ตอนที่ 1304
เต่าชราเอกะเทวะ
เวลาเดียวกันนั้น เสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ก็ดังก้องออกมาจากขุนเขาที่เก้า ทั่วทั้งขุนเขาสั่นสะเทือนขณะที่เจตจำนงตื่นขึ้นมา พุ่งกระจายออกปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้า
ดวงตาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือขุนเขาที่เก้า ซึ่งดูเหมือนว่าจะลุกโชนขึ้นด้วยเปลวไฟแห่งโทสะ แต่ในที่สุดเปลวไฟนั้นก็มอดดับลง และภายในม่านตาของมัน เริ่มมองเห็นเป็นภาพของชายชราผู้หนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ มันก็เริ่มหัวเราะขึ้นมาในทันที
“ไม่รู้ว่า ควรจะขอบคุณเจ้า หรือเกลียดเจ้ากันแน่…” ชายชราพึมพำ
“การที่ทำไม่สำเร็จ เหล่าฟูไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่ก็คาดไม่ถึงด้วยเช่นกันว่า…ถ้าทำได้สำเร็จ นับจากนี้ไปเหล่าฟูก็จะไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป เส้นใยแห่งเจตจำนงนั้นจะทำให้ร่างจริงของเหล่าฟูมีความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากราชันขุนเขาทะเลที่อ่อนแอมากที่สุด จะกลายเป็นผู้ที่สามารถท้าทายตี้จ้างต้าจุนได้”
“ถึงแม้ว่าความล้มเหลวนั้นจะทำให้ข้าสูญเสียโอกาสที่จะแข็งแกร่งเช่นนั้น แต่ตอนนี้เมื่อเส้นใยแห่งเจตจำนงนั้นถูกทำลายไปแล้ว ในที่สุด…ข้าก็ได้สติกลับคืนมาโดยสมบูรณ์” ชายชราพึมพำ ร่างกายตกอยู่ในท่ามกลางความผันผวน ราวกับว่าได้หลับใหลมาเป็นเวลานาน แต่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาในตอนนี้
“เมิ่งฮ่าว…” ชายชราเงยหน้าขึ้น มองออกไปยังที่ห่างไกล หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก็หลับตาลงอีกครั้ง
เวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปยังขุนเขาทะเลที่แปด เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมา ภายในร่างเกิดเป็นเสียงดังก้องราวกับเป็นเสียงฟ้าคำราม อาการบาดเจ็บในตอนนี้ หายดีเกือบหมดแล้วโดยสิ้นเชิง
การยึดครองร่างของจี้ตงหยางล้มเหลวไป และจบลงด้วยการถูกตันหลางดูดกลืนแก่นพลังชีวิตลงไป กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งพลังที่จะช่วยเมิ่งฮ่าวรักษาอาการบาดเจ็บภายในร่างได้ทั้งหมด ในความเห็นของเมิ่งฮ่าวแล้วก็ดูเหมือนว่าจี้ตงหยางไม่ได้พยายามยึดครองร่างเขาจริงๆ แต่เสนอตัวมาช่วยฟื้นฟูร่างกายของเขาแทน
ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าจี้ตงหยางลงมือในช่วงเวลาที่เขาวิกฤตอย่างแท้จริง แต่การต่อสู้ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อยึดครองร่าง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจจะนำไปสู่ความตาย และจี้ตงหยางก็ทำพลาดไปแล้ว
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า ขณะที่นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงของการต่อสู้ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดดวงตาที่สาดประกายวาววับของเขาก็จางหายไป
เขาไม่ได้ใช้เวลามากนักในการขบคิดเรื่องราวของจี้ตงหยาง ถึงแม้ว่าจะได้ชัยชนะมาจากการต่อสู้ยึดครองร่างก็ตามที เมิ่งฮ่าวยังคงตกอยู่ในอันตราย เขาไม่เคยชอบตระกูลจี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่หลังจากสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าจะต้องพบเจอกับจี้เทียนอีกครั้งในวันข้างหน้า และเรื่องราวทั้งหมดก็จะได้ข้อสรุปในตอนนั้น
“ตอนนี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ราชันแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวที่จะเอาชนะมันได้!”
