ตอนที่ 1352
ซานไห่เสาจู่
อาณาจักรขุนเขาทะเลกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทั่ว ถึงแม้มีคนคิดว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่นี้อาจจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในตอนแรก แต่จริงๆ แล้วก็สามารถจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นจึงเป็นที่คาดคิดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากสักเพียงใด!
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นด้วยระดับความรวดเร็วเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดสามารถจะรับรู้ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจหรือสับสนงุนงงแต่อย่างใด เดิมทีอาณาจักรขุนเขาทะเลมีการจัดเรียงตัวกันในรูปแบบของแนวนอน จากขุนเขาทะเลแรกไปจนถึงขุนเขาทะเลที่เก้า คล้ายกับเป็นยักษ์หนึ่งตนที่นอนทอดตัวอยู่ที่นั่น โดยมีดวงตะวันและจันทราโคจรหมุนวนอยู่รอบๆ อาณาจักรทั้งปวง
แต่ตอนนี้ ยักษ์ตนนั้น…ค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ!
ขุนเขาแรกกำลังพุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เช่นเดียวกับทะเลแรก ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นไปอย่างรุนแรง ผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลปฏิบัติตามคำสั่งของไห่เมิ่งจื้อจุน ภายใต้การนำของราชันขุนเขาทะเลต่างๆ ช่วยให้มนุษย์ทั้งหมดเดินทางไปยังขุนเขาทะเลที่เก้า
อาณาจักรขุนเขาทะเลเกิดเป็นเสียงอึกทึกครึกโครมด้วยการกระทำและการเปลี่ยนแปลงอยู่ในตอนนี้
สวี่ชิงไม่มีเวลาที่จะไปรวมตัวกับเมิ่งฮ่าว เมื่อไห่เมิ่งจื้อจุนเห็นนางบัญชาการรบด้วยยุทธวิธีที่ไม่ธรรมดา จึงนำตัวไปพร้อมกับหลี่หลิงเอ๋อร์ และแต่งตั้งให้กลายเป็นสองเซิ่งหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์) แห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล
เมิ่งฮ่าวส่งผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดให้ลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และมอบหมายให้คอยยืนเฝ้ารักษาการต่อการรุกรุนใดๆ จากสามสิบสองสวรรค์ที่อาจจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
เวลาเดียวกันนั้นก็ส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ออกไปทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาทะเลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเป็นแรงกดดันไปยังใครก็ตามที่อาจจะก่อการกบฏขึ้นมา
นอกจากนั้นถึงแม้ว่ากลุ่มคนทั้งหมดจะถูกปลุกจิตวิญญาณให้ตื่นขึ้นมา แต่เมื่อเป็นเรื่องของความอยู่รอด ก็อาจจะมีผู้ฝึกตนบางคน หรือแม้แต่บางสำนัก หรือบางตระกูล อาจจะไม่ได้มีความจงรักภักดีมากนัก พวกมันอาจจะไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่า เมื่อรังนกล่วงหล่นลงไป ก็จะไม่มีไข่เหลืออยู่อย่างสมบูรณ์อีกต่อไป พวกมันคิดแต่จะไปเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อความอยู่รอดของตนเองเท่านั้น หรือถ้าเลวร้ายมากไปกว่านั้น ก็อาจจะยอมจำนนและพยายามสร้างความประทับใจให้กับสามสิบสองสวรรค์
แน่นอนว่าด้วยการมีผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดอยู่ที่นั่น ทำให้กลุ่มคนที่อาจจะทรยศ ไม่กล้าที่จะกระทำการใดๆ
คนทั้งหมดในอาณาจักรขุนเขาทะเลต่างก็เร่งทำงานแข่งกับเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำสงคราม ในตอนนี้เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดคิดไว้ คนทั้งหมดจะมีเวลาอย่างมากที่สุดก็แค่สามเดือนเท่านั้น…
คาดไม่ถึงว่าเมิ่งฮ่าวจะพบเจอกับเหตุการณ์ที่ยากจะพบเห็น ในตอนที่ไร้เรื่องราวให้กระทำ เขาจึงเดินทอดน่องอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เฝ้ามองดูอาณาจักรขุนเขาทะเลเปลี่ยนแปลงไป ขุนเขาทะเลแรกพุ่งขึ้นไปก่อน ขณะที่อาณาจักรขุนเขาทะเลค่อยๆ เปลี่ยนจากรูปแบบแนวนอนกลายเป็นแนวตั้ง ในตอนนี้ทำให้มันอยู่ในมุมที่เอียงขึ้นไป
“มันเริ่มดู…แปลกๆ ไปบ้าง” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ในที่สุดก็ถอนหายใจ เขารู้ว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่สำหรับตนเองและผู้ฝึกตนอื่นๆ แห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลแล้ว ก็เหมือนกับว่าสงครามนี้มาถึงอย่างกะทันหันมากเกินไป
มันเริ่มต้นขึ้นจากความรุนแรงที่ปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลันระหว่างขุนเขาทะเลที่เจ็ดและแปด จากนั้นก็กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างขุนเขาทะเลที่ห้าและหก ต่อมาก็เป็นการตัดสินใจต่อสู้กับสามสิบสามสวรรค์ก่อนกำหนด การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทั้งหมดได้
เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างจะสับสนอยู่ภายในใจ ไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง แต่ก็ไม่ได้พูดถึงข้อสงสัยเหล่านั้น เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดรับรู้ นอกจากความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ความเชื่อมั่นและศรัทธาเท่านั้น
แต่น่าเศร้านัก ที่ความเป็นจริงก็คือว่า…เขาไม่มีความเชื่อมั่นใดๆ แม้แต่น้อย
ไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะไปยังที่แห่งใดก็ตาม ผู้ฝึกตนที่มองเห็นเขาก็จะประสานมือและโค้งตัวลง มองเห็นความนับถืออย่างลึกล้ำอยู่ในแววตาเหล่านั้น ไม่ว่าพวกมันจะมาจากขุนเขาทะเลแห่งใดก็ตาม
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกลายเป็นสัญลักษณ์เชิงจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลไปแล้ว สำหรับกลุ่มคนมากมาย เขาคือสัญลักษณ์แห่งความหวังด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวปล่อยวางแรงกดดันที่ตนเองรู้สึกได้ลง
ทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เชื่อมั่นในตนเอง พยักหน้าให้กับกลุ่มคนเหล่านั้น ขณะที่เดินทางผ่านขุนเขาทะเลที่ห้า, หก, เจ็ดและแปด ในที่สุด…ก็ไปอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวกลับมาตั้งแต่จากไปเมื่อนานมาแล้ว เมื่อมองออกไปยังขุนเขาทะเลที่เก้า ในที่สุดจิตใจก็เริ่มสงบนิ่ง แต่ก็ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องกระทำให้สำเร็จ
“วิญญาณของฉู่อวี้เยียน…” เมิ่งฮ่าวคิดด้วยจิตใจที่เจ็บปวดราวกับถูกแทงด้วยคมมีด ขณะที่เดินผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ไม่มีสถานที่อื่นใดที่เขาต้องการกลับไปนอกจากบ้านของตนเองอีกแล้วในตอนนี้
ดาวหนานเทียน
มีผู้ฝึกตนมารวมตัวกันอยู่บนดาวหนานเทียนเป็นจำนวนมากในตอนนี้ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านั้นมีสายสัมพันธ์กับเมิ่งฮ่าว ทำให้ตระกูลฟางไม่ได้เป็นที่รู้จักอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าอีกต่อไป แต่รู้จักกันไปทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาทะเล คนทั้งหมดต่างก็ตระหนักดีว่าเมิ่งฮ่าวคือนายน้อยแห่งตระกูลฟาง
การกลับไปของเมิ่งฮ่าวทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้น ตระกูลฟางทั้งหมดโผล่ออกมาต้อนรับ และงานเลี้ยงก็ถูกจัดขึ้นจนยิ่งใหญ่กว่างานเลี้ยงของผู้นำตระกูลซะอีก ซึ่งมีแต่ปรมาจารย์เท่านั้นถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ตระกูลฟางเท่านั้นที่จะออกมาต้อนรับเมิ่งฮ่าว สำนักและตระกูลทั้งหมดบนดาวหนานเทียนต่างก็ปรากฏตัวขึ้น แม้แต่จักรพรรดิแห่งต้าถังก็ยังมาปรากฏตัวขึ้นด้วยเช่นกัน
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้นที่ด้านนอกของดาวหนานเทียน ก็มองเห็นผู้ฝึกตนนับล้านตั้งแถวรอต้อนรับ ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ศรัทธาและนับถือ
แทบจะในทันใดที่เมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้น ผู้ฝึกตนนับล้านต่างก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
“พวกเราขอต้อนรับการกลับมาของเสาจู่ (นายน้อย) ด้วยความเคารพ!”
“ขอต้อนรับการกลับมาของเสาจู่ ด้วยความนับถือ!”
“การต่อสู้กับสวรรค์ชั้นแรก เสาจู่ใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้อย่างไร้ผู้ต่อต้านนัก!!”
ตั้งแต่ที่เมิ่งฮ่าวทำลายสวรรค์ชั้นแรก และทำให้ผู้ยิ่งใหญ่นอกคอกกลายเป็นข้าทาส ผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลต่างก็มองเมิ่งฮ่าวในฐานะที่เป็น…เสาจู่ ซึ่งไม่ใช่แค่ตระกูลฟางเท่านั้น แต่เป็นเสาจู่ของอาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งปวง
ขณะที่เสียงของคนทั้งหมดดังก้องขึ้น เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังกลุ่มคนทั้งหมด และในที่สุดสายตาก็ไปตกกระทบอยู่ที่กลุ่มคนซึ่งยืนแยกตัวอยู่ด้านหลังคนทั้งหมด ภายในอาณาเขตของดาวหนานเทียน
ที่นั่นเขามองเห็นบิดา มารดา พี่สาว และใบหน้าที่ดูคุ้นเคยของผู้ถูกเลือกที่ตนเองเคยรู้จักเมื่อในอดีต
เมิ่งฮ่าวมองเห็นบิดากำลังยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ตื่นเต้นและภาคภูมิใจ มองเห็นความเมตตาบนใบหน้าของมารดา รวมทั้งความภาคภูมิใจซึ่งมีแต่มารดาเท่านั้นที่จะสามารถรู้สึกได้
เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังเหล่าผู้ฝึกตนที่มารวมตัวกันอยู่ตรงด้านนอกดาวหนานเทียน จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับคนทั้งหมด
“สิ่งที่เมิ่งโหม่วกระทำไปในการต่อสู้กับสวรรค์ชั้นแรก คือสิ่งที่ผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลใดๆ ก็ตามจำเป็นต้องทำ เมิ่งโหม่วเพียงคนเดียวไม่อาจจะเป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะในสงครามครั้งนี้ได้ พวกเราขุนเขาทะเลต้องต่อสู้ร่วมกัน!”
เนื่องจากความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเมิ่งฮ่าวในสนามรบ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มพลังใดๆ เข้าไปในเสียง แค่คำพูดเหล่านี้เพียงลำพังก็กระจายเป็นความหลงใหลและกระตือรือร้นให้กับคนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้นกับสวรรค์ชั้นแรก เมิ่งฮ่าวก็เข้าใจแล้วว่าต้องไม่คิดถึงแต่ตนเองเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เขาต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และความรับผิดชอบนั้นก็เริ่มกดทับลงมาในจิตใจอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่คำพูดของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไป ผู้ฝึกตนนับล้านที่อยู่ด้านนอกดาวหนานเทียน ต่างก็ประสานมือและโค้งตัวลงอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวก้าวเดินต่อไป และคนทั้งหมดก็เปิดเป็นช่องทางให้เขาผ่านไป
คนทั้งหมดมองดูขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินผ่านเข้าไปในดาวหนานเทียน ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังบิดามารดา และเหล่าปรมาจารย์ต่างๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ตนเองสร้างขึ้นมาในสนามรบ ได้กลายเป็นความเหนื่อยล้าอย่างลึกล้ำที่ประดังเข้ามาในจิตใจ
บ้านคือสถานที่สำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง…
เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปยังบิดามารดา จากนั้นก็คุกเข่าลงโขกศีรษะ
“เตีย, เหนียง…ข้ากลับมาแล้ว”
ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเฝ้ามองดูขณะที่เมิ่งลี่ก้าวเดินตรงไป และดึงร่างเมิ่งฮ่าวให้ลุกขึ้นมา นางมองไปที่เขาชั่วขณะ ความเจ็บปวดใจแวบขึ้นมาในแววตา และจากนั้นก็ดึงเมิ่งฮ่าวเข้ามากอดอย่างอบอุ่น
ในตอนนี้เองที่เสียงร้องตะโกนขึ้นด้วยความดีใจก็ดังก้องไปทั่วทั้งดาวหนานเทียน ในจิตใจของผู้ฝึกตนขุนเขาทะเล เมิ่งฮ่าวคือสิ่งที่อยู่สูงสุด แต่ในขุนเขาทะเลที่เก้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกตนบนดาวหนานเทียนแล้ว เขาคือสิ่งที่สูงเกินไปกว่านั้น เขาคือ…เมิ่งฮ่าวของพวกมัน!
เมิ่งฮ่าวกลับมาแล้ว!
ดาวหนานเทียนสั่นสะเทือน เช่นเดียวกับขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมด ในช่วงเวลาครึ่งเดือนต่อมา ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนได้มาเยี่ยมเยือนดาวหนานเทียน ด้วยความหวังว่าจะได้พบกับเมิ่งฮ่าวสักครั้ง สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว เขาพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อพบกับคนเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยและต้องการจะพักผ่อนเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าต้องผิดหวังได้
เมื่อเมิ่งลี่ตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวกำลังมีความเครียดอยู่ นางก็ปะทุขึ้นราวกับเป็นสายฟ้า ไม่ยอมให้ผู้ใดผ่านประตูใหญ่เข้ามาได้ จากนั้นฟางซิ่วเฟิงก็เริ่มมาทำหน้าที่แทนเมิ่งฮ่าวเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อ ทำให้กลุ่มฝูงชนเริ่มจางหายไป
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็มีเวลาส่วนตัวได้บ้าง สามารถใช้เวลาร่วมกับมารดาและพี่สาว อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวด้วยความสงบสุขอย่างแท้จริง
เขาไม่ได้นั่งเข้าฌานหรือว่าฝึกฝนตนเอง ไม่ได้ออกจากตระกูลฟางเพื่อไปเยี่ยมเยียนสถานที่ต่างๆ ที่ตนเองคุ้นเคยบนดาวหนานเทียน เขาอยู่แต่ในคฤหาสน์บรรพชนเพื่อปล่อยให้จิตใจค่อยๆ เริ่มเยือกเย็นลงไปทีละน้อย
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเริ่มตระหนักแล้วว่าผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลได้เปลี่ยนมุมมองสำหรับตนเองไปแล้ว ฝานตงเอ๋อร์และผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ทั้งหมดที่เคยรู้จัก ต่างก็ปฏิบัติต่อเขา…แตกต่างไปจากเดิม
แม้แต่บิดาก็มักจะมองมาด้วยแววตาที่เกรงขามเป็นระยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกขมขื่น หรือแม้แต่เสียใจอีกด้วย
จากนั้นก็เป็นพี่สาว เมื่อคนทั้งสองยังเยาว์วัย นางให้สัญญาว่าจะปกป้องดูแลเขาตลอดไป แต่ตอนนี้นางก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน นางยังคงรักเมิ่งฮ่าวมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อนางมองมา เมิ่งฮ่าวสามารถจะเห็นแววตาที่หวาดหวั่นอยู่ในดวงตาของนางได้
จึงแทบจะไม่ต้องพูดถึงซุนไห่ มันรู้สึกเทิดทูนเมิ่งฮ่าวมานานแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อมันมองมา แววตาไม่เพียงแต่จะเทิดทูนบูชาเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้จนแทบจะบ้าคลั่งไป
มีเพียงมารดาคนเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับนางแล้วไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะอยู่ในอาณาจักรใดก็ตามแต่ ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ตามที เขาก็ยังคงเป็นบุตรชายของนาง
ขณะที่เมิ่งฮ่าวใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ก็มักจะมองออกไปยังที่ห่างไกลอยู่เป็นระยะ ที่ซึ่งเขารู้ว่าสวี่ชิงอยู่ที่ไหน บางครั้งก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับวิญญาณของฉู่อวี้เยียน…
สำหรับคนอื่นๆ ทั้งหมดที่เขารู้จัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการจะพบกับพวกมัน แต่ในตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาวิกฤตของอาณาจักรขุนเขาทะเล เขาจึงไม่อาจจะคิดไปถึงเรื่องอื่นๆ มากมายในช่วงเวลาเดียวกันนี้
เมิ่งฮ่าวเกิดความรู้สึกว่าตนเองกำลังเปลี่ยนแปลงไป เริ่มเงียบขรึมลง แม้แต่หินลมปราณก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสำคัญต่อตนเองเหมือนเช่นในอดีตเท่าใดนัก ตอนนี้ความคิดของเขามีแต่อาณาจักรขุนเขาทะเลมากขึ้นไปเรื่อยๆ…
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าขออยู่ในยุคสมัยที่ไม่มีสงครามจะดีกว่า…” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับถอนหายใจ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิม
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน รูปแบบการปิดล้อมของอาณาจักรขุนเขาทะเลถูกเปิดใช้อย่างสมบูรณ์ ขุนเขาทะเลแรกอยู่ตรงจุดบนสุด โดยมีทะเลแรกอยู่ด้านบน ตามมาด้วยขุนเขาแรก หลังจากนั้นก็เป็นทะเลที่สองและขุนเขาที่สอง…
อาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งหมด พุ่งขึ้นไปราวกับเป็นยักษ์หนึ่งตนที่ลุกขึ้นมายืนในสวรรค์และปฐพี!
ดวงตะวันและจันทราไม่ได้โคจรหมุนวนอยู่รอบๆ อาณาจักรอีกต่อไป แต่หยุดนิ่งอยู่คนละด้านเพื่อคอยเฝ้าระวังป้องกัน ทำให้ด้านหนึ่งของอาณาจักรขุนเขาทะเลเป็นกลางวันตลอดกาล และอีกด้านก็เป็นยามราตรีตลอดไป ในยามวิกฤตเช่นนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่คนทั้งหมดต้องมานั่งกังวลสนใจ
เวลาเดียวกันนี้ กลุ่มมนุษย์ธรรมดาจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรขุนเขาทะเล ก็ถูกจัดส่งไปยังขุนเขาทะเลที่เก้า ซึ่งตอนนี้…ได้กลายเป็นสถานที่ที่สำคัญมากที่สุดในอาณาจักรทั้งปวง!
ในทันทีที่รูปแบบการปิดล้อมของอาณาจักรขุนเขาทะเลถูกเปิดใช้อย่างสมบูรณ์ เจตจำนงแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลก็กล่าวขึ้นมาในจิตใจของผู้ฝึกตนทั้งหมด ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า
“สามสิบสองสวรรค์ใกล้จะมาแล้ว เกราะป้องกันของข้าไม่อาจจะคงอยู่ได้นานนัก อีกหนึ่งเดือนครึ่ง…พวกมัน…ก็จะมาถึงแล้ว”