ตอนที่ 1259
ไว่ผอผู้แข็งแกร่ง
เสียงของชายชราดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ ทำให้มันต้องขมวดคิ้ว ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป เมื่อบรรลุถึงคฤหาสน์บรรพชนตระกูลสวีที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของทวีป แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง และมันก็อ้าปากค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อเป็นอย่างมาก
“นี่…” ทันใดนั้นมันก็พุ่งฝ่าอากาศไป สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลเมิ่งที่อยู่ด้านหลัง เริ่มเผยให้เห็นสีหน้าตกตะลึงขึ้นมาอย่างช้าๆ ขณะที่ผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันออกไป และรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกมันสิบกว่าคนพุ่งฝ่าอากาศตรงไปยังตระกูลสวี ซึ่งชายชราที่เป็นผู้นำลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือคฤหาสน์บรรพชน มองลงไปยังรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ และซากปรักหักพังเหล่านั้น มันหลับตาลงเพ่งสมาธิเพื่อรับรู้ถึงรอบๆ บริเวณนั้น จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาในทันที
“กลิ่นอายแห่งทัณฑ์เต๋าปรากฏขึ้นในที่แห่งนี้…แต่ข้าไม่รู้สึกถึงทัณฑ์ใดๆ จากก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่า…ทัณฑ์นั้นสูญหายไปก่อนที่มันจะเริ่มขึ้น และหมายความว่าสวีอวี้ซานถูกสังหารไปก่อนที่มันจะทำการทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตน!”
“นอกจากผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าแล้ว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้ฝึกตนเสมือนเต๋า!” ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งซากปรักหักพัง จากนั้นก็โบกสะบัดมือ ทำให้หนึ่งในผู้ฝึกตนตระกูลสวีที่รอดชีวิตลอยขึ้นมาในอากาศ ชายชราไม่สอบถามใดๆ มันเป็นคนที่ไม่เชื่อถือคำพูดของคนอื่นสำหรับเรื่องราวที่สำคัญเช่นนี้ มันเชื่อถือแต่วิชาควาญวิญญาณของตนเองเท่านั้น ไม่นานนักมันก็มองเห็นเมิ่งฮ่าว และฝ่ามือขนาดยักษ์ที่ทำลายตระกูลสวีไป จากนั้น…ก็ได้ยินเมิ่งฮ่าวเรียกตัวเองว่า…เมิ่งเฉิน!
“เมิ่ง…เฉิน!?!?” ดวงตาชายชราเบิกกว้างขึ้น และเริ่มหายใจอย่างหนักหน่วง เหตุผลที่มันรีบมายังที่แห่งนี้ด้วยท่าทางสะกดข่มเช่นนั้นก็เนื่องมาจากเมิ่งเฉิน ตอนนี้มันเข้าใจถึงความน่ากลัวของบุคคลที่มันกำลังตามหาแล้ว ทำให้ต้องเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา มันรู้ว่ายากที่จะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติในครั้งนี้ ทำให้ต้องรีบหมุนตัวและจากไปในทันที
กลุ่มคนอื่นๆ ของตระกูลเมิ่งกำลังมองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าชายชรากำลังจากไป พวกมันจึงเริ่มสอบถามขึ้น
“ผู้อาวุโส พวกเราจะไปยังที่แห่งใดในตอนนี้…?”
