Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1306

ตอนที่ 1306

ผู้ผนึกอสูรรุ่นสาม

ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกอับอายและมีโทสะเป็นอย่างยิ่ง แผดร้องคำรามออกมาและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขณะที่พยายามจะหลุดพ้นออกมาจากเวทผนึกอสูรของเมิ่งฮ่าว ตอนนี้สามารถจะมองเห็นได้ว่ามันมีโทสะมากแค่ไหน อันเนื่องมาจากตัวอักษรที่ถูกเขียนไว้บนหลังของมัน…

เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ขณะที่พยายามอ่านตัวอักษรที่บิดเบี้ยว และจางหายไปเมื่อปรมาจารย์เอกะเทวะเติบใหญ่ขึ้น ในที่สุด…สีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“เต่าของเมิ่งฮ่าว…” เขาอ่านด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง และกระแอมไอออกมาเบาๆ แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังมองเห็นอยู่นี้ จากนั้นก็คิดไปถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับกระบี่ไม้แห่งกาลเวลา และนักรบศิลาของท่านพ่อเคอ และเริ่มเข้าใจขึ้นอย่างช้าๆ

สิ่งทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในสำนักเซียนอสูรโบราณ ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่ภาพลวงตา แต่ความจริงแล้วก็คือ…ด้วยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของเยาหลิงเยี่ย (วิญญาณอสูรราตรี) ทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมา ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวรู้สึกสะท้านใจไปโดยสิ้นเชิง

“กลายเป็นว่าเต่าที่ข้าเห็นในเจดีย์ของสำนักเซียนอสูรโบราณ จริงๆ แล้วก็คือปรมาจารย์เอกะเทวะเมื่อยังเยาว์วัย?” ขณะที่เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ปรมาจารย์เอกะเทวะก็แผดร้องด้วยโทสะออกมา

“เมิ่งฮ่าวเจ้าสารเลวน้อย เหลาจู่จำได้แล้ว ข้าเคยพบเห็นเจ้าเมื่อนานมาแล้ว คาดไม่ถึงว่าเจ้า เจ้า เจ้า…จะกล้าแกะสลักตัวอักษรไว้บนหลังของข้า!!”

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวบิดเบี้ยวมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ นอกเหนือจากความภาคภูมิใจของเต่าชราแล้ว เหตุผลหลักที่ปรมาจารย์เอกะเทวะไม่ต้องการจะกลายเป็นพาหนะให้เขาก็น่าจะเป็น…ตัวอักษรที่ตนเองแกะสลักไว้บนหลังของมัน

บางทีถ้ามีใครบางคนกลายเป็นผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า และพยายามทำให้มันกลายเป็นพาหนะ…ปรมาจารย์เอกะเทวะอาจจะไม่ปฏิเสธอย่างรุนแรงเช่นนี้ก็เป็นได้

ความคิดเมิ่งฮ่าวตกอยู่ในความสับสน ในตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจเต๋าแห่งกาลเวลาได้ลึกล้ำมากขึ้น และเริ่มมีความคิดบางอย่างขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เวลาเดียวกันนั้นก็ไม่ค่อยจะรู้แจ้งแจ่มชัดเท่าใดนัก

เมิ่งฮ่าวกระแอมไอและกล่าวว่า “แค่ก แค่ก ท่านปรมาจารย์ ความดื้อรั้นไม่ใช่นิสัยที่ดีอา”

โดยไม่สนใจเสียงแผดร้องคำรามของปรมาจารย์เอกะเทวะ เมิ่งฮ่าวใช้มือขวาขยับร่ายเวท และจากนั้นก็ชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเวทผนึกอสูรก็ถูกปลดปล่อยออกไป กระทบไปบนร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะ ทำให้มันสั่นสะท้าน สัญลักษณ์เวทสีทองที่อยู่รอบๆ ตัวมันเปล่งประกายเป็นแสงเจิดจ้าขึ้นมา สะกดมันไว้โดยสิ้นเชิง

ในตอนนั้นเองที่ปรมาจารย์เอกะเทวะถูกตรึงนิ่งอยู่กับที่ ลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ด้วยความรู้สึกที่ไม่ยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

เมิ่งฮ่าวขยับตัวเคลื่อนไหว ในชั่วพริบตาก็ไปอยู่ที่เบื้องหน้าประตู จากนั้นก็ก้าวเข้าไป เมื่อทำเช่นนี้ ความผันผวนของพันธมิตรผู้ผนึกอสูรที่อยู่ภายในร่างก็ระเบิดออกไป

เสียงเรียกร้องและเสียงสะท้อนเริ่มดังขึ้นจนถึงระดับที่น่าตกใจ และจิตใจเมิ่งฮ่าวก็หมุนคว้าง

เวลาเดียวกันนั้น เวทผนึกอสูรรุ่นแปด, เวทผนึกร่าง ก็ถูกปลดปล่อยออกไป ต่อมาก็เป็นเวทรุ่นเจ็ด, เวทผนึกกรรม หลังจากนั้นก็เวทรุ่นหก, เวทเป็นตาย ในที่สุดก็เป็นเวทรุ่นห้า, เวทด้านในด้านนอก

เป็นครั้งแรกที่เวทผนึกรุ่นสี่…เริ่มรวมตัวกันอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว!

พวกมันกลายเป็นสัญลักษณ์เวทสี่ชิ้น ที่เปล่งประกายเจิดจ้าออกมา ขณะที่ลอยอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว สายตาเริ่มสลัวเลือนรางลง แต่ชั่วขณะต่อมาก็ชัดเจนขึ้น และเขาก็ไปอยู่ที่ด้านในประตู!

เขามองเห็น…โลกแปลกๆ แห่งหนึ่ง!

ท้องฟ้าสีเหลืองแผ่กระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง ก้อนเมฆเป็นสีดำ และได้ยินเสียงกระหึ่มดังออกมาจากด้านในก้อนเมฆ มองเห็นเงาของสัตว์อสูรขนาดใหญ่แวบไปมาเป็นระยะ ขณะที่มันเคลื่อนที่ไปมา

มองไม่เห็นต้นไม้ใบหญ้าบนพื้นดิน มีแต่สีขาวบริสุทธิ์ยืดยาวออกไปจนไกลสุดลูกหูลูกตา เกิดเป็นความรู้สึกแปลกๆ ว่าไม่มีอะไรในที่แห่งนี้จะเป็นของจริง ที่ห่างไกลออกไปเป็นรูปปั้นของบุรุษวัยกลางคนขนาดใหญ่ ที่กำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ มันมีขนาดใหญ่โตมากจนแม้แต่จะนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างของบุรุษผู้นี้ก็ยังพุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า จนดูเหมือนว่ากำลังค้ำยันสวรรค์และปฐพีอยู่!

ถึงแม้จะดูเหมือนว่ารูปปั้นนั้นจะไม่ได้อยู่ห่างไกลมากเกินไปนัก

แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป ก็พบว่าแม้ตนเองจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในระดับปัจจุบันนี้ แต่ก็ไม่อาจจะไปแตะสัมผัสรูปปั้นนั้นได้ เห็นได้ชัดว่ารูปปั้นนั้นอยู่ห่างไกลออกไปมากกว่าที่ตาเห็นอย่างแท้จริง

เมื่อมองไป เมิ่งฮ่าวก็เห็นว่ามือทั้งสองของรูปปั้น กำลังทำท่าร่ายเวทอยู่ และสัญลักษณ์เวทก็ลอยไปมาอยู่เหนือมือทั้งสองอย่างช้าๆ

ยิ่งไปกว่านั้นก็มองเห็นกลุ่มหมอกลอยม้วนตัวไปมาอยู่เหนือศีรษะของรูปปั้น พลังชีวิตอันไร้ขอบเขตกระจายออกมาเป็นระยะจนทำให้สวรรค์และปฐพีต้องสั่นสะเทือน

หลังจากที่มองไปยังสิ่งแวดล้อมรอบๆ บริเวณนั้น เมิ่งฮ่าวก็สั่นสะท้านอยู่ภายในใจ ดินแดนแห่งนี้ โลกแห่งนี้ ทุกสรรพสิ่งในที่แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากสิ่งที่อยู่ด้านนอกเป็นอย่างมาก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจนรู้สึกว่า สิ่งที่ไม่จริงนี้จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็มองกลับไปยังรูปปั้น ด้วยสายตาที่คมกล้ามากขึ้นจากก่อนหน้านี้

“ราชันหลี่…” เมิ่งฮ่าวพึมพำเป็นเสียงแผ่วเบา แทบจะในทันทีที่เขามองไปยังรูปปั้น ก็สามารถจะบอกได้ว่า…นี่คือราชันก่อนหน้านี้ของขุนเขาทะเลที่เก้า, ราชันหลี่!

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่เคยเห็นท่านมาก่อน แต่ลางสังหรณ์กำลังบอกตนเองว่ารูปปั้นนี้คือราชันหลี่!

จิตใจเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน ขณะที่มองไปยังรูปปั้น ราชันหลี่คือตำนานในขุนเขาทะเลที่เก้า เป็นบุคคลที่เป็นตัวแทนของยุคสมัยที่รุ่งเรืองเมื่อในอดีต

ย้อนกลับไปในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ปรมาจารย์ฟางและปรมาจารย์จี้ ต่างก็ต้องยอมรับใช้ท่าน รวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่อสูร, เคออวิ๋นไห่ และคนอื่นๆ ในฐานะที่เป็นยอดขุนพลคู่ใจ เนื่องจากทั้งหมดนั้น ทำให้ขุนเขาทะเลที่เก้า ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กองกำลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดในอาณาจักรขุนเขาทะเล แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกมองว่าอ่อนแอมากที่สุด

“ราชันหลี่กลับสู่สวรรค์ไปแล้ว…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ

นึกไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่เคออวิ๋นไห่เคยบอกกับตนเอง

หลังจากนั้นสักพัก เมิ่งฮ่าวก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับรูปปั้นของราชันหลี่ ด้วยฐานะที่เป็นนายน้อยแห่งตระกูลฟาง ถือกำเนิดและเติบโตอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า จึงเป็นเรื่องสมควรที่เขาจะแสดงความเคารพต่อราชันดั้งเดิมของขุนเขาทะเลที่เก้า!

หลังจากที่แสดงความเคารพอย่างเป็นทางการแล้ว เมิ่งฮ่าวก็มองกลับขึ้นไปและจากนั้นก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้เมื่อมองไปยังรูปปั้นนั้น มันก็ไม่ได้ดูเหมือนกับบุรุษวัยกลางคนอีกต่อไป แต่เป็นสตรี นางไม่ได้งดงามมากนัก แต่ดูเมตตาและอ่อนโยน

เมิ่งฮ่าวมองดูให้ละเอียดมากขึ้น และทันใดนั้น รูปปั้นก็ดูเหมือนเป็นบุรุษขึ้นอีกครั้ง ยากที่จะบอกได้ถึงความแตกต่างอย่างแท้จริง

เมิ่งฮ่าวจมอยู่ในห้วงความคิด จากตำนานที่บอกเล่าสืบต่อกันมา ตัวตนที่แท้จริงของราชันหลี่ถูกปกปิดไว้เป็นความลับ แต่ที่ลึกลับมากไปกว่านั้นก็คือตัวตนของท่านเอง ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นบุรุษหรือสตรีอย่างแท้จริง แม้แต่บุคคลที่เป็นสหายสนิทกับท่านก็ไม่รู้ถึงความจริงข้อนี้

ขณะที่เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว จู่ๆ ทั่วทั้งโลกแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียง ที่คล้ายเป็นเสียงกระซิบพึมพำ ดังล่องลอยไปมาทั้งสวรรค์และปฐพี พุ่งผ่านเข้ามาในหูของเมิ่งฮ่าว

“เมื่อในอดีต…ข้าได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และกลับคืนสู่สวรรค์…”

“คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ คัมภีร์ตัดสวรรค์ คัมภีร์เต๋าศักดิ์สิทธิ์…ที่ถูกส่งต่อลงมาในโลกนี้เป็นเพียงแค่ส่วนย่อยเท่านั้น เมื่อคัมภีร์ทั้งสามถูกรวมเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็น…คัมภีร์ขุนเขาทะเล”

“คัมภีร์ขุนเขาทะเลมีอยู่เก้าบท ราชันแห่งเก้าขุนเขาทะเลแต่ละคน ต่างก็มีอยู่หนึ่งบท…”

“จากนั้นก็ยังมีสามมหาเต๋าอันยิ่งใหญ่ ที่ส่งต่อมรดกของพวกมันมานานนับหมื่นปี เพื่อถูกลิขิตให้เป็นเจ้าของคัมภีร์เหล่านั้น…”

“สวรรค์และปฐพีคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวไร้ขอบเขต ข้ามาจากสถานที่อันห่างไกล และไม่ใช่ผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล…แต่เนื่องจากไม่อาจจะปล่อยวางได้ จึงตัดสินใจขอยืมท้องฟ้าในที่แห่งนี้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป…”

“จากนั้นข้าก็อาศัยอยู่ในอาณาจักรขุนเขาทะเล และได้รับความรู้แจ้งจากเต๋าแห่งจิ่วเฟิง ข้าพบกับผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สอง และแลกเปลี่ยนความรู้กัน ข้าได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูกต้องและผิดพลาด จนกลายเป็น…ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สาม!”

“ในฐานะที่เป็นผู้ผนึกอสูร ข้ายังได้เดินไปบนเส้นทางของผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย เมื่อข้าสังเกตมองเข้าไปในอดีตยังรุ่นแรก, จิ่วเฟิง ก็เข้าใจเต๋าของท่าน และรู้จักท่านในฐานะที่เป็นคนผู้หนึ่ง ในที่สุดข้าก็สมความปรารถนาที่จะบรรลุถึงพื้นฐานเต๋า…ข้าไล่ตามเต๋าแห่งความจริง และพบเจอกับทัณฑ์แห่งชีวิตมากมาย…”

“ข้าทิ้งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนไว้ในที่แห่งนี้ บนหลังของปีศาจเจ้าเล่ห์ ในฐานะที่เป็นความทรงจำสำหรับพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร…มรดกที่ข้าจะส่งมอบให้ไม่ใช่คัมภีร์ขุนเขาทะเล ไม่ใช่วิธีการฝึกตนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เวทกรรม ข้าจะไม่ส่งมอบมันให้กับผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลัง ไม่มอบให้กับคนที่มีโชคชะตาเชื่อมต่อกับข้า ข้าจะส่งมอบมันให้กับ…พันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร!”

“นี่คือการเปิดตัวยุคสมัยใหม่ และช่วยเติมเต็มความปรารถนาสูงสุดของข้า” เมื่อระลอกคลื่นเสียงดังก้องขึ้นมาถึงจุดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มสั่นสะเทือน และสัญลักษณ์เวทที่กำลังลอยอยู่เหนือมือของรูปปั้น จู่ๆ ก็ระเบิดออกกลายเป็นแสงเจิดจ้า จนทำให้สวรรค์และปฐพีต้องสั่นสะเทือนไปมา

เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่คำพูดและสัญลักษณ์เวททำให้เวทผนึกอสูรของตนเองผันผวนด้วยพลังมากกว่าเดิมนับพันเท่า

สัญลักษณ์เวทที่ก่อตัวขึ้นมาจากเวทผนึกทั้งสี่ในจิตใจ ทำให้เขาตระหนักขึ้นในทันทีว่า สัญลักษณ์เวททั้งสองที่รูปปั้นถืออยู่คืออะไร พวกมันคือ…สองเวทผนึกอันยิ่งใหญ่แห่งพันธมิตรผู้ผนึกอสูร!

“หนึ่งคือเวทผนึกของผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สอง อีกหนึ่งคือ…เวทผนึกที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยราชันหลี่ ซึ่งเป็นผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สาม!!” เมิ่งฮ่าวหอบหายใจออกมา ขณะที่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดที่กล่าวกับตนเองเมื่อนานมาแล้วจากแผ่นหยกผนึกอสูร

“รุ่นแรกคือบรรพบุรุษ รุ่นสองคือผู้สืบทอด รุ่นสามคือผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด!” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ขณะที่ก้าวเดินตรงไปยังรูปปั้น แต่ขณะที่ทำเช่นนั้น สัญลักษณ์เวทที่อยู่บนมือซ้ายของราชันหลี่ก็ลอยออกมา เปล่งประกายเจิดจ้าจากนั้นก็หลอมรวมเข้าไปในพื้นดิน

เวลาเดียวกันนั้น สวรรค์และปฐพีก็บิดเบี้ยวไปมา กลุ่มเมฆสีดำส่งเสียงดังกระหึ่ม และท้องฟ้าก็แผดร้องคำราม พื้นดินสั่นสะเทือน ขณะที่สัตว์อสูรแห่งบรรพกาลปรากฏขึ้นที่ด้านบน แผดร้องคำรามบินตรงมายังเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งในฟ้าดินแห่งนี้จะกระจายความเป็นปรปักษ์และมีเป้าหมายมาที่เมิ่งฮ่าวโดยเฉพาะ

เท้าของเมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่งในท่ามกลางการก้าวเดินตรงไป ทันทีที่เขาหยุดลง เสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในท้องฟ้า และพื้นดินที่ด้านล่างเท้าของเขาก็เริ่มจมลงไป เวลาเดียวกันนั้น พื้นดินที่อยู่ห่างไกลก็เริ่มยืดยาวออกไป ราวกับว่าฟ้าและดินกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อตัวเป็นลูกทรงกลม ม้วนตัวเข้าหากันด้วยตัวมันเอง!

และเมิ่งฮ่าวกำลังจะถูกบดขยี้อยู่ด้านใน!

ตูมมมมมมม!

กลุ่มเมฆพังทลายลงไป และสัตว์อสูรแห่งบรรพกาลก็กู่ร้องออกมา ขณะที่พวกมันพยายามจะหลบหนีจากไป แต่สัตว์อสูรเหล่านั้นก็ถูกบดขยี้กลายเป็นชิ้นๆ ไปอย่างมากมาย เกิดเป็นพิรุณโลหิตตกลงมาบนพื้น ท้องฟ้าที่ด้านบนเริ่มบิดเบี้ยวไปมา ราวกับว่ากำลังจะเชื่อมต่อกับพื้นดินที่พุ่งสูงขึ้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังหดตัวลง และแรงกดดันขนาดใหญ่ก็กดทับลงมา เมิ่งฮ่าวกระอักโลหิตออกมากองโต ขณะที่มองไปรอบๆ ดวงตาสาดประกายขึ้น

“นี่คือการทดสอบ? หรือว่าเป็นวิธีการส่งมอบมรดก?” เขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบเห็นวิธีการหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย

ในขณะที่สิ่งทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้น ขณะที่เมิ่งฮ่าวอยู่บนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ พยายามจะได้รับโชควาสนาจากมรดกแห่งราชันหลี่ พลังอันน่าเหลือเชื่อกำลังระเบิดออกมาจากในรอยแตกที่อยู่ระหว่างขุนเขาทะเลที่เจ็ดและแปด ความว่างเปล่ากำลังแตกกระจายออกไป ทำให้พลังแก่นแท้พุ่งขึ้นไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวาย

ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ก็เนื่องมาจากไป๋จู่!

ใบหน้ามันบึ้งตึงและบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในความว่างเปล่า กำลังทำการรักษาตนเองอยู่ กู่ร้องออกมาเป็นระยะ ขณะที่เกล็ดปรากฏขึ้นปกคลุมไปทั่วร่างมันเป็นชั้นๆ ชั่วขณะต่อมาก็หายไป

กลิ่นอายของมันค่อยๆ เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น และอาการบาดเจ็บก็ถูกรักษาไปอย่างรวดเร็ว มันมักจะลืมตาขึ้นมาอยู่เป็นระยะ ซึ่งกระจายเป็นความเกลียดชังและรังสีสังหารอย่างที่ยากจะอธิบายได้

“อีกหนึ่งเดือนข้าก็จะรักษาอาการบาดเจ็บได้โดยสมบูรณ์ เมื่อเผชิญหน้ากันอีก มันต้องตาย!”

“ตอนนี้ข้ารู้กลยุทธ์ทั้งหมดของมันแล้ว ดังนั้นครั้งต่อไป…มันต้องตาย!”

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่ไป๋จู่หลับตาลง ปกปิดรังสีสังหารของมันไว้ อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายอันน่ากลัวก็กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง เต็มไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ทำให้เกิดเป็นลมพายุพุ่งออกไปอยู่รอบๆ ตัวมัน

——————–

หมายเหตุ

  1. 1. คำว่า เต่าของเมิ่งฮ่าว อยู่ในตอนที่ 584: เต๋าเดิมแท้เวทอสูรไฟมอดไหม้
  2. 2. เหตุการณ์ที่เมิ่งฮ่าวฝังกระบี่แห่งไม้กาลเวลาไว้ อยู่ในตอนที่ 592: สังหารเซียนไม่ใช่เรื่องยาก จากนั้นกระบี่ไม้หนึ่งเล่มกลายเป็นของวิเศษอันล้ำค่าของสำนักอีเจี้ยน ในตอนที่ 742: เป่าเป้ย, ถึงเวลากลับบ้านแล้ว
  3. 3. เคออวิ๋นไห่กล่าวถึงสิ่งที่ราชันหลี่เคยทำไว้ ในตอนที่ 579, 587, 589, 597, 841
  4. 4. ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่หนึ่ง, สอง, สาม มาจากตอนที่ 490: ใต้ดิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!