ตอนที่ 1227
นักพรตชรา
“เต๋าอยู่ในจิตใจ เจตจำนงอยู่ในดวงตา ครอบครองขุนเขาทะเล เวทผนึกสวรรค์!”
เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะมาถึงสำนักเฮ่าหรัน ตอนนี้เป็นยามสนธยา ดวงตะวันกำลังตกลงมายังที่ห่างไกล สายลมหนาวโชยพัดต้นไม้ใบหญ้าและบุปผานานาพันธุ์ ที่ปกคลุมไปทั่วภูเขา เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังอาจารย์ผู้นี้ของตนเองด้วยความงุนงง ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือเช่นเดียวกับปรมาจารย์เอกะเทวะ…
เขารับฟังอย่างเงียบๆ ขณะที่นักพรตชราเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่ถูกเรียกว่าเวทผนึกสวรรค์อะไรนั่น
“เวทนี้ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แข็งแกร่งยิ่งนัก แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ!”
“ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาไม่ใช่หนึ่งในอัจฉริยะแห่งขุนเขาทะเลที่แปด จริงๆ แล้วก็ไม่มีคนเช่นนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงของการสร้างอาณาจักรขุนเขาทะเล!”
“ข้อจำกัดเบื้องต้นของเวทนี้ก็คือเจ้าต้องมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม จากนั้นก็ต้องมีจิตใจที่ไร้ความหวาดกลัว เจ้าต้องมีขุนเขาทะเลที่แปดอยู่ในจิตใจ และจากนั้นก็ทำเช่นเดียวกันสำหรับขุนเขาทะเลอื่นๆ ทั้งหมด จนกระทั่งมีเก้าขุนเขาทะเลอยู่ภายในใจ หลังจากนั้นเจ้าก็สามารถ…บังคับให้อาณาจักรขุนเขาทะเลจดจำเจ้าได้ในฐานะที่เป็นราชันของพวกมัน!”
“ถ้าเจ้าทำได้สำเร็จ เจ้าก็จะเรียนรู้ก้าวแรกของเวทนี้ได้ หลังจากนั้นก็เป็นก้าวที่สอง ผนึกสวรรค์ เจ้าต้องผนึกสวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้น ซึ่งจะทำให้พื้นฐานฝึกตนของเจ้าเพิ่มขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวจากการผนึกได้แต่ละชั้น!”
“หลังจากที่ผนึกสามสิบสามสวรรค์ ถ้าให้กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พื้นฐานฝึกตนของเจ้าก็น่าจะแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นสามสิบสามเท่า!” ขณะที่นักพรตชรากล่าวขึ้นมา สีหน้าก็เต็มไปด้วยการหวนรำลึก และดูเหมือนว่าจะดูเก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำ
เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ เมื่อได้เห็นความหลงใหลของนักพรตชรา จึงอดไม่ได้ที่จะต้องถามขึ้นว่า “แล้วหลังจากนั้น…?”
“หลังจากนั้น? ไม่มีอะไรอีกแล้ว” นักพรตชรากล่าวตอบ จ้องมองกลับมา “ถึงตอนนั้น เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ไร้พ่าย เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรหลังจากนั้น นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะคาดคิดไปมากกว่านั้น เป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง!”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็ถามขึ้น “ซือจุน เอ่อ…ท่านคือคนสร้างเวทผนึกสวรรค์อะไรนั่น ใช่หรือไม่?”
“ฮา ฮา ฮา! เจ้าสมกับเป็นศิษย์ข้าจริงๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยฉลาดเท่าเหวยซือก็ตาม ไม่เลว เมื่อเจ้ารู้แล้ว เหวยซือก็จะไม่ปิดบังอะไรอีก เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว เฮ้อ! ข้าอุตส่าห์เก็บความลับนี้ไว้ตั้งสองพันปี ในที่สุดก็สามารถจะเปิดเผยออกมาได้แล้วในวันนี้”
“อี๋ฮ่าวจื่อฟังให้ดี เต๋าอยู่ในจิตใจ เจตจำนงอยู่ในดวงตา ครอบครองขุนเขาทะเล เวทผนึกสวรรค์ ถูกข้าคิดค้นขึ้นมา มันเป็นเวทแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่ ลี้ลับมากที่สุด ทรงพลังมากที่สุดในสำนักเฮ่าหรัน!” นักพรตชราโบกสะบัดชายแขนเสื้อ และยกมือขวาขึ้นไปในอากาศอย่างเป็นตุเป็นตะ
เมิ่งฮ่าวฝืนหัวเราะหึๆ ออกมา รู้สึกว่าจะเริ่มปวดศีรษะขึ้นมาในทันที
นักพรตชราแอบมองเมิ่งฮ่าวด้วยหางตา เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ตอนนี้เจ้าควรจะโห่ร้องด้วยความดีใจนะ!”
เมิ่งฮ่าวยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น แต่นักพรตชราก็ยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่น หลังจากที่ผ่านไปด้วยความอึดอัดนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็คิดไปถึงการที่ชายชราผู้นี้มาช่วยปกป้องเขาไว้ จนต้องถอนหายใจออกมา บังคับให้ตัวเองกล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ซือจุน ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
นักพรตชราหัวเราะเป็นเสียงดังขึ้น จากนั้นก็ลดมือลง
“เชื่อเหวยซือ เต๋าอยู่ในจิตใจ เจตจำนงอยู่ในดวงตา ครอบครองขุนเขาทะเล เวทผนึกสวรรค์ช่างทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อนัก จากระดับพื้นฐานฝึกตนของเหวยซือ ก็สามารถใช้มันได้แค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น แต่ก็เป็นหนึ่งส่วนที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง! เจ้าเชื่อมั่นได้เลยว่า ยังมีโอกาสแข็งแกร่งกว่าเหวยซืออีกมากนัก!” นักพรตชราคุยโม้อย่างแข็งขัน ถึงแม้จะพยายามให้ดูเหมือนว่ายิ่งใหญ่และสูงส่ง แต่น้ำลายก็พ่นกระเซ็นออกมาจากปากของมัน
ด้วยเช่นนั้นมันก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ชี้นิ้วขวาขึ้นไปในอากาศ ตรงขึ้นไปในท้องฟ้า “มา มา มา ถึงเวลาที่จะต้องเรียนรู้เวทนี้แล้ว ดูให้ดี”
“เต๋าอยู่ในจิตใจ!” มันแผดร้องออกมา ทำให้เกิดเป็นเสียงดังก้องออกไปทั่วทั้งสำนัก เมิ่งฮ่าวอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่า ศิษย์ทั้งหมดในวิหารเต๋าที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ต่างก็รีบก้มหน้าของพวกมันลงด้วยความอึดอัดใจอย่างรวดเร็ว เขามองกลับไปยังนักพรตชรา พร้อมกับหนังตาที่กระตุกขึ้นอย่างไม่อาจจะควบคุมได้
จากนั้นนักพรตชราก็ทำสองขาให้เป็นรูปวงกลม…ยกมือขวาขึ้นไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ยกขึ้นไปบนหน้าผาก…
“ทำตามข้า!” มันกล่าวขึ้น พร้อมกับจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา แต่ก็คิดขึ้นมาอีกครั้งว่านักพรตชราผู้นี้ได้ช่วยปกป้องเขาไว้ จึงได้แต่ถอนหายใจ โก่งขาให้เป็นรูปวงกลมและจากนั้นก็ยกมือขึ้นไปอยู่ที่หน้าผากด้วยความลำบากใจ
“พูดออกมาด้วย!” นักพรตชรากล่าวเตือน
เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น และในที่สุดก็ยอมปฏิบัติตาม “เต๋า…เต๋าอยู่ในจิตใจ!” เขาร้องตะโกนขึ้น
ดวงตาของนักพรตชราสาดประกายขึ้น และหัวเราะออกมา “ดี ดี ดี ยังมีอีกสองท่า”
ต่อมา มันยกมือซ้ายขึ้นไปวางเป็นแนวนอนอยู่ที่ด้านหน้าของมืออีกข้าง เพื่อทำท่าเป็นตัวอักษร 十 (สือ แปลว่า สิบ)
“เจตจำนงอยู่ในดวงตา!” มันแผดร้องขึ้น ไม่ว่าจะดูอย่างไร มือซ้ายที่อยู่ในแนวนอนของมันก็ไปปิดบังดวงตาไว้จนหมดสิ้น
เมิ่งฮ่าวปฏิบัติตามอย่างไร้ทางเลือก
“ครอบครองขุนเขาทะเล!” นักพรตชราร้องตะโกนขึ้น จากนั้นก็นั่งยองๆ ลง และกระโดดสูงขึ้นไปในอากาศ มีท่าทางคล้ายกบเป็นอย่างยิ่ง…
เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง แต่ในที่สุดก็กัดฟันแน่น และกระทำตาม กระโดดสูงขึ้นไปในอากาศ…
“เวท…ผนึก…สวรรค์!” ขณะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ นักพรตชรากวาดสองมือออกไปเป็นวงกว้าง แหงนหน้าและแผดร้องตะโกนขึ้น เสียงของมันดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ได้ยินอย่างชัดเจนแม้แต่ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่รอบๆ สำนัก พวกมันทั้งหมดเริ่มมีสีหน้าแปลกๆ ไปตามๆ กัน
สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาไม่กล้าตะโกนคำว่า ‘เวทผนึกสวรรค์’ ด้วยเสียงที่ดังมากเกินไป ยิ้มอย่างขมขื่น พูดคำนั้นออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็กวาดแขนออกไป ทั่วทั้งบริเวณนั้นที่อยู่รอบๆ ตัวเขา…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
“ไม่เลว! เจ้าพยายามฝึกเวทนี้ต่อไปอีกสองเดือน เชื่อเหวยซือ มันเป็นเวทที่แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบทั้งฟ้าดิน สามารถจะม้วนกวาดไปทั่วทั้งขุนเขาทะเล แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังสามารถกำจัดไปได้!” นักพรตชรากล่าวขึ้นด้วยท่าทางพึงพอใจ
เมิ่งฮ่าวไม่รู้จะกล่าวตอบว่าอย่างไรดี
“ตอนนี้เจ้าฝึกฝนด้วยตัวเองไปก่อน ข้ามีบางสิ่งที่ต้องไปทำ” ด้วยเช่นนั้นนักพรตชราก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และมุ่งหน้าลงไปจากยอดเขา หายลับไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ และนั่งลงขัดสมาธิ ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับเริ่มครุ่นคิดว่าจะหลบหนีออกไปจากการไล่ล่าของพันธมิตรเทพสวรรค์ได้อย่างไร สถานที่แห่งนี้…ไม่ใช่ทางเลือกระยะยาว นักพรตชราเป็นผู้ที่เหลวไหลวุ่นวาย แต่ปรมาจารย์อันดับแรกของสำนักเฮ่าหรันไม่ใช่ และเห็นได้ชัดว่าไม่ยินดีจะให้เขาอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไป
เห็นได้ชัดว่า นักพรตชราถูกบังคับให้มีเวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น
“ก็ดี ข้าจะได้มีเวลารักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างเพียงพอ เพื่อที่จะกลับเข้าไปในจุดสูงสุดของตนเอง!” ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความเย็นชา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มนั่งเข้าฌาณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
เวลาผ่านไปไม่นานมากนัก ก็ได้ยินเสียงกระหึ่มดังก้องออกมาจากที่ห่างไกล และเสาแห่งแสงก็พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ภายในเสานั้นคือเงาร่างของคนผู้หนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังเคลื่อนย้ายทางไกลออกไปยังสถานที่แห่งอื่น เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมาและมองออกไปในทันที
เขาพบว่าตนเองกำลังมองไปยังทิศทางของประตูเคลื่อนย้ายทางไกลแห่งสำนักเฮ่าหรัน ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป
เวลาผ่านไปมากขึ้น ในที่สุดสิบวันก็ผ่านไป…ตลอดช่วงเวลาสิบวันนั้น เมิ่งฮ่าวมักจะลงไปจากยอดเขาเพื่อมองดูศิษย์สำนักเฮ่าหรันฝึกฝนตนเอง ตรงจุดที่เขาสัมผัสได้ถึงกระแสปราณแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล รวมทั้งกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม น่าเสียดายที่เขาสามารถใช้เวลาในแต่ละวันได้แค่ครึ่งวันเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บได้เท่านั้นเวลาที่เหลือนักพรตชรามักจะฉุดลากเขาไปฝึกฝนเวทผนึกสวรรค์อะไรนั่น
ตอนแรกเมิ่งฮ่าวจะปฏิเสธด้วยความสุภาพ แต่ก็มาถึงจุดที่เขารู้สึกว่าไม่อาจจะทนได้อีกต่อไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็โชคดีที่ไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในช่วงที่ทำการฝึกฝน ไร้ภัยพิบัติ ไม่มีสายฟ้าฟาดลงมา ไม่มีการลุกไหม้ขึ้นมาเอง
ถึงแม้ว่าเขาต้องการจะปฏิเสธ แต่ทุกครั้งที่คิดไปว่านักพรตชราได้ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของผู้ฝึกตนทั้งหมดในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเพื่อช่วยเหลือตนเอง เขาก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ ดังนั้นจึงต้องติดตามไปด้วยจิตใจที่โลเล
แต่ในวันหนึ่งตอนที่เขาเดินลงไปจากยอดเขา เมื่อผ่านหุบเขาแห่งหนึ่งก็ได้ยินศิษย์สองคนกำลังสนทนากันอยู่
“ท่านปรมาจารย์อี้หรันจื่อเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นอีกแล้ว…สิบกว่าวันมานี้ท่านใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลไปอย่างน้อยก็สิบครั้งต่อวัน สิ่งที่ท่านทำก็คือส่งสิ่งของต่างๆ ไปยังสถานที่ที่ไม่แน่นอน ท่านกำลังทำอะไรกันแน่?!”
“มันต้องใช้หินลมปราณไปไม่น้อยในการใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งสิ่งของไปยังสถานที่แห่งหนึ่งและกลับมา ท่านไปยังสถานที่ที่แตกต่างกันทุกครั้ง…”
“พวกเราไม่อาจจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้…” สองศิษย์ถอนหายใจ
เมิ่งฮ่าวสะท้านใจ รีบตรงไปยังที่ตั้งของประตูเคลื่อนย้ายทางไกล มองเห็นนักพรตชราส่งมอบหินลมปราณให้กับศิษย์ที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเตรียมส่งสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ผ่านประตูเคลื่อนย้ายทางไกลนี้
นักพรตชรารับรู้ได้ว่าเมิ่งฮ่าวมาอยู่ในที่แห่งนี้จึงหันหน้ามา ในทันทีที่มองเห็นเมิ่งฮ่าว มันก็หัวเราะเป็นเสียงดังออกมา
“ศิษย์ข้ามาแล้ว! ไปเถอะ พวกเรากลับไปฝึกฝนเวทผนึกสวรรค์กันอีก” มันก้าวเดินตรงมา คว้าจับไปที่แขนของเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็พุ่งกลับไปยังยอดเขา เมิ่งฮ่าวไม่พูดอะไรตลอดทาง และเมื่อบรรลุถึงยอดเขา เขาก็ฝึกฝนเวทผนึกสวรรค์ด้วยความมุ่งมั่นอย่างผิดปกติ ขยับทุกท่วงท่าด้วยความตั้งใจ และยังได้ร้องตะโกนขึ้นเป็นเสียงดังเท่าที่จะทำได้อีกด้วย
หลังจากที่ฝึกฝนไปไม่กี่ชั่วยาม จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ถามขึ้น “ซือจุน ทำไมท่านถึงต้องใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลไปหลายครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้?’
“ทำไม? แน่นอนว่าเพื่อเจ้า! ข้าเคยบอกว่าเจ้าฉลาดเกือบเท่าเหล่าฟู แล้วทำไมถึงได้โง่เขลาขึ้นมา?”
“หลังจากที่ผ่านไปสองเดือน เจ้าจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายทางไกลออกไปจากที่แห่งนี้ เมื่อประตูเคลื่อนย้ายทางไกลถูกผนึกไว้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปจากพันธมิตรเทพสวรรค์ได้โดยตรง แต่เจ้าก็สามารถจะเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตที่ใกล้กับทางออกได้ อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายวิธีที่จะขัดขวางการเคลื่อนย้ายทางไกลนั้น บางคนอาจจะสามารถสอดมือเข้าไปในช่วงที่เจ้าเดินทางไปได้แค่ครึ่งทาง”
“ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ข้าจึงต้องกวนน้ำให้ขุ่นสักเล็กน้อย ถ้าข้าใช้งานประตูเคลื่อนย้ายทางไกลหลายครั้งในหนึ่งวัน เป็นเวลาสองเดือนติดต่อกัน ผู้คนที่ค้นหาตัวเจ้าก็จะค่อยๆ เริ่มหมดความอดทนไป ในที่สุดเจ้าก็สามารถจะลอดผ่านไปได้”
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่มองไปยังนักพรตชรา นี่คือบุคคลที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต แต่ก็ยังคงช่วยเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
โลกแห่งการฝึกตนเป็นสถานที่อันแห้งแล้งไร้น้ำใจ ผู้คนมักจะต่อสู้และใช้เล่ห์เหลี่ยมกันไปมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นโลกของผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ
แต่ยิ่งโลกแห่งนี้เป็นเช่นนั้น การกระทำเช่นนี้ก็ยิ่งมีค่าสวยงามอย่างถึงที่สุด เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะลบเลือนไปได้ เป็นสิ่งที่จะถูกฝังแน่นอยู่ในจิตใจและไม่มีทางจะแยกจากไปได้ บางทีผู้ฝึกตนก็ควรจะมีคุณลักษณะเช่นนี้อยู่ ไม่ว่าพวกมันจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ระดับใดก็ตามแต่ นอกจากนี้สุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ป่าใดๆ
เมิ่งฮ่าวมองไปยังนักพรตชราชั่วขณะ จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
ในวันต่อมา เขาไม่ได้ฝึกฝนด้วยความโลเลอีกต่อไป แต่ปฏิบัติตามนักพรตชราเพื่อฝึกฝนเวทผนึกสวรรค์ด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่เวทแห่งเต๋าที่แท้จริง แต่เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นโดยนักพรตชรา จากสิ่งที่มันกุขึ้นมาด้วยจินตนาการของตนเอง
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เรียนรู้ว่านักพรตชราไม่ได้เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรก ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มันออกไปจากสำนักและกลับมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บอย่างสาหัส ภรรยาของมันตกตายไป และบุตรของมันก็หายสาบสูญไป มันกลับมาตามลำพังพร้อมกับหนังสัตว์สีดำที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากนั้นก็หมดสติไป
นับจากนั้นมามันก็เลอะเลือนเป็นครั้งคราว สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัว มันไม่เคยพูดถึงมาก่อน ทางสำนักได้ทำการตรวจสอบ แต่ก็ไม่อาจจะค้นหาร่องรอยเบาะแสใดๆ ได้
อย่างไรก็ตาม นักพรตชราก็เริ่มไปนั่งตามลำพังบนศีรษะของรูปปั้นบนยอดเขา มองขึ้นไปในท้องฟ้า หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พูดจาเพ้อเจ้อ ร้องไห้คร่ำครวญ
หนึ่งเดือนที่เขาอยู่ในสำนักนี้ เมิ่งฮ่าวมองเห็นเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง ตอนที่ดวงจันทร์ทอแสงอยู่ในท้องฟ้า นักพรตชราไปนั่งอยู่บนรูปปั้น กำลังหัวเราะหรืออาจจะ…ร้องไห้อยู่