“ที่ใด? กลับบ้าน! พวกเราต้องกลับไปในทันที!” ชายชราอดที่จะมองไปยังหลุมขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างของฝ่ามืออีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายสั่นสะท้าน รู้สึกหวาดกลัวเมิ่งเฉินขึ้นมาในทันที ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบเห็นเขามาก่อนก็ตาม
จากสิ่งที่มันเคยรับรู้มาเกี่ยวกับเมิ่งเฉิน มันแน่ใจว่าพื้นฐานฝึกตนที่น่ากลัวนี้ไม่ได้เป็นของเมิ่งเฉินอย่างแน่นอน ในความคิดของมัน เมิ่งเฉินจะต้องถูกยึดร่างหรือถูกแทนที่ไปแล้ว หรือบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเช่นนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นตัวมันเองก็ไม่อาจจะต่อสู้กับใครก็ตามที่เป็นเมิ่งเฉินอยู่ในตอนนี้ได้
บุคคลที่มีพื้นฐานฝึกตนเช่นนั้น สามารถจะสังหารมันไปได้อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ บุคคลเช่นนั้นต้องเป็นคนที่มันไม่อาจจะไปตอแยด้วยได้ ดังนั้นมันจึงไม่ลังเลที่จะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ผู้ฝึกตนอื่นๆ สบตากันด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็รีบจากไป การจากไปอย่างกะทันหันของชายชราเมื่อครู่นี้ ทำให้จิตใจพวกมันเริ่มเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รู้สึกราวกับว่ามีพลังแอบซ่อนอยู่ด้านหลังกำลังจะโจมตีมา พวกมันเริ่มพุ่งไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นการหลบหนีจากไปอย่างรวดเร็วสูงสุด
กลุ่มคนทั้งหมดมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่เต็มท้องฟ้า ยังไม่ทันจะได้พบกับเมิ่งฮ่าว ก็ต้องรีบหลบหนีจากไปราวกับเป็นสุนัขที่สูญเสียเจ้าของ
ขณะที่พวกมันจากไป เมิ่งฮ่าวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในลานบ้านของกลุ่มสายโลหิต มองดูพวกมันรีบเร่งจากไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา ปฏิกิริยาที่ลนลานเช่นนั้นได้ช่วยพวกมันไว้ ถ้าพวกมันกล้าที่จะแสดงเจตนาร้าย เมิ่งฮ่าวก็จะกำจัดสายโลหิตพวกมันไปทั้งหมดโดยไม่ลังเล
เกี่ยวกับเรื่องการกวาดล้างสายโลหิต เมิ่งฮ่าวได้สอบถามไว่ผอมาแล้ว หลังจากที่ท่านได้ยินก็เงียบไป มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าอันซับซ้อน หลังจากที่พูดคุยกับไว่ซูกงทั้งสอง ก็บอกกับเมิ่งฮ่าวว่า นอกจากสายโลหิตที่สาม,สี่และห้าแล้ว อีกห้าสายโลหิตสามารถจะกวาดล้างออกไปได้
เมื่อได้เห็นแววตาอันซับซ้อนของเหล่าผู้ชรา เมิ่งฮ่าวก็กล่าวว่า “ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง แต่ให้รอจนกว่าพื้นฐานฝึกตนของพวกท่านฟื้นกลับคืนมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจกันว่าจะทำอย่างไรกันดี”
เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวเทศนาเต๋าไปเรื่อยๆ แต่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ใช้พื้นฐานฝึกตนของตัวเองช่วยเหลือไว่ผอและคนอื่นๆ ให้ฟื้นฟูกลับมา ยิ่งเมิ่งฮ่าวเข้าใจโครงสร้างของตะปูทั้งเก้ามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งตระหนักว่าไม่อาจจะกำจัดไปได้อย่างง่ายดาย มิเช่นนั้นชีวิตของไว่ผอและคนอื่นๆ ก็ยากที่จะรักษาไว้ได้
เมิ่งฮ่าวต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อที่จะทำความเข้าใจพวกมันได้อย่างแท้จริง ไว่ผอและคนอื่นๆ ก็ต้องการเวลาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วยเช่นกัน จากนั้นถึงจะสามารถกระทำต่อไปได้
สองสามวันต่อมาในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เมิ่งฮ่าวกำลังเทศนาเต๋า จู่ๆ เขาก็หยุดพูดและมองขึ้นไป แสงสีโลหิตพุ่งอยู่บนอากาศ
ซึ่งก็คืออ๋าวเฉี่ยน บนหลังของมันมองเห็นเมิ่งหรู รวมทั้งหญิงสาวเยาว์วัยอื่นๆ อีกสิบคน หญิงสาวเหล่านั้นบางคนมีท่าทางตื่นเต้น บางคนก็ร้องไห้ และบางคนก็มีท่าทางสับสน
การกลับมาอย่างกะทันหันของพวกนาง ทำให้เกิดเป็นความโกลาหลขึ้นมา สำหรับหญิงสาวเยาว์วัยเหล่านั้น เมื่อนางรู้สึกได้ถึงปราณเซียน ต่างก็ประหลาดใจไปตามๆ กัน
เมิ่งหรูไปพบเมิ่งฮ่าวในทันที ประสานมือและโค้งตัวลง
