ตอนที่ 1265
กลับมา
เมิ่งฮ่าวเคลื่อนย้ายทางไกลเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกสีดำ เวลาเดียวกันนั้นที่ห่างไกลออกไปในความมืดมิด และไกลเกินกว่าทวีปของตระกูลเมิ่ง เงาร่างๆ หนึ่งลอยตัวอยู่ที่นั่น ห่างไกลจากเมิ่งฮ่าว กำลังจ้องมองมาที่เขา
มันคือบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดยาวสีดำ เส้นผมลอยพลิ้วไปมา และบางครั้งก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว น้อยคนนักที่จะสามารถตรวจพบการคงอยู่ของมันได้
มันคือ…จี้ตงหยางแห่งขุนเขาทะเลที่เก้านั่นเอง!!
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวออกมาจากขุนเขาทะเลที่แปด มันก็ติดตามมา และตอนนี้ก็มาอยู่ที่นี่ กำลังมองตรงไปยังเมิ่งฮ่าว!
ดูเหมือนว่าจี้ตงหยางจะรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ดวงตาก็สาดประกายขึ้น มันเฝ้าจับตาดูเมิ่งฮ่าวเป็นเวลาสามวันแล้ว และตอนนี้ใบหน้าก็มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้น
“เมิ่งฮ่าวผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้พลังสาปแช่งแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดยากจะจัดการได้ ก็ไม่น่าจะทำให้มันต้องมีปัญหามากนัก…”
ดวงตาจี้ตงหยางสาดประกายขึ้นด้วยความเด็ดเดี่ยว ขณะที่ถอยไปทางด้านหลังและจากนั้นก็หายตัวไป
ในตอนที่มันหายตัวไป เมิ่งฮ่าวกำลังนั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่ที่ด้านบนของทวีปตระกูลเมิ่ง ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกสีดำ แต่ดวงตากับสาดประกายขึ้น ขณะที่จ้องมองออกไปยังทิศทางที่จี้ตงหยางหายตัวไป
พลังสาปแช่งนั้นไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็ดังเช่นจี้ตงหยางได้กล่าวไว้ มันไม่อาจจะทำให้เมิ่งฮ่าวต้องยุ่งยากลำบากแม้แต่น้อย
เมื่อสามวันก่อน ตอนที่เมิ่งฮ่าวกำลังจะกำจัดกลุ่มหมอกไป จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงวิกฤตที่ใกล้เข้ามาจากทิศทางของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเป็นสิ่งที่เขาแทบไม่เคยจะรู้สึกมาก่อน เห็นได้ชัดว่าการดูดซับผลเนี่ยผานลูกที่สี่เข้าไปได้โดยสมบูรณ์ ทำให้การรับรู้ของเขาเฉียบคมมากขึ้นกว่าเดิม
เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจถึงแหล่งที่มาของอันตรายนั้น แต่ก็ตัดสินใจที่จะยืดเวลาในการกำจัดคำสาปแช่งออกไป ด้วยความหวังว่าจะสามารถลากใครก็ตามที่เป็นภัยคุกคามนี้ออกมา แต่บุคคลผู้นั้นก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลาสามวัน มันก็ยอมล้มเลิกไป
หลังจากที่ครุ่นคิดเสร็จสิ้น เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดมือขวาออกไป ทำให้กลุ่มหมอกคำสาปแช่งสีดำเริ่มม้วนตัวไปมา ไม่นานหลังจากนั้นก็เริ่มไปรวมตัวกันอยู่ภายในร่าง ช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจได้ว่าต้องใช้เวลาเพียงแค่ธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอกเท่านั้น เพื่อเผาไหม้กลุ่มหมอกสีดำให้หายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง
มีเพียงส่วนเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือ จุดสีดำเล็กๆ บนปลายนิ้วของเมิ่งฮ่าวเท่านั้น อย่างน่าตกใจยิ่ง นั่นคือพลังคำสาปแช่งทั้งหมดที่มารวมตัวกันและถูกกลั่นสกัดอยู่ตรงนั้น
เมิ่งฮ่าวมองไปยังปลายนิ้วสีดำสนิทและคิดว่า “การกำจัดพลังคำสาปแช่งทิ้งไป เป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงนัก ข้ามั่นใจว่าสามารถจะใช้มันไปยังใครบางคนได้”
หลังจากที่มองออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อและหายตัวไป เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขาก็ย้อนกลับไปอยู่ที่ทวีปตระกูลเมิ่ง จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังสถานที่ตั้งของไว่ผอ
ไว่ผอกำลังเฝ้ารอคอยเขาด้วยความวิตกมาหลายวันแล้ว ดังนั้นเมื่อเมิ่งฮ่าวกลับมา ท่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความรักใคร่อย่างไร้ขอบเขต เมิ่งฮ่าวเป็นหลานชายของท่าน และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีสายโลหิตที่เชื่อมต่อกับคนอื่นๆ อย่างแนบแน่น แต่ก็ยังคงเป็นเชื้อสายโดยตรงของท่าน
หลังจากที่เมิ่งฮ่าวกลับมา กลุ่มคนทั้งหมดต่างก็ทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสองจิ้วจิ่วและสามจิ้วหมู่ หรือแม้แต่สองไว่ซูกงของเมิ่งฮ่าว ตอนนี้พื้นฐานฝึกตนของพวกท่านได้กลับคืนไปสู่จุดสูงสุดของแต่ละคนเหมือนก่อนหน้านี้!
ไว่ซูกงทั้งสองของเมิ่งฮ่าวอยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะยังไม่ก้าวเข้าไปในอาณาจักรเต๋า แต่ก็สามารถจะต่อสู้กับผู้ฝึกตนเสมือนเต๋าได้
สำหรับไว่ผอ ท่านก็อยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้เมื่อพื้นฐานฝึกตนของท่านฟื้นกลับคืนมา เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะรู้สึกได้ถึงความผันผวนที่โดดเด่นบางอย่างบนร่างท่าน เห็นได้ชัดว่า…ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเมิ่งเอง
ในตอนนี้คนทั้งหมดกำลังเตรียมตัว…ที่จะกลับไปยังตระกูล!
“ถึงเวลาที่จะกลับไปจัดการเรื่องราวในตระกูลเมิ่งแล้ว สิ่งที่เป็นของพวกเรา ก็จะเป็นของพวกเราต่อไป” ไว่ผอพึมพำ ประกายตาของท่านถูกกลบฝังไว้นานมากแล้ว เมื่อยืนอยู่ที่นั้นพร้อมกับไว่ซูกงทั้งสอง เสียงกระหึ่มก็เริ่มดังก้องออกมา
“ถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว พวกเรา…กำลังจะกลับบ้านไป!” ด้วยเช่นนั้น ท่านจึงก้าวเดินตรงไป พร้อมกับไว่ซูกงทั้งสองของเมิ่งฮ่าว, สองจิ้วจิ่วและสามจิ้วหมู่ คนทั้งหมดกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังทวีปที่อยู่ตรงกลางของตระกูลเมิ่ง
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่ง ขณะที่ติดตามไปอยู่ข้างกายไว่ผอ สำหรับสมาชิกอื่นๆ ของสายโลหิต ต่างก็ถูกสั่งให้อยู่ด้านหลัง ถึงแม้ว่าพื้นฐานฝึกตนของพวกมันจะสูงกว่าก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่สูงพอที่จะปล่อยให้มาเข้าร่วมในการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่เมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ พุ่งตรงไปยังทวีปหลัก ใช้เวลาแค่ช่วงสั้นๆ ก่อนที่คนทั้งหมดจะไปถึงคฤหาสน์บรรพชน
สีหน้าของไว่ผอและไว่ซูกงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อน สำหรับจิ้วจิ่วและจิ้วหมู่ แววตาพวกท่านมีร่องรอยแห่งการหวนรำลึกปรากฏขึ้น พวกท่านถูกขับไล่ออกไปจากสถานที่แห่งนี้หลายปีมากแล้ว และไม่เคยคาดคิดว่าจะสามารถกลับมาได้ แต่ตอนนี้…พวกท่านก็มาอยู่ยังที่แห่งนี้แล้ว
เหตุผลเดียวเท่านั้นที่พวกท่านสามารถจะทำได้เช่นนี้ ก็เนื่องมาจากเมิ่งฮ่าว และถึงแม้ไม่อาจจะบอกได้ถึงสีหน้าของพวกท่านในตอนที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว แต่จิตใจพวกท่านก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้
คฤหาสน์บรรพชนตระกูลเมิ่ง ถูกปกคลุมด้วยเกราะป้องกันที่เปล่งแสงระยิบระยับ ซึ่งก็คือค่ายกลเวทเกราะป้องกันอันยิ่งใหญ่ของตระกูล เมิ่งฮ่าวเคยถูกเกราะป้องกันนี้บดขยี้มาก่อน ทำให้รับรู้ได้ว่ามันมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน เมื่อเขากำลังจะก้าวเดินตรงไป ไว่ผอก็ยื่นมือมาขวางกั้นไว้
“ฮ่าวเอ๋อร์ ไว่ผอจัดการเวทป้องกันนี้เอง” ท่านกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็ชี้นิ้วตรงไปยังค่ายกลเวทอันยิ่งใหญ่นั้น
การชี้นิ้วออกไปนี้ ทำให้ค่ายกลเวทอันยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัว เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที จากนั้นรอยแตกร้าวก็กระจายออกไปทั่วทั้งพื้นผิวของมัน
หนึ่งในสองไว่ซูกงของเมิ่งฮ่าวหันหน้ามาอธิบาย
“ทักษะเกี่ยวกับค่ายกลเวทของไว่ผอเจ้า เป็นสิ่งที่น้อยคนนักในขุนเขาทะเลที่แปดจะเทียบได้ หลังจากที่แต่งเข้ามาในตระกูลเมิ่ง นางก็รับผิดชอบในการรักษาและปรับแต่งค่ายกลเวทป้องกันของตระกูล นอกจากท่านปรมาจารย์แล้ว ไม่มีใครในตระกูลที่จะเข้าใจการทำงานของค่ายกลได้ดีไปกว่านางอีกแล้ว”
“ค่ายกลเวทนี้…คือของวิเศษอันล้ำค่าที่แข็งแกร่งมากที่สุดของไว่ผอเจ้า”
จากนั้นไว่ซูกงก็กลายเป็นลำแสง พุ่งตรงเข้าไปในคฤหาสน์บรรพชนตระกูลเมิ่ง
เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็มองไปยังไว่ผอ และยิ้มออกมาขณะที่ติดตามท่านไป
การเข้ามาในคฤหาสน์บรรพชนของคนทั้งหมด ทำให้ทั่วทั้งตระกูลตกอยู่ในความปั่นป่วนโกลาหลในทันที สายโลหิตทั้งเก้าต่างก็เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว อันเนื่องมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ และตอนนี้เมื่อค่ายกลเวทกำลังส่งเสียงดังกระหึ่มและเกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้น ผู้คนมากมายก็บินออกมาเพื่อสังเกตการณ์
ในชั่วพริบตาลำแสงนับร้อยก็บินตรงมายังทิศทางนี้
“เมิ่งเฉิน เจ้ากำลังจะ…หือ?” ใครบางคนแผดร้องตะโกนออกมา แต่ก็ต้องหยุดพูดไปในทันที ไม่ใช่มันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตกตะลึง คนทั้งหมดกำลังจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจยังไว่ผอและคนอื่นๆ
“เจ้า…เจ้าคือ…”
“พวกมัน…”
ในที่สุดกลุ่มคนก็เริ่มจดจำได้ว่าผู้ที่เพิ่งจะมาถึงนี้คือใคร ถึงแม้ว่าคนที่จดจำได้จะเป็นกลุ่มผู้ชราเท่านั้นก็ตามที ซึ่งในตอนนี้ใบหน้าพวกมันต่างก็เต็มไปด้วยความตกใจ
“จำได้แล้ว? ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เหล่าฟู เมิ่งหง!”
หนึ่งในสองไว่ซูกงของเมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ก้าวเดินตรงไป เมื่อเท้าของท่านเหยียบย่างลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง และกลุ่มเมฆที่ด้านบนก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน ราวกับว่าสายฟ้ากำลังจะฟาดลงมา และเสียงกระหึ่มจำนวนมากก็ดังก้องออกไปทั่วทั้งคฤหาสน์บรรพชน
ขณะที่พื้นดินสั่นสะเทือน ไว่ซูกงอีกคนของเมิ่งฮ่าวก็ก้าวเดินตรงไปด้วยสีหน้าที่เย็นชา เสียงของท่านแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกรีดร้องของอสรพิษ ทำให้เกิดเป็นเสียงแหลมเล็กเจาะไชเข้าไปยังคนทั้งหมดที่ได้ยินคำพูดของท่าน
“เหล่าฟูเมิ่งเหยี่ยน ผ่านไปแค่ไม่กี่ร้อยปี น่าจะมีคนไม่น้อยที่จดจำเหล่าฟูได้”
เสียงหอบหายใจได้ยินออกมาจากท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลเมิ่งนับร้อยที่อยู่เบื้องหน้าขึ้นไป
“สายโลหิตที่สิบ พวกมันคือสายโลหิตที่สิบ…”
“ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพวกเราว่าสายโลหิตที่สิบหรือสายโลหิตแรก วันนี้…พวกเรากลับมาแล้ว” ไว่ผอกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ โบกสะบัดมือออกไป ทำให้ค่ายกลเวทป้องกันทั้งหมดเริ่มส่งเสียงกระหึ่มกึกก้องขึ้น เสียงนั้นดังมากจนน่าเหลือเชื่อ และรวมเข้าด้วยกันกับเสียงของไว่ผอ จนกระทั่งม้วนกวาดออกไปรอบๆ บริเวณนั้น กลายเป็นลมพายุ!
ในตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงกระหึ่มดังก้องออกมาจากภายในอาณาเขตทั้งเก้าของคฤหาสน์บรรพชนตระกูลเมิ่ง ลำแสงจำนวนมากพุ่งออกมาราวกับเป็นสายฟ้า มีลำแสงนับหมื่นเต็มไปทั่วท้องฟ้าตรงด้านบนตระกูลเมิ่ง
บนพื้นดินด้านล่างก็มีสมาชิกของตระกูลเมิ่งมากไปกว่านั้น พวกมันกำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้าด้วยสีหน้าตกใจ ขณะที่ค่ายกลเวทส่งเสียงกระหึ่มตอบรับเสียงของไว่ผอ
ในที่สุดสายตาทุกคู่ก็ไปรวมกันอยู่บนร่างไว่ผอ จากนั้นผู้แข็งแกร่งที่กำลังตกใจของตระกูลก็สังเกตเห็นว่าเมิ่งฮ่าวกำลังยืนอยู่ด้านหลังขวามือของไว่ผอ และพวกมันก็หอบหายใจออกมา
ไว่ผอยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าราบเรียบ มองไปรอบๆ สำหรับท่านแล้ว สามารถจะแยกความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนในสายโลหิตทั้งเก้าได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเสียงแค่นเย็นชา ท่านเริ่มก้าวเดินตรงไป และไม่มีใครเคลื่อนที่ออกมาขัดขวางแม้แต่น้อย
ตอนนี้ไม่มีใครต้องการจะมาหาเรื่องสายโลหิตที่สิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเมิ่งฮ่าวก็อยู่ด้วย การต่อสู้ของเขากับปรมาจารย์ตระกูลเมิ่ง ทำให้เกิดเป็นความหวาดกลัวอยู่ในส่วนลึกจิตใจของคนที่มุงดูอยู่ทั้งหมด
ก่อนที่ไว่ผอจะเดินไปได้ไกลกว่านี้ จู่ๆ ท่านก็มองลงไปยังคฤหาสน์บรรพชน ตรงไปยังหนึ่งในห้องโถงที่ถูกห้อมล้อมด้วยห้องโถงขนาดเล็กกว่า และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่รวมตัวกันจนดูเหมือนกับเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
“นั่นคือสถานที่ซึ่งหมู่ชิน (มารดา) ของฮ่าวเอ๋อร์เคยอาศัยอยู่…ทุกคนที่อยู่ในนั้นให้ใสหัวออกมาเดี๋ยวนี้…พวกเรากลับมาแล้ว” ไว่ผอกล่าวขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ แต่ก็เกิดเป็นพลังสะกดข่มพุ่งกระจายออกไป
กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมีโทสะขึ้นมาในทันที
“มากเกินไปแล้ว!!”
“นั่นคือบ้านบรรพบุรุษของสายโลหิตที่เจ็ด! บังอาจ!!”
ต่อมา เสียงอันเย็นชาก็ดังก้องออกมาจากห้องโถงขนาดใหญ่นั้น “หลิวซิ่ว มากเกินไปแล้ว”
ชายชราศีรษะขาวโพลนโผล่ออกมา พื้นฐานฝึกตนอยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณ
“เจ้ายังคงจำเหล่าเซิน (คำเรียกตัวเองของหญิงชรา) ได้เช่นกัน ในปีนั้นไม่ใช่เจ้าที่มองดูพวกเราถูกไล่ล่าสังหาร โดยที่ไม่ยอมช่วยเหลือ? ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้ทุ่มหินใส่ตอนที่พวกเราล้มลงอีกด้วย” ไว่ผอกล่าวขึ้น ดวงตาสาดประกายรังสีสังหาร โบกสะบัดมือขวาออกไป ทำให้ค่ายกลเวทป้องกันตระกูลเมิ่งมารวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะ