยวิธีการที่แปลกมาก”

“แปลกอย่างไร?” เมิ่งฮ่าวถาม รู้สึกหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย

“คนหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดตาย มันไม่ได้ตายไปจากสายฟ้าในครั้งแรก แต่ถูกฟาดสิบกว่าครั้ง หลังจากที่มันตายไป ท้องฟ้าก็แจ่มใสขึ้นมาในทันที…”

“อีกคนระเบิดขึ้นมาเองในขณะที่ฝึกตน…อีกคนลุกไหม้ขึ้นมาจนตายไป และอีกคนพบกับความโชคร้ายตลอดทั้งสองเดือนเต็ม จนกระทั่งจู่ๆ ก็มีอุกกาบาตตกลงมาจากท้องฟ้า และบดขยี้มันตายไป เรื่องของเรื่องก็คือพวกมันทั้งหมดต่างก็ตายไปด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้างขึ้น แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยินอยู่นี้

เขากำลังจะถามเพิ่มเติม แต่ก็ดูเหมือนว่าวิหารที่เงียบสงบ จู่ๆ ก็เริ่มกระจายระลอกคลื่นอันเข้มข้นออกมา ราวกับว่ามีการทะเลาะกันเกิดขึ้น หลังจากเวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป นักพรตชราก็ระเบิดโทสะขึ้น ก้าวเดินออกมาจากวิหาร หันหลังและจ้องมองกลับไป

“เจ้าอาจจะเป็นจักรพรรดิเต๋า และเจ้าก็อาจจะเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักเฮ่าหรัน แต่สายตาเจ้าก็ไม่อาจจะมองผ่านขุนเขาทะเลที่แปดไปได้!”

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ด้วยพื้นฐานฝึกตนของเจ้า จะมองไม่เห็นกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมในตัวของศิษย์ข้าผู้นี้!”

วิหารเงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ยินเสียงโต้ตอบใดๆ นักพรตชรากระทืบเท้า และจากนั้นก็เริ่มเดินจากมาด้วยโทสะ ขณะที่มันเดินผ่านเมิ่งฮ่าว ก็ส่งสายตาเรียกเขาไป ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและติดตามไป

คนทั้งสองออกไปจากเขตภูเขากลาง มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาทางซ้าย ซึ่งมีรูปปั้นที่ถือกระบี่อยู่ ตรงฐานของรูปปั้นมีวิหารอยู่อีกแห่งหนึ่ง หลังจากที่ผ่านเข้าไปในวิหาร นักพรตชราก็เหลียวหลังมองกลับไปยังยอดเขากลางด้วยโทสะอีกครั้ง

“ซือจุน ข้าควรจะจากไปดีกว่า” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นช้าๆ อดที่จะคิดไปถึงคำพูดของเด็กชายทั้งสองจากเมื่อครู่นี้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“จากไป? เจ้าจะไปที่ใดได้?” นักพรตชราพูดกระแทกเสียง “พันธมิตรเทพสวรรค์ช่างกว้างใหญ่ และประตูเคลื่อนย้ายทางไกลก็ยังคงถูกผนึกอยู่ ถ้าเจ้าก้าวเท้าออกไป ผู้ฝึกตนนับแสนก็จะต้องพยายามสังหารเจ้า บางทีอาจจะมากไปกว่านั้น เจ้าอาจจะสามารถกวาดล้างเฮยหุนเต้าได้ แต่เจ้าจะสามารถกวาดล้างพันธมิตรเทพสวรรค์ไปได้ทั้งหมด?!”

“ในตอนนี้ ไม่ได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบด้วยเสียงราบเรียบ

“ต่อให้เจ้าสามารถทำได้ เหวยซือก็ไม่ยอมให้เจ้าทำ ถ้าเจ้าเป็นคนที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้ แล้วข้าจะมีหน้าไปรับเจ้ามาเป็นศิษย์ได้อย่างไร? นอกจากนี้เหวยซือยังมีวิธีที่จะส่งเจ้าออกไปจากพันธมิตรเทพสวรรค์อันกระจ้อยร่อยนี้ได้!”

“ข้าจะถ่วงเวลาให้เจ้าสองเดือน ตลอดช่วงเวลานั้นให้เจ้าอยู่ที่นี่ และพยายามให้ผู้คนมายังสำนักนี้ให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะถูกเคลื่อนย้ายทางไกลจากไปอย่างปลอดภัย” นักพรตชราถอนหายใจยาว แน่นอนว่ามันไม่ได้สังเกตเห็นว่าเมิ่งฮ่าวรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ขณะที่มันเอ่ยคำว่าช่วงเวลาสองเดือนออกมา

“น่าเสียดายที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ในตอนที่เจ้ากลายมาเป็นศิษย์ข้า” ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่านักพรตชราจะเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา แสดงท่าทางไม่พอใจต่อกลุ่มคนที่มาปิดล้อมสำนัก ก่นด่าสาปแช่งออกมาอย่างยืดยาว หลังจากนั้นก็กระทืบเท้าลงไป

“บัดซบ บิดามีศิษย์อยู่แปดคน แต่สุดท้ายพวกมันทั้งหมดก็ตายไป วันนี้ข้ามีเป็นคนที่เก้า ไม่ว่าอย่างไรข้าจะไม่ปล่อยให้มันตายไป”

“อี๋ฮ่าวจื่อ ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะสอนเวทแห่งเต๋าที่ไร้เทียมทาน ลึกลับมากที่สุด ทรงพลังมากที่สุดของสำนักเฮ่าหรันให้กับเจ้า มันถูกเรียกว่า…เต๋าอยู่ในจิตใจ เจตจำนงอยู่ในดวงตา ครอบครองขุนเขาทะเล เวทผนึกสวรรค์!” ดวงตาของนักพรตชรากลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง เมื่อมันกล่าวคำพูดสุดท้ายออกมา เวทผนึกสวรรค์ ก็กล่าวขึ้นด้วยความรวดเร็วติดต่อกันในครั้งเดียว

“ถ้าเจ้าสำเร็จวิชานี้ ต่อไปในวันข้างหน้า เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ไร้พ่ายในอาณาจักรขุนเขาทะเลอย่างแน่นอน!” มันกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“เอ่อ…ซือจุน ศิษย์ทั้งแปดคนก่อนหน้านี้ของท่าน ก็ศึกษา…เวทผนึกสวรรค์อะไรนั่นด้วยเช่นกัน?” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ

“ไม่ใช่เวทผนึกสวรรค์อะไรนั่น! มันคือเต๋าอยู่ในจิตใจ เจตจำนงอยู่ในดวงตา ครอบครองขุนเขาทะเล เวทผนึกสวรรค์! สำหรับศิษยพี่ที่น่าสงสารของเจ้าเหล่านั้น แน่นอนว่าพวกมันต่างก็ศีกษาด้วยเช่นกัน แต่โชคร้าย…ก่อนที่พวกมันจะทำได้สำเร็จ ก็ตกตายไป” นักพรตชรามีท่าทางโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแม้แต่น้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!