เมิ่งฮ่าวไปปรากฏกายขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ขณะที่ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้พุ่งออกไป ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่แปด
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวมองเห็นทุกสรรพสิ่งที่คงอยู่ในขุนเขาทะเลที่แปดได้ในจิตใจ เขามองเห็นผู้ฝึกตนกำลังต่อสู้กันในสนามรบ มองเห็นซากศพและซากปรักหักพังนับไม่ถ้วน และมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงมุมห่างไกลออกไปของขุนเขาทะเลที่แปดอีกด้วย
เป็นดินแดนขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายเกาะเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งภูเขาและแม่น้ำ เมืองและสำนัก มนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตน ทั้งหมดนั้นอยู่บนดินแดนที่กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ดูเหมือนว่ามันจะลอยไปอย่างไร้จุดหมาย ในท่ามกลางภูเขาทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนั้น แน่นอนว่าต้องมีภูเขาลูกหนึ่งที่คงอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวไปตลอดกาล นั่นก็คือ…ภูเขาต้าชิง
ด้านล่างของดินแดนขนาดใหญ่นั้นคือเต่าชราขนาดใหญ่มหึมา ที่แบกดินแดนนั้นอยู่บนหลังของมัน ตอนนี้มันกำลังอ้าปากหาวขึ้นมาด้วยความเกียจคร้าน ขณะที่ลอยตัวไปเรื่อยๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นก็เริ่มขับร้องบทเพลงจนดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง
ในทันทีที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวม้วนกวาดตรงไปยังเต่าชราตัวนั้น มันก็สั่นสะท้านขึ้นและหยุดขับร้องในทันที ดวงตาเบิกกว้างขึ้น เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ฉับพลันนั้นก็หมุนตัวมองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และจากนั้น…ก็ส่งเสียงแผดร้องอย่างน่าสังเวชออกมา
“สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั่น…บัดซบ! ก็คือเจ้า! เจ้าสารเลวน้อย! อ๊ากกกกก เหลาจู่ (ปรมาจารย์) หลบหนีมาจนถึงที่นี่ แต่เจ้า เจ้า…เจ้ากลับตามหาข้าจนพบได้จริงๆ!!”
เต่าชราตัวนั้น ก็คือปรมาจารย์เอกะเทวะ
อารมณ์ดีก่อนหน้านี้ของมันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองขึ้นมาในทันที มันเพิ่งจะรู้สึกสบายใจอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้กำลังสั่นสะท้านไปมาด้วยความขุ่นเคือง, เสียใจ, บ้าคลั่งและหงุดหงิด เพื่อที่จะหลบหนีเมิ่งฮ่าว มันต้องออกมาจากดาวหนานเทียน
และไปยังดาวตงเซิ่ง จากนั้นก็หลบหนีเข้าไปในเศษซากเซียน และในที่สุดก็พุ่งผ่านเกราะป้องกันระหว่างขุนเขาทะเลที่เก้าและแปดมา
มันคิดว่าคงจะไม่พบกับเมิ่งฮ่าวอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้ แล้วมันจะคาดคิดได้อย่างไรว่า…ต้องมาพบกับเขาอีกครั้งในตอนนี้?
“บัดซบ บัดซบ! เจ้าคนพาลที่สุดจะทน!! เหลาจู่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!!”
เต่าชราแผดร้องคำราม ด้วยดวงตาที่เบิกโพลง จิตใจเต็มไปด้วยความอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวจะแข็งแกร่งจนทำให้ร่างมันต้องระเบิดออกไปได้ มันแหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องเป็นเสียงยาวออกมา ทำให้เสียงนั้นดังก้องไปทั่ว ขณะที่ร่างมันพุ่งออกไปยังที่ห่างไกลด้วยความรวดเร็วเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า
มันกำลังรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าตนเองเคยไปก่อเวรสร้างกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาพบเจอกับชะตากรรมเช่นนี้…
“บัดซบ บัดซบ บัดซบ! พันธมิตรผู้ผนึกอสูรต่างก็เป็นตัวสารเลวทั้งสิ้น! เจ้าลูกเต่า!”
“หลายปีก่อนโน้น เจ้าโรคจิตคิดว่าไม่อาจจะเอาชนะเหลาจู่ได้ด้วยตัวคนเดียว มันจึงไปหาพวกโรคจิตมาช่วยโจมตีข้า เจ้าลูกเต่า เจ้าลูกเต่า เจ้าลูกเต่า!!”
“ถ้าเจ้าต้องการเอาชนะเหลาจู่ด้วยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องการจะผนึกข้าไว้เช่นกัน เหลาจู่ไม่ยอม เหลาจู่จะไม่มีวันยินยอม!!” ขณะที่ปรมาจารย์เอกะเทวะพุ่งตัวออกไป ก็แผดร้องออกมาด้วยความคับข้องใจ
ในตอนนี้เองที่แสงอันเจิดจ้าก็แวบประกายขึ้นมาอยู่บนศีรษะของมัน เป็นหญิงสาวเยาว์วัยผู้หนึ่งไปนั่งอยู่ตรงนั้น หัวเราะออกมาเป็นเสียงแผ่วเบา ใช้มือลูบไปที่ศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะ และกล่าวว่า
“เยือกเย็นไว้ ท่านปรมาจารย์ ไม่ดีใจที่จะได้พบกับสหายเก่า?”
“ผายลม! พันธมิตรผู้ผนึกอสูรต่างก็เป็นเจ้าลูกเต่าทั้งสิ้น และเจ้าสารเลวน้อยนี้ก็เป็นเจ้าลูกเต่าในลูกเต่า!” ด้วยความอึดอัดใจอย่างเต็มที่ ปรมาจารย์เอกะเทวะสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นสะท้าน พลังแห่งฟ้าดินอันไร้ขอบเขตไหลตรงมาและมันก็ดูดกลืนเข้าไป จากนั้นก็ระเบิดเป็นความรวดเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งจนหายลับตาไป
ตรงตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกแห่ง ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น
“พบแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าว แค่นเสียงเย็นชา เขารู้สึกคุ้นเคยกับเต่าชราเอกะเทวะนี้จนไม่อาจจะคุ้นเคยมากไปกว่านี้อีกแล้ว คนทั้งสองต่อสู้กันไปมามากกว่าหนึ่งครั้งเมื่อในอดีต
“ครั้งนี้มาดูกันว่าเจ้าจะหลบหนีไปได้อย่างไร!” เมิ่งฮ่าวก้าวเดินตรงไปข้างหน้า จากนั้นก็หายตัวไป เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้งจากการเคลื่อนย้ายทางไกล เขาก็อยู่ห่างไกลออกไป และทันใดนั้นก็มองเห็นปรมาจารย์เอกะเทวะที่กำลังหลบหนีจากไปด้วยความหวาดกลัว
“เต่าชรา หยุด!” เมิ่งฮ่าวร้องตวาดขึ้นด้วยเสียงอันน่าตกใจ
“เจ้าสารเลวน้อย อย่ามารบกวนข้า!” ปรมาจารย์เอกะเทวะร้องตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน และยังได้พ่นแก่นวิญญาณของมันออกมา เพื่อให้ตนเองพุ่งผ่านเข้าไปในความว่างเปล่า ด้วยความรวดเร็วเพิ่มขึ้นอีกด้วย
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกครั้งที่นึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองและเต่าชราตัวนี้ ก็ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ช่วงเวลาที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องราวในปีนั้นก็กลายเป็นความทรงจำอันงดงามมากที่สุดสำหรับเขา
ตอนนี้เมื่อเต่าชรากำลังหลบหนีจากไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น เมิ่งฮ่าวก็แค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมา ทำท่าคว้าจับออกไปด้วยเวทปลิดดาว ทันใดนั้นหางน้อยๆ ของเต่าชราก็ถูกคว้าจับไว้ได้
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น และหนังศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะก็คล้ายจะระเบิดออกไป ความรู้สึกที่หางของตนเองถูกคว้าจับไว้ ทำให้มันเต็มไปด้วยโทสะ แสงอันโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นในแววตา หันร่างขนาดใหญ่โตของมันมาด้วยความว่องไวจนน่าตกตะลึง จากนั้นสีหน้าก็ดุร้ายขึ้น ขณะที่อ้าปากงับไปยังร่างของเมิ่งฮ่าว
“สารเลวน้อย เหลาจู่จะมอบโชควาสนาให้กับเจ้า!”
“หือ?” เมิ่งฮ่าวไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยงไปทางด้านข้าง แค่ยืนลอยตัวอยู่ที่นั่น ปรมาจารย์เอกะเทวะอ้าปากค้าง แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจและบ้าคลั่ง
“เมิ่งฮ่าว เจ้าสารเลวน้อย พวกเรามาต่อสู้กัน ไม่ตายไม่เลิกลา!” มันแผดร้องคำราม พลังพุ่งขึ้นไป คล้ายกับว่ามันกำลังจะทุ่มออกมาจนสุดตัวเพื่อต่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งจริงๆ
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ทันใดนั้นก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อตระหนักว่าถึงแม้ปรมาจารย์เอกะเทวะจะดูเหมือนว่าเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง และกำลังจะต่อสู้กันจนตาย แต่ความจริงแล้วมันกำลังถอยไปทางด้านหลัง ความรู้สึกนี้เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยเป็นอย่างดี และทันใดนั้นก็นึกไปถึงผู้ฝึกตนกายเนื้อที่แปลกประหลาดในทะเลที่เก้า ซึ่งเคยทำสิ่งเดียวกันนี้มาก่อน ปรมาจารย์เอกะเทวะและผู้ฝึกตนกายเนื้อนั้นเหมือนกันเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
ปรมาจารย์เอกะเทวะพุ่งตัวหลบหนีไปอีกครั้งในทันที ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ค่อนข้างจะห่างไกลออกไปอย่างรวดเร็ว มันกำลังทุ่มออกมาจนสุดตัว…เพื่อหลบหนี! นอกจากนั้น แสงแห่งความอิ่มเอมใจก็ปรากฏขึ้นในแววตาของมัน
“เจ้าสารเลวน้อยเทียบกับเหลาจู่ไม่ได้ในแง่ของความฉลาด ฮา ฮา ฮา! มันคิดว่าข้าจะต่อสู้กับมันจนตาย แต่กลายเป็นว่าแผนการที่แท้จริงของเหลาจู่ก็คือหลบหนี!”
ในขณะที่ปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังดีใจในท่ามกลางการหลบหนี และกำลังเริ่มรู้สึกพึงพอใจในตนเอง เสียงระเบิดก็ดังก้องขึ้น และความว่างเปล่าที่ด้านหน้ามันก็แตกกระจายไป รอยแตกขนาดใหญ่เปิดอ้าขึ้น และลมพายุก็พุ่งออกมา สกัดกั้นเส้นทางของปรมาจารย์เอกะเทวะไปจนหมดสิ้น
ดวงตาที่โปนโตของปรมาจารย์เอกะเทวะเบิกกว้างขึ้น และรีบเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว แต่เพียงชั่วขณะเหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่มันเปลี่ยนทิศทางไปอีกครั้ง
แน่นอนว่าเมิ่งฮ่าวอยู่ตรงหางของมัน ติดตามไปด้วยความสบายใจและชี้นิ้วออกไปเป็นระยะ ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวบิดเบี้ยวไปมาและแตกกระจายไป จิตใจของปรมาจารย์เอกะเทวะเริ่มเต้นรัวขึ้นด้วยความตื่นตระหนก และแผดร้องออกมาในทันที “เจ้าสารเลวน้อย ทำไมถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้? เจ้าโรคจิต! พันธมิตรผู้ผนึกอสูรต่างก็เป็นพวกโรคจิตทั้งสิ้น!!”
ปรมาจารย์เอกะเทวะถูกปิดกั้นไปทุกเส้นทาง ในที่สุดมันก็สะบัดหางไปมา และทันใดนั้นทุกสรรพสิ่งรอบๆ ตัวมันก็เริ่มสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่ามันกำลังสะสมพลัง และตอนนี้ก็กำลังจะระเบิดขึ้นด้วยความพยายามจะหลบหนีจากไปเป็นครั้งสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ขณะที่มันสะสมพลังอยู่นั้น ก็คาดไม่ถึงว่ามันจะไม่หลบหนีจากไป แต่พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวแทน จิตใจมันเย่อหยิ่งเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความเชื่อว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวได้
ปรมาจารย์เอกะเทวะแผดร้องคำรามเข้าไปใกล้เมิ่งฮ่าว
“ฮึ่มมมมม! เหลาจู่ฉลาดกว่าอีกแล้ว! เมื่อเจ้าคิดว่าข้าจะต่อสู้จนตาย ข้าก็หลบหนี แต่เมื่อเจ้าคิดว่าข้าจะหลบหนี เหลาจู่ก็จะเสี่ยงชีวิตแล้ว!”
เมื่อได้เห็นพัฒนาการใหม่นี้ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าแปลกๆ ขึ้น ช่างเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริงที่เขาจะตามทันความคิดของปรมาจารย์เอกะเทวะได้ เมื่อดูเหมือนว่ามันกำลังจะหลบหนี แต่กลับโจมตีมา เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็ยกมือขึ้นมา เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่หัตถ์ยักษ์ภาพลวงตาปรากฏขึ้น ทำท่าคว้าจับตรงไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะอย่างดุร้าย
เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น เมื่อหัตถ์ยักษ์คว้าจับไปบนลำคอของปรมาจารย์เอกะเทวะ และเริ่มบีบแน่นลงไป แต่ปรมาจารย์เอกะเทวะก็แผดร้องคำรามออกมา ทำให้แสงสีทองเปล่งประกายระยิบระยับออกมาจากร่างของมัน จนหัตถ์ยักษ์ภาพลวงตาของเมิ่งฮ่าวต้องแตกกระจายไป
“ฮึ่ม! เหลาจู่คือผู้ไร้พ่าย!! สารเลวน้อยเมิ่งฮ่าว เจ้าหวาดกลัวหรือไม่?!”
มันแผดร้องออกมา มองไปยังเมิ่งฮ่าว เคราที่อยู่บนใบหน้าของมันลอยพลิ้วไปมาด้วยท่าทางแปลกๆ ทำให้ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง