ตอนที่ 1258
กวาดล้างตระกูลสวี
“วิญญาณแรกก่อตั้ง, วิญญาณแรกก่อตั้ง ก่อตัวเป็นวิญญาณซึ่งมีรูปร่างเป็นเด็กทารก เมื่อดูดซับปราณเซียนผ่านทางลมหายใจ ก็จะดีกว่าพลังลมปราณทั่วไป กล่าวกันโดยหลักการแล้ว…จะทำให้พวกท่านทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้รวดเร็วยิ่งขึ้น!” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ขณะที่อธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับอาณาจักรวิญญาณของตนเองต่อไป
เขาเพิ่งจะใช้หยกเซียนจำนวนมาก เพื่อสร้างเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับให้กลุ่มคนเหล่านี้ดูดซับปราณเซียนเข้าไป ในอาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งหมด น้อยคนนักที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ อันที่จริงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำได้ ซึ่งก็คือราชันขุนเขาทะเล
แม้แต่สำนักใหญ่ก็ไม่อาจจะทำได้ เป็นเพราะว่า…ไม่คุ้มที่จะทำเช่นนี้ ภายในสำนักมักจะมีกลุ่มคู่แข่งอยู่มากมาย ซึ่งมักจะมุ่งเน้นให้ความสนใจไปที่พวกเดียวกันเท่านั้น จึงไม่มีทางเห็นด้วยที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้
เมิ่งฮ่าวอาจจะรักเงินทอง และใฝ่ฝันว่าตนเองจะกลายเป็นผู้ร่ำรวยในสักวันหนึ่ง แต่ความรู้สึกและศักดิ์ศรีก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเขา ไม่ว่าจะมีเงินทองมากมายเท่าใด สำหรับเขาแล้วก็ไม่อาจจะมีค่ามากกว่าครอบครัว
ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงไม่เคยคิดถึงความเจ็บปวดใจ ที่มักจะมาพร้อมกับการใช้จ่ายเงินทอง ตราบเท่าที่สายโลหิตท่านตาสามารถจะโดดเด่นขึ้นมาได้อีกครั้ง ทั้งหมดนั้นก็คุ้มค่าแล้ว
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเทศนาเต๋าต่อไป ก็มีผู้ฟังบางคนพบกับการทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนขึ้นไป เวลาเดียวกันนั้นเสียงกระหึ่มกึกก้องก็ได้ยินมา แสงแปลกๆ ปรากฏขึ้นในแววตาเมิ่งฮ่าว และยิ้มน้อยๆ ออกมา
ขณะที่ภูติน้อยเกราะดำบินกลับมา หลังจากที่บินวนเป็นวงกลมไปรอบๆ อากาศสองสามรอบ พวกมันก็เริ่มหย่อนถุงสมบัติลงไปบนพื้น ในที่สุดก็มีอย่างมากมายจนดูคล้ายกับเป็นสายฝนที่กำลังตกลงมา
หญิงสาวที่อยู่ในบ้านกลุ่มสายโลหิต จ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ขณะที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้
สีหน้าเมิ่งฮ่าวเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มองกลับไปยังหญิงสาวทั้งหมด และกล่าวต่อไป
“พวกท่านทั้งหมดต้องจำไว้ว่า พวกเราเหล่าผู้ฝึกตนต้องไม่สูญเสียทรัพยากรสำหรับการฝึกตนไป ถ้าพวกท่านออกไปผจญภัยที่ด้านนอก และมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่เก็บขึ้นมา ก็เหมือนกับการที่พวกท่านทำมันสูญหายไป นั่นคือกฎของพวกเรา และเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากที่สุดที่พวกเราต้องจดจำใส่ใจ!”
“อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อย่ามีชีวิตที่หรูหรา! ถ้ามีโอกาสทำกำไร ก็อย่าได้พลาดแม้แต่หินลมปราณเพียงก้อนเดียว!” กลุ่มผู้ฟังทั้งหมดเพ่งนิ่งไปยังเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง ดวงตาลุกโชนขึ้นด้วยความนับถือและกระตือรือร้น ในทันทีที่เหล่าหญิงสาวได้ยินคำพูดของเขา พวกนางก็จดจำมันไว้อยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านั้นมีผลกระทบกับนิสัยส่วนตัวของพวกนาง และดวงตา…ก็เริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้นอย่างช้าๆ
เมิ่งฮ่าวรู้สึกยินดีกับแววตาของพวกนาง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่คิดถึงผลที่ตามมาว่ากลุ่มคนทั้งหมดอาจจะเป็นเหมือนกับตนเอง…แต่ในกรณีนี้เขาก็รู้สึกได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะมีความคิดที่คล้ายกับเขามากขึ้น
สำหรับสามผู้ชรา พวกท่านกำลังมองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เช่นเดียวกับจิ้วจิ่วทั้งสองของเมิ่งฮ่าว
“นี่…” ไว่ซูกงผู้หนึ่งของเมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น
“ทำไมมันถึงเหมือนกับลี่ยาโถวเช่นนี้…” ไว่ผอเมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ออกมา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ท่านก็ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไป “ด้วยการมีมันอยู่ที่นี่…พวกเราคงต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว” (ยาโถว เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กผู้หญิงของจีนโบราณ ในที่นี้คือเมิ่งลี่)
ที่ด้านนอกตรงลานบ้าน เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดมือ ทำให้ถุงสมบัติลอยขึ้นไปอยู่ที่เบื้องหน้าของกลุ่มคนในตระกูล จนกระทั่งครบทุกคน
“รับถุงสมบัติเหล่านี้ไว้ ข้าจะออกไปเพื่อให้พวกท่านได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกตนเพิ่มขึ้น” ด้วยเช่นนั้นเมิ่งฮ่าวก็ลุกขึ้นมายืน เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและหายตัวไป เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็ออกไปอยู่นอกกลุ่มหมอก ภูติน้อยเกราะดำบินอยู่รอบๆ ตัว ดูเป็นมิตรอย่างมาก เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อเพื่อเก็บพวกมันไว้ จากนั้นก็เดินไปเป็นก้าวที่สอง หายตัวไปและปรากฏขึ้นใหม่สูงขึ้นไปในท้องฟ้า ดวงตาสาดประกายเย็นชา ขณะที่มองตรงไปยังจุดศูนย์กลางของทวีป และ…ตระกูลสวี!
เดิมทีเขาคิดว่าจะกวาดล้างไปทั้งตระกูล แต่เมื่อไว่ผอตื่นขึ้นมา ก็ทำให้ต้องเลื่อนไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อครู่นี้ตอนที่ภูติเกราะดำกวาดล้างผู้ฝึกตนที่อยู่นอกกลุ่มหมอก เมิ่งฮ่าวได้มองดูไปอย่างละเอียด
“ใครก็ตามที่มีปัญหากับสายโลหิตไว่กง ก็จะมีปัญหากับข้าด้วยเช่นกัน”
เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังตระกูลสวีพร้อมกับเสียงกระหึ่มกึกก้อง
ลึกเข้าไปในคฤหาสน์บรรพชนตระกูลสวี ภายในห้องลับ ชายชราผมสีแดงผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น จู่ๆ มันก็ลืมตาขึ้นมาและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความรู้สึกอันน่ากลัวเพิ่งจะพุ่งขึ้นมาในจิตใจ ราวกับว่าภัยพิบัติอันร้ายแรงกำลังมุ่งหน้าตรงมา
พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่สูงกว่าวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณ และอยู่ห่างจากอาณาจักรเต๋าแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น อันที่จริงมันสามารถจะก้าวไปอย่างสมบูรณ์ได้ทุกเมื่อ แต่มันก็เหมือนกับเทียนอวิ๋นซ่างเหรินเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเมิ่งฮ่าวเคยพบเจอมาในสนามดวงดาว ตอนที่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า ไม่มีความเชื่อมั่นที่จะลองพยายามดู
ดังนั้นจึงน่าจะถูกต้องกว่าถ้าจะบอกว่า มันสามารถจะทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเต๋า เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ และน่าจะถูกต้องมากไปกว่านั้นถ้าจะบอกว่ามันสามารถจะเข้าไปในอาณาจักรเสมือนเต๋าได้ในทันที!
คนผู้นี้คือสวีอวี้ซาน ผู้นำตระกูลสวี พื้นฐานฝึกตนของมันทำให้กลายเป็นผู้นำตระกูล และเป็นเหตุผลที่ทำไมตระกูลสวีถึงสามารถกลายมาเป็นตระกูลผู้รับใช้ ที่ได้ครอบครองหนึ่งทวีปในตระกูลเมิ่ง
“ในที่สุดก็มีปัญหาบางอย่างขึ้นมา…เป็นไปได้หรือไม่ว่า…เป็นสายโลหิตตระกูลเมิ่งนั้น?” ดวงตาชายชราผมแดงสาดประกายขึ้น และขมวดคิ้ว
“เป็นไปไม่ได้ สายโลหิตนั้นตกต่ำจนถึงจุดที่แทบจะหายไปแล้ว ทำให้ข้าสามารถจะตั้งรกรากอยู่ในที่แห่งนี้ได้ เพื่อเฝ้าจับตาดูพวกมันและเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถกวาดล้างพวกมันออกไปได้ในทันที พวกมันค่อยๆ ตกต่ำลงอย่างช้าๆ อีกไม่กี่ร้อยปีภารกิจนี้ก็จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์”
หลังจากที่นั่งครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปในทันที โดยไม่ลังเลหรือขบคิดอีกต่อไป มันบดขยี้แผ่นหยกและจากนั้นก็หายตัวไป
ตอนที่มันหายตัวไป ก็เป็นเวลาเดียวกับที่สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน เกิดเป็นเสียงระเบิดดังขึ้นจนทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง
หัตถ์ยักษ์ตกลงมาจากเบื้องบน มีความกว้างนับหมื่นจ้าง ดูเหมือนของจริงจนสามารถจะมองเห็นลายมือบนหัตถ์ยักษ์นั้นได้ ฟาดลงมาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ จนเกิดเป็นประกายไฟพุ่งออกมา จนแทบจะเผาไหม้พื้นดินทั้งหมดไป
ขณะที่หัตถ์ยักษ์นั้นฟาดลงมา ก็ทำให้เจดีย์จำนวนมากที่อยู่ภายในคฤหาสน์บรรพชนตระกูลสวีต้องแตกกระจายไปภายใต้แรงกดดันนั้น อาคารบ้านเรือนพังทลายลงไป เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นมา และผู้ฝึกตนในคฤหาสน์บรรพชนตระกูลสวีก็มองขึ้นไปด้วยความตกตะลึง ราวกับว่าวันสิ้นโลกของพวกมันได้มาถึงแล้ว
“นั่นคืออะไร!?!?”
“ศัตรูโจมตีมา!!”
“นั่น…นั่นเป็นมือของใคร? สวรรค์…” ผู้ฝึกตนในที่อยู่ในคฤหาสน์บรรพชนตระกูลสวีต่างก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง และเริ่มสั่นสะท้านจากเจตจำนงแห่งการทำลายล้างที่กดทับลงมา
ในชั่วพริบตาหัตถ์ยักษ์นั้นก็กระแทกลงมาบนคฤหาสน์บรรพชน บดขยี้อาคารบ้านเรือนไปนับไม่ถ้วน ส่งผลให้เกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่พุ่งกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับว่าพวกมันกำลังถูกสายฟ้าฟาดลงมา และทั่วทั้งตระกูลสวีได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปในทันที ถูกแทนที่ด้วยภาพของมือขนาดใหญ่นั้น!
เปลวไฟพุ่งขึ้นมาอยู่ทั่วทุกที่ เผาไหม้ทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำสนิท…
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วก็มีผู้ฝึกตนตายไปไม่มากนัก เมิ่งฮ่าวไม่ใช่ฆาตกรเลือดเย็น และจากระดับพื้นฐานฝึกตนของเขา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เจือปนอยู่ในฝ่ามือ ทำให้รับรู้ได้ว่าผู้ใดในตระกูลสวีที่มีความคิดชั่วร้ายต่อสายโลหิตท่านตาบ้าง
ผู้ฝึกตนที่มีความคิดชั่วร้ายเหล่านั้นถูกสังหารไปทั้งหมด ทำให้เกิดเป็นเสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจดังก้องออกมาจากภายในทะเลแห่งเปลวไฟ สำหรับผู้ฝึกตนอื่นๆ เปลวไฟแค่ผนึกพื้นฐานฝึกตนของพวกมันไว้ ไม่ได้ทำร้ายร่างกายพวกมันไปแม้แต่น้อย
แต่พื้นดินก็ยังคงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้นก็น่าตกใจอย่างถึงที่สุด
ภายในซากปรักหักพังที่เต็มอยู่ในรอยฝ่ามือ ร่างปรมาจารย์ตระกูลสวีเริ่มมองเห็นได้อย่างเลือนลางขึ้นมา ในทันทีที่เป็นเช่นนั้นมันก็กระอักโลหิตออกมากองโต ใบหน้าซีดขาว มองไปรอบๆ ยังกลุ่มคนในตระกูลที่รอดชีวิตมาได้ และจากนั้นก็มองไปยังซากปรักหักพัง แหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องอย่างดุร้ายออกมา
ขณะที่มันมองขึ้นไป ก็เห็นเมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ในกลางอากาศ กระจายเป็นความเย็นชาออกมาอย่างรุนแรง เมื่อคิดไปถึงสิ่งที่เขาเพิ่งจะทำมาด้วยการฟาดฝ่ามือลงไปแค่ครั้งเดียว ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัว ปรมาจารย์ตระกูลสวีหัวเราะหึๆ อย่างขมขื่นและถามว่า “เจ้าเป็นใคร!?!?”
เวลาเดียวกันนั้น มันก็ไม่ลังเลที่จะเริ่มทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนขึ้นไป
“ข้าคือเมิ่งเฉิน!” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบเสียงเย็นชา เขาไม่ต้องการลากตระกูลเมิ่งให้มีปัญหากับพันธมิตรเทพสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ใช้ตัวตนในฐานะเมิ่งฮ่าว
ปรมาจารย์ตระกูลสวีหัวเราะอย่างขมขื่น มันไม่เชื่อเมิ่งฮ่าวแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พื้นฐานฝึกตนของมันระเบิดพุ่งขึ้นไป และกลุ่มเมฆก็เริ่มก่อตัวขึ้นในอากาศ ขณะที่ทัณฑ์สวรรค์อาณาจักรเต๋าเริ่มตกลงมา
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการตกลงมาของทัณฑ์สวรรค์อาณาจักรเต๋า จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วข้างขวาออกไป ทำให้อากาศบิดเบี้ยวไปมา และระลอกคลื่นก็กระจายออกไป ระลอกคลื่นเหล่านั้นกลายเป็นสุนัขป่าขนาดใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ เต็มไปด้วยพลังสะกดข่มโดยสิ้นเชิง กู่ร้องออกมาขณะที่พุ่งตรงไปยังปรมาจารย์ตระกูลสวี
พุ่งไปถึงร่างมันในชั่วพริบตา ก่อนที่ทัณฑ์สวรรค์จะมาถึง ปรมาจารย์ตระกูลสวีต่อสู้กลับมาอย่างดุร้าย แต่ก็ไม่อาจจะหยุดการถูกกลืนกินเข้าไปได้ เมื่อสุนัขป่ายักษ์งับลงมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อทัณฑ์สวรรค์สูญเสียเป้าหมาย ก็เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว และเส้นทางที่ปรากฏขึ้นก็หายไปด้วย
เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ไม่สนใจสิ่งทั้งหมดที่อยู่ด้านล่าง หันหลังและหายตัวไป
เวลาผ่านไป ประมาณช่วงยามสนธยา เมื่อเมิ่งฮ่าวมาถึงอาณาเขตสายโลหิตของท่านตา ตรงกลางท้องฟ้าในบริเวณนั้นก็มีลำแสงปรากฏขึ้นอีกครั้ง บุคคลเหล่านี้ดูแตกต่างไปจากผู้ฝึกตนตระกูลสวี พวกมันทั้งหมดคือสมาชิกตระกูลเมิ่ง
พวกมันมาจากสายโลหิตที่เจ็ดจากเก้าสายโลหิตของตระกูลเมิ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่ง แต่ก็มาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งคนอยู่ในวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณ หนึ่งคนอยู่ในอาณาจักรโบราณขั้นสุดท้าย สองคนอยู่ในอาณาจักรโบราณขั้นกลาง สี่คนอยู่ในอาณาจักรโบราณขั้นต้น และอยู่ในอาณาจักรเซียนอีกสิบกว่าคน
กองกำลังเช่นนี้โดยแท้จริงแล้วก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าปรากฏตัวขึ้นมา พวกมันสามารถจะพิชิตไปทั่ว ตอนนี้ชายชราที่เป็นผู้นำกำลังบินตรงมา เต็มไปด้วยโทสะและระเบิดเป็นรังสีสังหารออกมา
ขณะที่คนกลุ่มนั้นบินมา ก็เกิดเป็นสีสันแวบขึ้นไปในท้องฟ้า และสายลมก็กรีดร้องระงม ทันใดนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของชายชราก็ดังก้องออกมา
“สวีอวี้ซาน ออกมาพบกับเหล่าฟู!”
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องไปมา แทบจะคล้ายกับเป็นเสียงตะโกนนับไม่ถ้วน สายลมขนาดใหญ่พุ่งออกไปทั่วทั้งพื้นดิน ม้วนกวาดกลุ่มเมฆในท้องฟ้าและทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน
ชายชราลอยตัวอยู่ในกลางอากาศด้วยความเย่อหยิ่ง มันคิดว่าการเรียกให้ผู้นำของตระกูลข้ารับใช้ซึ่งเป็นผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ออกมา เพื่อไปกำจัดสายโลหิตที่ทรยศ คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด