Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1307

ตอนที่ 1307

รู้แจ้งเวทผนึก

ภายในโลกประตูบนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังพลิกกลับด้าน ฟ้าดินกำลังเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน กลายเป็นลูกทรงกลมขนาดใหญ่

เมิ่งฮ่าวที่อยู่ภายในลูกทรงกลม รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างน่าเหลือเชื่อที่กำลังกดทับลงมาบนร่าง ทำให้เกิดเป็นเสียงแตกร้าวดังก้องออกไป ราวกับว่าร่างกายกำลังจะพังทลายลงไป

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่ทุกสรรพสิ่งหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีเมิ่งฮ่าวมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ แต่ในชั่วขณะต่อมาก็มองเห็นเขตชายขอบที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งหมื่นหลี่เท่านั้น

ดูเหมือนว่าการหดตัวลงไปของสวรรค์และปฐพี จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในช่วงเวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น

ไม่ว่าเขาจะผ่านการทดสอบและได้ครอบครองมรดกนี้ หรือว่า…ตกตายไปในที่แห่งนี้ โดยไม่คู่ควรที่จะกลายเป็นพันธมิตรผู้ผนึกอสูร แต่ความมุ่งมั่นเช่นนี้ก็ไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ภาพที่สวรรค์และปฐพีกำลังพังทลายลงมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ ก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ดวงตาเมิ่งฮ่าวกลายเป็นสีแดงก่ำ ขณะที่ฟ้าดินหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว เขามีเวลาให้ขบคิดน้อยมาก ตอนนี้ลูกทรงกลมมีขนาดแค่หนึ่งพันจ้างเท่านั้น มันกำลังหดตัวเล็กลงด้วยความรวดเร็วอย่างที่ไม่อาจจะจินตนาการออกมาได้ และเสียงกระหึ่มก็ดังก้องไปทั่ว

ความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง และรับรู้ได้ถึงความตายที่พุ่งขึ้นมาจนถึงระดับที่ยากจะอธิบายออกมาได้ แต่ในขณะที่ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวกำลังจะถูกกำจัดไปแล้วนั้น จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน และสาดประกายขึ้นด้วยแสงแห่งความรู้แจ้ง!

“ข้าอาศัยอยู่ในอาณาจักรขุนเขาทะเล และได้รับความรู้แจ้งจากเต๋าแห่งจิ่วเฟิง ข้าพบกับผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สอง และแลกเปลี่ยนความรู้กัน ข้าได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูกต้องและผิดพลาด จนกลายเป็น…ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สาม! ในคำพูดก่อนหน้านี้ของราชันหลี่ มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เป็นข้อความสำคัญ!”

“ถูกต้องและผิดพลาด!”

เวทผนึกของผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สอง เกี่ยวข้องกับความถูกต้องและผิดพลาด ถ้ารวมสิ่งที่ถูกเรียกว่าถูกต้องและผิดพลาดเข้ากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ก็สามารถจะแทนที่พวกมันด้วยคำอื่นด้วยเช่นกัน!!

“จริงและเท็จ!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า ขณะที่แรงกดดันกำลังกดทับลงมาบนร่าง ความคิดนับร้อยนับพันวิ่งไปมาอยู่ในจิตใจ และทันใดนั้นดวงตาก็แวบประกายขึ้น

ฉับพลันนั้นเมิ่งฮ่าวก็กล่าวว่า “เวทผนึกอสูรรุ่นที่สอง เวทจริงเท็จ!”

ทันใดนั้นเองฟ้าดินก็ส่งเสียงดังกระหึ่ม และลูกทรงกลมที่ก่อตัวขึ้นมาก็ปกคลุมไปบนร่างเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้ดิ้นรนต่อต้านหรือต่อสู้กลับไปแม้แต่น้อย

ตูม!

สวรรค์และปฐพีรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!

จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง ขณะที่ตระหนักว่าไม่ได้รู้สึกถึงร่างกายตนเอง ราวกับว่ามันถูกทำลายไปในตอนที่สวรรค์และปฐพีกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้นที่คงอยู่ กำลังลอยอยู่ที่นั่น ขณะที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง จากนั้นก็มองลงไปและไม่เห็นกายเนื้อของตนเอง ลูกทรงกลมที่ก่อตัวขึ้นมาจากการรวมตัวของสวรรค์และปฐพี ได้กลายเป็นจุดเล็กๆ หนึ่งจุด ในตอนนี้กำลังเริ่มขยายตัวออกไป ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ และมองเห็นความปั่นป่วนวุ่นวายจากห้วงบรรพกาลอยู่ภายในนั้นอย่างช้าๆ

มีทั้งสวรรค์และปฐพี รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งหมดนั้นคละเคล้าเข้าด้วยกัน ขณะที่มันเริ่มขยายใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นไร้จุดสิ้นสุด และจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็แยกออกจากกัน

ส่วนหนึ่งของมันจมลงไปจนกลายพื้นดิน และอีกส่วนก็ลอยขึ้นไปจนกลายเป็นท้องฟ้า…

มองเห็นสัตว์ป่าในห้วงดึกดำบรรพ์อยู่ทั่วทุกที่ บินไปมาในท้องฟ้า ส่งเสียงร้องแหลมเล็กดังก้องออกไป ในที่สุดก็เริ่มมองเห็นต้นไม้เติบโตสูงใหญ่อยู่บนพื้นดิน

เทือกเขาพุ่งสูงขึ้นไป และแม่น้ำก็ปรากฏขึ้น ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของจริงสำหรับเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าเข้าใจหรือไม่?” เสียงราบเรียบเอ่ยถามขึ้น บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า มายืนอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว

ซึ่งก็คือบุรุษที่ถูกแกะสลักเป็นรูปปั้น ราชันหลี่!

แต่เมื่อท่านมองมายังเมิ่งฮ่าว เขาก็เกิดเป็นความรู้สึกขึ้นว่า ราชันหลี่ไม่ได้มองมาที่ตนเองอย่างแท้จริง ช่างแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

“เวทผนึกแห่งผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สองคือความจริงและความเท็จ…หลังจากที่ค้นหามรดกเวทผนึกดั้งเดิมแห่งผู้ผนึกอสูรรุ่นแรกได้แล้ว ก็ได้รับความรู้แจ้งแห่งเวทจริงเท็จ” ราชันหลี่กล่าวต่อไป

“จริงก็คือเท็จ เท็จก็คือจริง ด้วยความคิดเพียงแวบเดียว เท็จก็จะกลายเป็นจริง และความจริงก็จะกลายเป็นเท็จได้…”

เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความรู้แจ้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนเองพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ย้อนกลับไปในตอนที่ต้องต่อสู้กับห้าแก่นแท้ของเซียวอี้หาน เขาเคยเห็นเด็กชายผู้นั้นปลดปล่อยแก่นแท้แห่งความจริงออกมา

หลังจากที่มองไปรอบๆ อีกครั้ง เมิ่งฮ่าวก็นั่งขัดสมาธิและหลับตาลงอย่างช้าๆ จากนั้นก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อค้นหาความรู้แจ้งในสวรรค์และปฐพี เพื่อค้นหาประกายความเข้าใจของเวทผนึกจริงเท็จ ที่แวบผ่านเข้ามาในจิตใจจากเมื่อครู่นี้

เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปกี่มากน้อยแล้ว ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปแต่ก็เป็นแค่ภาพลวงตาที่ดูเหมือนของจริง เวลาเดียวกันนั้นของจริงก็ดูเหมือนกับเป็นภาพลวงตาด้วยเช่นกัน อย่างช้าๆ ก็กลายเป็นแขนทั้งสองข้าง และจากนั้นก็เป็นร่างกายของตนเองทั้งหมด ต่างก็พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องถอนหายใจยาวออกมา

“จริงกลายเป็นเท็จ เท็จกลายเป็นจริง มันเป็นแค่รูปแบบแห่งการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น…เวทผนึกจริงเท็จสามารถเปลี่ยนของจริงให้กลายเป็นภาพลวงตา และทำให้ภาพลวงตากลายเป็นของจริงได้ ช่างเป็นเวทที่ทรงพลังนัก…มีแต่ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถจะควบคุมมันได้อย่างแท้จริง” เมิ่งฮ่าวพึมพำ มองขึ้นไปยังภาพของราชันหลี่ที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา เขาลุกขึ้นมายืนประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

“ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว” ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวพูดว่าตนเองเข้าใจ ภาพของราชันหลี่ก็ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับมีชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม และยิ้มออกมา

“นั่นคือเวทผนึกแห่งผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สอง สำหรับของข้า…มันแตกต่างออกไป เจ้าสามารถใช้มันออกมาได้หรือไม่ ก็ขึ้นกับตัวเจ้าเองแล้ว”

“ข้าขอถามเจ้าว่า เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างจริงและเท็จ หรือไม่?” ด้วยเช่นนั้น ภาพของราชันหลี่ก็มองลึกเข้าไปในดวงตาเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็หายตัวไปในทันที

มีแต่เสียงของท่านที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ดังก้องไปมาด้วยความอ่อนโยนก่อนที่จะจางหายไป

“ความปรารถนาของข้าสิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้ข้าจะเดินไปตามวิถีทางร่างจริงของตนเอง ถ้าเจ้าและข้ามีวาสนาร่วมกัน พวกเราอาจจะได้พบกันอีก บางที…ก็หลังจากที่ยุคภัยพิบัติทั้งปวงได้เลยผ่านไปแล้ว”

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว มองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่โชคร้ายที่ไม่อาจจะพบเห็นร่องรอยใดๆ ของเวทผนึกที่ราชันหลี่ได้เอ่ยถึง

“เวทผนึกแห่งผู้ผนึกอสูรรุ่นที่สาม…” เมิ่งฮ่าวขบคิดด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะสับสน ในที่สุดก็หลับตาลงและเริ่มค้นหาความรู้แจ้งจากรอบๆ บริเวณนั้น

เวลาผ่านไป หลายวันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี สิ่งเดียวที่สามารถจะรับรู้ได้ก็คือว่า โลกที่ตนเองอยู่ในตอนนี้ ดูเหมือนกับเป็นสิ่งที่อยู่ในสมัยโบราณ

ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้…ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นของจริง

เมิ่งฮ่าวมองลงไป และพบว่าตนเองไม่มีร่างกาย มีเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น หลังจากที่พิจารณาเรื่องราวอยู่ชั่วขณะ ก็เริ่มบินออกไป ตรวจสอบดูพื้นดิน ท้องฟ้า และต้นไม้ใบหญ้า…

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมิ่งฮ่าวเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ อันเนื่องมาจากเวลาที่ผ่านไป ซึ่งตนเองสามารถจะรับรู้ได้อย่างชัดเจน จากการคาดคิดคำนวณของเขา เวลาที่ผ่านไปในโลกแห่งนี้ ไม่ได้แตกต่างไปจากอาณาจักรขุนเขาทะเลมากนัก

“ข้าจำเป็นต้องหาวิธีออกไปจากที่แห่งนี้แล้ว จากช่วงเวลาที่ผ่านไป ไป๋จู่แห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดคงจะฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้วในตอนนี้!” เมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อค้นหาปากทางออก

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอีกครั้ง และเมิ่งฮ่าวก็ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ทำให้ต้องวิตกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม

โบกสะบัดมือขวาออกไป เรียกความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทำให้ทุกสรรพสิ่งเริ่มสั่นสะเทือน สวรรค์และปฐพีบางส่วนพังทลายลงไป แต่ก็ยังมองไม่เห็นปากทางออกอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้คือกับดัก และตอนนี้เขาติดอยู่ในที่แห่งนี้อย่างถาวรไปแล้ว

หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…เมิ่งฮ่าวเริ่มบ้าคลั่งขึ้นมา เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พยายามหาทางออกไปให้จงได้ เขาปลดปล่อยเวทผนึกอสูรออกไป แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้

เมิ่งฮ่าวแผดร้องคำราม ร้องเรียกให้ราชันหลี่ปรากฏตัวขึ้น แต่ก็ไม่เห็นอีกเลยตั้งแต่ที่ท่านจากไป มีสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่ในโลกแห่งนี้ แต่จากความกราดเกรี้ยวของเมิ่งฮ่าว ก็ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้าจะเสนอหน้าเข้ามาใกล้แม้แต่ตัวเดียว

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะรู้สึกวิตกกังวลอย่างลึกล้ำ แต่กระนั้นเวลาก็ยังคงเลื่อนผ่านไปอยู่ดี

หนึ่งปี สามปี หกปี…

เมิ่งฮ่าวมองดูเวลาเลื่อนผ่านไปด้วยความโดดเดี่ยวเดียวดาย และรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับไว่กงของตนเอง แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงอยู่ในจิตใจ

“ผ่านไปหกปีแล้ว…” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยความขมขื่น ได้แต่หวังว่าความคิดเกี่ยวกับห้วงเวลาที่ผ่านไปของตนเองจะผิดพลาด เวลาในที่แห่งนี้จะเคลื่อนที่ผ่านไปแตกต่างจากโลกที่ด้านนอก

อย่างไรก็ตาม…อีกสิบปีก็ผ่านไป เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ว่าวิญญาณของตนเองแก่ชราลงไป และร่างกายก็กำลังสั่นสะท้าน เนื่องจากเช่นนั้น ทำให้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกของตนเองก่อนหน้านี้จริงๆ แล้วก็ถูกต้อง เวลาในที่แห่งนี้และเวลาในโลกด้านนอก…เลื่อนผ่านไปด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน

ผ่านไปหนึ่งร้อยปี และเมิ่งฮ่าวก็เริ่มเยือกเย็นลง แต่ก็เป็นความเยือกเย็นที่ภายนอกเท่านั้น ลึกลงไปในจิตใจ เขาวิตกเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับไว่กง, ขุนเขาทะเลที่เก้า, สวี่ชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามสิบสามสวรรค์ และอีกสองกองกำลังอันน่ากลัว ที่ใกล้เข้ามายังอาณาจักรขุนเขาทะเล จนยากที่จะปัดเป่าความวิตกกังวลในจิตใจออกไปได้

“เกิดอะไรขึ้น…?” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดด้วยความขมขื่น ตลอดช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านไป เขาลองพยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่จะคิดออกมาได้ แต่ก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไปห้าร้อยปี เมิ่งฮ่าวก็เยือกเย็นลงอย่างแท้จริง

ด้วยเวลาที่ผ่านไปนานเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตรงโลกด้านนอก ก็คงจะจบสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว และไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก

ช่วงเวลาส่วนใหญ่เหล่านั้น เมิ่งฮ่าวไม่มีแม้แต่สติสัมปชัญญะ เขากระจายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปไกลมากขึ้น เป็นเวลานานมากโดยที่ไม่ดึงกลับมาเลย

หนึ่งพันปีผ่านไป จากนั้นก็หนึ่งพันห้าร้อยปี จากนั้นก็ห้าพันปี…

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นห้าหมื่นปีหรือหนึ่งแสนปี เขาไม่อาจจะรับรู้ได้ เขาไร้สติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ก็คือเส้นใยแห่งความคิดที่กระจายออกไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้

เขามองเห็นการเปลี่ยนไปของโลกแห่งนี้ มองเห็นสัตว์ต่างๆ เกิดขึ้นและตายไป มองเห็นห้วงเวลาที่เลื่อนผ่านไปอย่างยาวนาน มองเห็นมนุษย์เริ่มเกิดขึ้นมา พวกมันล่าสัตว์ป่า ค่อยๆ เรียนรู้การสวมใส่เสื้อผ้า และในที่สุดก็เริ่มพัฒนาขึ้น เมิ่งฮ่าวส่งความคิดของตนเองออกไปในโลกแห่งนี้ ขณะที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเริ่มเรียนรู้วิธีการฝึกตน

เวลาเลื่อนผ่านไป แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ผู้ฝึกตนในโลกแห่งนี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้น และพื้นฐานฝึกตนของพวกมันก็อยู่ในระดับที่สูงมากขึ้นไปเรื่อยๆ พวกมันเริ่มทำสงครามซึ่งกันและกัน ผลก็คือมีคนตกตายไปนับไม่ถ้วน

เวลาเลื่อนผ่านไป หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง ชีวิตก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง และคนทั้งหมดก็มั่งคั่งร่ำรวย จากนั้นก็มีสงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งในวันหนึ่งลูกไฟก็ตกลงมาจากท้องฟ้าที่ด้านบน

โลกถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลีไป ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ เพื่อถูกทำลายล้างไป และตอนนี้ก็เริ่มต้นจากศูนย์ใหม่ เมิ่งฮ่าวไร้สติรู้สึกตัว แต่ความคิดก็กระจายอยู่ทั่วทุกที่ กำลังเฝ้าสังเกตดูทุกสรรพสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

ชีวิตปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจริญรุ่งเรือง และจากนั้นก็เกิดเป็นสงครามขึ้นมา อีกครั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายล้างไปจากเปลวไฟแห่งสวรรค์ เป็นวัฏจักรไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

เมิ่งฮ่าวไม่ได้คิดไปถึงสิ่งอื่นๆ ในแง่ของห้วงกาลเวลาอีกต่อไป แต่คิดในแง่ของวัฏจักร

วัฏจักรแล้ววัฏจักรเล่า เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมิ่งฮ่าวมองเห็นชีวิตและความตายนับไม่ถ้วน ความยินดีและเสียใจที่ไร้จุดสิ้นสุด เขาคล้ายกับเป็นนักท่องเที่ยว หรือผู้ผ่านทาง จนกระทั่งบรรลุถึงจุดที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังมองไปนั้นคืออะไร วัฏจักรเช่นนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงวัฏจักรที่หนึ่งหมื่น

เมื่อวัฏจักรที่หนึ่งหมื่นถูกทำลายล้างไปโดยเปลวไฟจากสวรรค์ เมื่อทุกสรรพสิ่งถูกทำลายไป โลกก็ไม่ได้หายไป แต่ยังคงลุกไหม้ไปอย่างต่อเนื่อง เสียงกระหึ่มได้ยินมา ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนและแตกกระจายออกไป ความคิดของเมิ่งฮ่าวที่กระจัดกระจายออกไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้เป็นเวลานาน จู่ๆ ก็เริ่มกลับมารวมตัวเข้าด้วยกัน

ขณะที่โลกนี้ถูกทำลายไป เขาก็ค่อยๆ เริ่มรู้สึกตัวอย่างช้าๆ…

ราวกับว่ากรงขังที่เขาถูกกักอยู่มาเป็นเวลานาน กำลังพังทลายลงไป

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งสวรรค์แตกกระจาย ปฐพีพังทลายลงไป เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างหายไป ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็…ลืมตาขึ้นมา!

เขายังอยู่ในโลกของประตูบนหลังปรมาจารย์เอกะเทวะ แต่ท้องฟ้าได้หายไปแล้ว และพื้นดินก็ไม่มี นอกจากความว่างเปล่าเท่านั้น สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือรูปปั้นของราชันหลี่ กำลังยิ้มมายังเมิ่งฮ่าว ราวกับกำลังสอบถามเขาว่า

เจ้าเข้าใจแล้วจริงๆ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!