นางรู้สึกเศร้าใจและลังเลอยู่เล็กน้อย ราวกับไม่มั่นใจว่าจะต้องทำตัวอย่างไร หลังจากที่ผ่านไปนาน ก็กัดฟันแน่นและเริ่มพูดขึ้นมา
“เมิ่งเฉินเกอเกอ ข้าไม่อาจจะนำคนทั้งหมดกลับมาได้ มีเจี่ยเม่ย (พี่สาวน้องสาว) เอ่อ…สามนางที่เลือกจะอยู่กับจู่เหริน (เจ้านาย) และยังมีจู่เหรินสองคนที่ไม่ยอมปล่อยพวกนางออกมา ข้า…ข้าวิตกว่าจะทำผิดพลาด จึงไม่กล้าขอให้อ๋าวต้าเกอ (พี่ใหญ่อ๋าวเฉี่ยน) ลงมือ…” เห็นได้ชัดว่าเมิ่งหรูรู้สึกนับถืออ๋าวเฉี่ยนเป็นอย่างยิ่ง และจริงๆ แล้วก็มองว่ามันเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่งไม่ใช่สัตว์อสูรใดๆ
“พวกนางสามคนไม่ยอมกลับมา?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ ไม่รู้สึกแปลกใจต่อเรื่องนี้เท่าใดนัก สายโลหิตท่านตามีผู้คนเหลืออยู่ไม่มากนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั้งสามไม่ต้องการจะมาเข้าร่วมด้วย พยายามที่จะแยกตัวออกไป
ในตอนนี้เองที่ประตูห้องจู่ๆ ก็เปิดออก และไว่ผอก็เดินออกมาโดยที่ไม่มีผู้ใดมาช่วยพยุง “เมื่อพวกนางไม่ยอมกลับมา ก็ให้ตัดออกจากตระกูลไปตลอดกาล”
สมาชิกสายโลหิตทั้งหมดก้มศีรษะลงด้วยความเคารพในทันที เมิ่งฮ่าวรีบลุกขึ้นมายืนและประสานมือ
“เฉินเอ๋อร์ สองคนสุดท้ายที่ไม่ยอมกลับมา ให้เจ้าไปนำตัวมา” ไว่ผอกล่าวเสียงราบเรียบ หลังจากการพักฟื้นไม่กี่วันมานี้ ท่านดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากนัก และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ท่านเป็นเสาหลักของสายโลหิตมานานแล้ว แต่ก็สูญเสียความน่าเกรงขามไปในตอนที่ร่างกายเริ่มอ่อนแอและเริ่มไม่อาจจะควบคุมตนเองได้ ตอนนี้ท่านฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว จึงเริ่มกระจายกลิ่นอายของผู้นำตระกูลขึ้นมาอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังได้ตระหนักดีถึงสถานการณ์ระหว่างเมิ่งฮ่าวและพันธมิตรเทพสวรรค์ และระมัดระวังไม่ให้ตระกูลต้องไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นท่านจึงไม่ยอมพูดถึงเขาในฐานะที่เป็นฮ่าวเอ๋อร์ แต่กลับใช้นามของเมิ่งเฉินแทน
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น เมื่อได้เห็นไว่ผอเป็นเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดด้วยการกลับมาควบคุมสายโลหิตอีกครั้งของท่าน หน้าที่การช่วยให้สายโลหิตมีชื่อเสียงขึ้นมาก็ไม่ได้ตกอยู่บนบ่าของเขาแต่เพียงผู้เดียว
“ถ้าพบกับการต่อต้าน ข้าควรทำอย่างไร?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น
“สังหารพวกนาง!” ไว่ผอกล่าวตอบในทันที ถึงแม้ว่าคำพูดนี้ไม่ได้กล่าวด้วยเสียงที่ดังมากนัก แต่ก็ดังก้องไปมาอยู่ในหูของคนทั้งหมดราวกับเป็นเสียงฟ้าร้อง เวลาเดียวกันนั้นกลิ่นอายอันน่ากลัวซึ่งถูกกลบฝังอยู่ภายในร่างท่านมานานมากแล้วก็เริ่มกระจายออกมา
“พวกเราถูกขับไล่ออกมานานแล้ว ถึงเวลาที่จะย้ำเตือนให้ตระกูลเมิ่งรู้ว่าพวกเราคือใคร!” ไว่ผอกล่าวต่อไป ไว่ซูกงทั้งสองของเมิ่งฮ่าวโผล่ออกมาจากห้อง ไม่ได้ถูกขังอยู่แต่บนเก้าอี้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะยังคงอ่อนแออยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
ตอนนี้สมาชิกสายโลหิตทั้งหมดในบริเวณนั้น กำลังมองไปยังไว่ผอด้วยความตื่นเต้น
“ขอปฏิบัติตามคำสั่ง” เมิ่งฮ่าวกล่าว ประสานมือและโค้งตัวลง จากนั้นก็หันหลัง ทิ้งให้อ๋าวเฉี่ยนคอยปกป้องสายโลหิตของตระกูล แต่ก็นำเมิ่งหรูจากไปด้วย
ไม่นานต่อมาคนทั้งสองก็หายตัวไป ไว่ผอและไว่ซูกงทั้งสองมองดูพวกเขาจากไป ดวงตาลุกโชนขึ้นด้วยความศรัทธาและความมุ่งหวังแห่งอนาคต
ขณะที่เมิ่งฮ่าวกำลังช่วยเหลือสายโลหิตท่านตาให้มีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้ง ใครบางคนได้ปรากฏกายขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเลที่แปด เป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดยาวสีม่วงก้าวเนิบนาบตรงมา ตอนนี้มันกำลังมองไปยัง…ตระกูลเมิ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าอยู่ที่นั่น…” บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม มันคือจี้ตงหยางนั่นเอง!
เวลาเดียวกันนั้น เต่ายักษ์ตัวหนึ่งกำลังลอยอยู่ตรงบริเวณอื่นของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเลที่แปด ขณะที่หลับอยู่ก็ส่งเสียงกรนออกมา บนหลังของมันเป็นทวีปขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย
ทันใดนั้นดวงตาของเต่าก็ลืมขึ้นมาในทันที ขณะที่ตื่นจากการหลับใหล สาดประกายขึ้นราวกับเป็นโคมไฟอันเจิดจ้า มองออกไปในความมืดมิดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
“บัดซบ เหลาจู่ (ปรมาจารย์) เพิ่งจะฝันร้าย ฝันว่าเจ้าสารเลวน้อยเมิ่งฮ่าวติดตามมายังขุนเขาทะเลที่แปด ฮา ฮา ฮา ช่างเป็นฝันที่น่าขำจริงๆ! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
“ไม่มีทางที่เจ้าเด็กน้อยนั่นจะหาเหลาจู่พบในที่แห่งนี้ บัดซบ! ทำไมต้องฝันเช่นนั้นด้วย? มันเป็นลางสังหรณ์ที่เลวร้าย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหลาจู่ฝันว่ากำลังเป็นอาชาให้มันขับขี่!”
เต่ายักษ์นี้คือปรมาจารย์เอกะเทวะที่หวาดกลัวต่อเมิ่งฮ่าวอย่างแท้จริงนั่นเอง มันส่งเสียงแผดร้องออกมา มองไปรอบๆ ด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์อยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็หลับตาลงและหลับใหลต่อไป
น่าแปลกใจยิ่งที่มีเงาร่างลึกลับปรากฏขึ้นใกล้กับปรมาจารย์เอกะเทวะ เป็นเงาร่างที่มันไม่เคยรับรู้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าเงาร่างเหล่านั้นกำลังตามรอยมันมาอยู่ในตอนนี้
บางสิ่งบางอย่างในขุนเขาทะเลที่เจ็ดกำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนี้…สำนักทั้งหมดในที่แห่งนั้น รวมทั้งตระกูลต่างๆ กำลังรวบรวมกำลังพลกันอยู่ กองกำลังนักรบขนาดใหญ่ค่อยๆ เรียงแถวกันเป็นระเบียบอย่างช้าๆ มีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน ตรงตำแหน่งผู้นำของกองกำลังขนาดใหญ่นั้น มียอดเขาขนาดใหญ่มากลอยตัวอยู่ ตรงจุดบนสุดกระจายเป็นระลอกคลื่นที่แข็งแกร่งออกมา มองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าบนยอดเขานั้นมีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ มองตรงไปยังขุนเขาที่แปดด้วยดวงตาที่เจิดจ้า
จากนั้นเงาร่างนั้นก็เริ่มกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงที่เก่าแก่โบราณ “ข้าไม่ต้องการทำสงครามนี้จริงๆ แต่…ก็ไร้ทางเลือกใดๆ มันคือภารกิจของข้า…บางทีข้าอาจจะไม่ใช่คนเดียวที่เป็นเช่นนี้…มันไม่ใช่การทรยศ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องทรยศ แต่…ทำไมข้าถึงรู้สึกเจ็บปวดใจนัก…”
กองกำลังอันน่ากลัวนี้เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนนับล้าน จัดเรียงกันเป็นค่ายกลที่ดูเหมือนกับเป็นมังกรโบราณขนาดใหญ่ กระจายกลิ่นอายอันน่ากลัวออกมาอย่างเข้มข้น ขณะที่เริ่มเข้าไปใกล้กับขุนเขาทะเลที่แปดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย