Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1424

ตอนที่ 1424

เหล่าภูตผีกราบสักการะ

“ร่างเต๋า…ไร้สิ้นสุด…” ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพำเหล่านี้ยกเว้นเมิ่งฮ่าว แม้ในขณะที่เสียงเหล่านั้นพุ่งเข้ามา กลิ่นอายอันน่ากลัวของเมิ่งฮ่าวก็ระเบิดขึ้นจนกลายเป็นกระแสน้ำวน ที่ม้วนกวาดภูตผีออกไปจากร่างซูอี้และซินเยี่ย

แต่ก็มีภูตผีอยู่มากมายเกินไป มากจนกระทั่งหนังศีรษะของเมิ่งฮ่าวต้องด้านชาขึ้นมา ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้ เขาก็ยื่นมือออกไปคว้าจับซูอี้และซินเยี่ย จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังเจ้าสำนัก

แม้ในขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งทะยานออกไป ก็มองไปรอบๆ และเห็นเงาร่างกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นจากอาคารบ้านเรือนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในเมืองแห่งนี้ เงาร่างเหล่านั้นยังมีความแข็งแกร่งกว่ากลุ่มที่เคยเห็นมาจากก่อนหน้านี้มากนัก และยังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่มีภูตผีอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ก็อยู่ห่างไกลออกไปมาก เมิ่งฮ่าวยังมองเห็นแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่สูงขึ้นไปในท้องฟ้าอีกด้วย!

แท่นบูชานั้นมีขนาดใหญ่โตจนสามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแม้ว่าจะอยู่ในที่ห่างไกลก็ตาม เมื่อมองไปอย่างละเอียดมากขึ้น ก็จะเห็นว่ามันกำลังลอยตัวอยู่ตรงด้านบนของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก

จำนวนภูตผีที่อยู่ตรงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกนี้มีมากเป็นอย่างยิ่งจนไม่อาจจะนับได้ ที่ห่างไกลออกไปยากจะมองเห็นดินแดนอันกว้างใหญ่อื่นๆ อีกแปดแห่งได้อย่างชัดเจน

เมิ่งฮ่าวเริ่มตระหนักได้อย่างช้าๆ ว่าบนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้า ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตนเองมากที่สุด มีบัลลังก์ขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง และนั่งไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง!

สายตาของคนผู้นั้นมองทะลุผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตกกระทบมาบนร่างเมิ่งฮ่าว เห็นได้ชัดว่า…คนผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวคำว่า ‘ร่างเต๋าไร้สิ้นสุด’ เมื่อครู่นี้ และตอนนี้มันก็เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง

“มหันตภัยมาแล้ว จุดสูงสุดแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เจ้าคือคนสุดท้าย…”

“หลัวเทียน (สวรรค์ทั้งปวง) หวาดกลัวเซียน…”

“ในที่สุด…เจ้าก็มาแล้ว…” เมื่อเสียงนั้นดังก้องออกมา ก็ดูเหมือนว่ากลุ่มภูตผีจะเริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้นกว่าเดิม เวลาเดียวกันนั้นตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ภายในร่างก็เริ่มลุกโชนมากขึ้น

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อเมิ่งฮ่าวล่าถอยออกมาจากกลุ่มภูตผี ก็รู้สึกได้ถึงความบ้าคลั่งที่อยู่ภายในพวกมัน แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่มีเจตนาร้ายใดๆ กลับดูกระวนกระวายใจมากกว่า แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ขณะที่กลิ่นอายอันน่ากลัวของเมิ่งฮ่าวผลักดันให้กลุ่มภูตผีต้องถอยร่นออกไป เขาก็หลับตาดวงที่สามลง ในตอนนี้เองที่ทุกสิ่งทุกอย่างหายวับไป แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นอันน่าเหลือเชื่อที่กำลังพุ่งขึ้นมาอยู่ในบริเวณนี้

“ไปกันเถอะ!” เจ้าสำนักกล่าวขึ้น คนทั้งหมดเริ่มเคลื่อนที่ต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีความปั่นป่วนวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง ยากที่จะบอกได้ว่าทุกคนกำลังพุ่งตรงไปยังทิศทางใด เมื่อคนทั้งหมดเคลื่อนที่ออกไป กลิ่นอายอันเย็นชาที่อยู่ด้านหลังก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่เนื่องจากว่าเมิ่งฮ่าวได้ปิดดวงตาที่สามไป ก็เห็นได้ชัดว่ากลุ่มภูตผีไม่อาจจะตรวจจับตำแหน่งในตอนนี้ของคนทั้งหมดได้ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามทุกคนก็หลุดพ้นออกมาจากความหนาวเย็นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด สำหรับซูอี้และซินเยี่ย พวกนางมีท่าทางรู้สึกผิดขณะที่ตามหลังเมิ่งฮ่าวมาอย่างเงียบๆ

ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ กล่าวกับเมิ่งฮ่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะในทันที

“บัดซบ เจ้าทำอะไรลงไป? รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้พวกเราตกอยู่ในอันตรายโดยสิ้นเชิง!?”

“ช่างวู่วามนัก! เกือบทำให้พวกเราต้องถูกสังหารไปแล้ว!!” ถึงแม้ว่าพวกมันจะมองไม่เห็นกลุ่มภูตผีจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าเพิ่งจะพบเจอกับอันตรายจนถึงตายมา ถ้ากลิ่นอายอันหนาวเย็นเหล่านั้นปกคลุมไปทั่วร่าง พวกมันก็ไม่มีทางจะหลบหนีจากไปได้ และคงจะต้องอยู่ภายในนั้นไปตราบชั่วนิรันดร์

เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวคำอธิบายใดๆ แต่ก็ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับคนทั้งหมด

โดยปกติแล้วเมิ่งฮ่าวมักจะมีท่าทางที่เย็นชา เมื่อได้เห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็ทำให้สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่ส่วนมากต้องอ่อนลง แต่ก็ยังคงบูดบึ้งอยู่บ้าง ตอนนี้กลุ่มคนทั้งหมดอยู่บนเส้นทางที่ต่างจากก่อนหน้านี้และไม่มีใครรู้ว่าจะต้องไปยังทิศทางไหน

คนทั้งหมดรู้ดีว่าการเดินไปผิดเส้นทางจะมีผลที่ตามมาอย่างไร

การสำนึกผิดของเมิ่งฮ่าวด้วยการประสานมือก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ส่วนมากเงียบลง แต่ตี้ลิ่วจื้อจุนก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา “มีกำลังแต่ไร้สมองจริงๆ! เจ้าน่าจะปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองนั่นตายไป! การช่วยเหลือพวกนางช่างเป็นการสูญเปล่านัก พวกนางสมควรตาย!”

โดยปกติแล้วมันไม่คิดที่จะพูดจาเช่นนี้ หลังจากที่เพิ่งจะต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวมา แต่ตอนนี้เมิ่งฮ่าวทำให้คนทั้งหมดไม่พอใจขึ้นมา มันจึงพยายามที่จะราดน้ำมันลงไปในกองไฟ

“ใช่แล้ว เหลาจิ่ว แค่ประสานมือขอโทษยังไม่เพียงพอ นี่คือเรื่องใหญ่! เจ้าทำให้พวกเราทั้งหมดหลงทาง และน่าจะรู้ว่าตอนนี้พวกเราตกอยู่ในอันตรายมากแค่ไหน!” ตี้ปาจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับแปด) เห็นด้วย กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

คำพูดที่เปล่งออกมาของคนทั้งสอง ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ต้องขมวดคิ้วขึ้น

เจ้าสำนักมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น

เมิ่งฮ่าวมองกลับไปและกล่าวว่า “ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือ ท่านเจ้าสำนัก”

อันที่จริงเจ้าสำนักไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแม้แต่น้อย แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่ามันจะมีทัศนคติต่อเรื่องนี้อย่างไร ต่อการที่เขากลับมาและพูดจาเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ยกเว้นตี้ลิ่วจื้อจุนแล้ว ต่างก็พยายามจะมาช่วยเหลือตนเอง เมิ่งฮ่าวไม่มีทางลืมเรื่องนี้ ทำให้ต้องมีมุมมองต่อชางหมางพ่ายดีมากขึ้นกว่าเดิม

“เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นอะไร?” เจ้าสำนักถามขึ้น

“เมืองภูตผี สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดคือเมืองๆ หนึ่ง มีอุกกาบาตเป็นอาคารบ้านเรือน พวกเราถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มภูตผีนับไม่ถ้วน สถานที่แห่งนี้…คือเมืองภูตผีที่ดวงตาของคนมีชีวิตไม่อาจจะมองเห็นได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทันใดนั้นเจ้าสำนักก็ยื่นมือออกไป และทำท่าคว้าจับ รอยแตกแยกเปิดออก และแผ่นหยกที่เก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ยื่นส่งให้กับเมิ่งฮ่าว

“ลองดูว่านั่นคือเมืองที่เจ้าเห็นหรือไม่?!”

เมิ่งฮ่าวรับแผ่นหยกไปและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนกวาดไปมา ภาพๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ เป็นภาพอันเลือนรางของเมืองๆ หนึ่ง ซึ่งจดจำได้ในทันทีว่าเป็นเมืองภูตผีที่เคยเห็นมา!

“ใช่เมืองนี้อย่างแน่นอน”

เมื่อเจ้าสำนักได้ยินเช่นนี้ สีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้น ดูค่อนข้างจะตื่นเต้น ถามขึ้นว่า “เจ้าสังเกตเห็นเส้นทาง…?”

เมิ่งฮ่าวคิดย้อนกลับไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเห็นมา และนึกขึ้นได้ถึงเส้นทางแห่งหนึ่งที่ไม่มีภูตผี จึงพยักหน้าให้

เจ้าสำนักมองไปรอบๆ ยังอุกกาบาตเหล่านั้นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน ในที่สุดก็กล่าวกับคนทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับการพูดพึมพำกับตัวเอง

“เคยมีตำนานได้กล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว สถานที่แห่งนี้คือเมืองๆ หนึ่ง เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ดินแดนอันกว้างใหญ่ทั้งเก้าเป็นเพียงแค่จุดศูนย์กลางของเมืองนี้เท่านั้น”

“ในช่วงเวลานั้น มันถูกเรียกว่าเมืองเสินเหริน (เมืองแห่งเทพ)”

“ในวันหนึ่ง เมืองนี้ได้หายไปในชั่วค่ำคืนเดียว คนทั้งหมดตกตายไป…สิ่งมีชีวิตมากมาย ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน ต่างก็ตายไปทั้งหมด…พวกมันตายอย่างประหลาดและลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง และเกิดขึ้นอย่างเงียบกริบโดยสิ้นเชิง”

“มีแต่ท่านปรมาจารย์ชางหมางและคนอื่นๆ อีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ พวกท่านจากไปพร้อมกัน หลังจากนั้นชางหมางพ่ายก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต”

“หลายปีต่อมา ท่านปรมาจารย์ชางหมางก็กลับมา และเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสุสานของท่าน”

“จากตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ในที่สุดท่านก็ตายไปในที่แห่งนี้ แต่ก็ยังมีข่าวลืออื่นๆ ที่บอกว่าท่านยังไม่ได้ตายไปอีกด้วย สถานที่แห่งนี้ได้อยู่เคียงคู่กับโครงกระดูกของท่านมาโดยตลอด จนกระทั่งหลังจากที่ผ่านไปนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน วิธีการเข้าไปสู่จุดสูงสุดที่ท่านทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็ปรากฏขึ้น”

“ตำนานเคยบอกไว้ว่า เดิมทีท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวไม่ได้เป็นเช่นนี้ มีข่าวลือบอกว่าเนื่องจากความเสียใจของปรมาจารย์ชางหมางที่ต้องฝังสหายของตนเองไว้ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ทำให้ท่านเปลี่ยนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวจนกลายเป็นความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตไป เพื่อให้ร่วมกลบฝังไปพร้อมกับสหายของท่าน”

“เมืองที่เจ้าเห็นก็คือเมืองเสินเหรินในอดีต…เหลาจิ่ว ช่วยนำพวกเราไปตามเส้นทางที่เจ้าเห็น นั่นคือหนทางที่จะนำไปสู่เขตสุสาน”

มันถอนหายใจหลังจากที่บอกเล่าเรื่องราวให้กับกลุ่มคนทั้งหมด คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน แต่นี่คือครั้งแรกของเมิ่งฮ่าวที่ได้ยินเรื่องนี้ หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขาก็คิดไปถึงโลกของภูตผี และเงาร่างที่เคยเห็นบนดินแดนอันกว้างใหญ่ที่เก้าแห่งนั้น

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็พยักหน้าและมองออกไปยังที่ห่างไกล จากนั้นก็นำทางไป โดยมีคนทั้งหมดมุ่งหน้าติดตามเข้าไปในความว่างเปล่า

ตอนแรกเมิ่งฮ่าวทำการเลือกเส้นทางด้วยความระมัดระวังและคิดมากเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็เริ่มมีความรวดเร็วเพิ่มขึ้น ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ หรือการตายไปเกิดขึ้น ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีกลุ่มภูตผีอยู่บนเส้นทางที่คนทั้งหมดมุ่งหน้าไป

ตี้ลิ่วจื้อจุนและตี้ปาจื้อจุนดูไม่ค่อยพอใจเป็นอย่างมาก แต่สำหรับผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ทั้งหมด ดวงตาพวกมันสาดประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดคนทั้งหมดก็เข้าไปใกล้กับดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก

อย่างไรก็ตามในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น กลิ่นอายอันเย็นชาจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น คนทั้งหมดสามารถจะรับรู้ถึงมันได้ และก่อนที่จะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ความหนาวเย็นนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า พันเท่า จากนั้นก็หมื่นเท่าและมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เมื่อความหนาวเย็นราวน้ำแข็งอันไร้ขอบเขตปกคลุมอยู่รอบๆ บริเวณนั้น กระแสของกลิ่นอายต่างๆ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้คนทั้งหมดต้องรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ตามที และทำให้สีหน้าของเจ้าสำนักต้องสลดลง

เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง เช่นเดียวกับคนทั้งหมดที่อยู่ด้านหลัง

“เมิ่งฮ่าว เจ้าทำได้ดีมาก!!” ตี้ลิ่วจื้อจุนร้องตะโกนนามของเมิ่งฮ่าวขึ้นมาโดยตรงด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว ไม่คิดที่จะไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย

ตี้ปาจื้อจุนขมวดคิ้วและจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร “บัดซบ เจ้าไม่ได้กำลังนำทาง เจ้ากำลังส่งพวกเราไปตาย!”

ใบหน้าของผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ บึ้งตึงและเย็นชา และพวกมันก็เริ่มโคจรหมุนวนพื้นฐานฝึกตนไปมา

“พอได้แล้ว!” เจ้าสำนักร้องตวาดออกมา พร้อมกับแอบถอนหายใจ ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่การล่าถอยจากไป ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นความสูญเสียหรือได้รับบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ โอกาสรอดชีวิตของพวกมันขึ้นกับโชควาสนาของแต่ละคนแล้ว

ความหนาวเย็นพุ่งขึ้นมาจนทำให้จิตใจของคนทั้งหมดต้องสั่นสะท้าน เจ้าสำนักถอนหายใจด้วยความขมขื่น

“ยกเลิกแผนการ สังหารออกไปในทันที พวกเราจะเตรียมตัวมาใหม่ในครั้งหน้า” ด้วยเช่นนั้นมันจึงเตรียมพร้อมที่จะจากไป ตี้ลิ่วจื้อจุนและตี้ปาจื้อจุนจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความเคียดแค้น ซ่างกวนหงและผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ถอนหายใจออกมา

แต่จากนั้นดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายขึ้นมา และกล่าวขึ้นในทันที “รอสักครู่!”

ตี้ลิ่วจื้อจุนหมุนตัวกลับมาจ้องมองดูเมิ่งฮ่าว ยิ้มอย่างเย็นชากล่าวว่า “เจ้ากำลังจะทำอะไร? หรือว่าไม่ต้องการให้พวกข้าจากไป เจ้าวางแผนที่จะใช้สถานที่แห่งนี้สังหารพวกข้าไป? เมิ่งฮ่าว เจ้าช่างมีจิตใจที่ชั่วร้ายนัก คิดว่าพวกข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลืนกินตี้จิ่วจื้อจุนไปแล้วจริงๆ?”

“หุบปาก! เหลาจิ่ว อย่าได้ถือสา ก่อนหน้านี้เหล่าฟูไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน พวกเราจะกลับมาใหม่ในครั้งหน้า” เจ้าสำนักกล่าวขึ้น ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหงุดหงิดต่อเหตุการณ์ที่กลับกลายเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังคงพยายามพูดจาด้วยดี

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจตี้ลิ่วจื้อจุนกล่าวว่า “ไม่ใช่ ข้ารู้สึกว่า…ภูตผีเหล่านี้ ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อข้า” ขณะที่กล่าว ดวงตาที่สามก็เปิดออก

เวลาเดียวกันนั้นตี้ลิ่วจื้อจุนก็แผดร้องขึ้นมา “คาดไม่ถึงว่าเจ้ายังกล้าที่จะเปิดดวงตา…หือ?”

ก่อนที่มันจะทันได้กล่าวจบ คำพูดในส่วนที่เหลือก็ติดอยู่ในลำคอ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อมองไปยังรอบๆ บริเวณนั้น

มันรับรู้ได้ว่าในตอนนี้ ความหนาวเย็น…จริงๆ แล้วก็กระจายเป็นความรู้สึกของ…การยอมจำนน!! สิ่งที่แข็งแกร่งทรงพลังในที่แห่งนี้ซึ่งทำให้มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อันที่จริงกำลัง…แสดงความจงรักภักดีออกมา!!

ไม่ใช่มันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดสามารถจะรับรู้ถึงร่องรอยนี้ได้ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกมัน สำหรับเมิ่งฮ่าว เมื่อเขามองไปรอบๆ ยังโลกแห่งนี้ ก็ได้เห็นภูตผีนับไม่ถ้วนทั้งหมด กำลังคุกเข่าลงไปเพื่อกราบกรานสักการะ!

และพวกมันกำลังคุกเข่าให้กับเขา!

ราวกับเป็นการมองไปยังคลื่นที่พุ่งผ่านผิวน้ำทะเล เมื่อเหล่าภูตผีนับไม่ถ้วนเริ่มทยอยคุกเข่าลงไป…

ช่างเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจยิ่ง!

ความคลุ้มคลั่งของพวกมันไม่ได้ประกอบด้วยรังสีสังหาร และการพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เนื่องมาจากว่าพวกมันต้องการจะมาทำร้าย แต่พวกมันสามารถจะสัมผัสได้ถึง…กลิ่นอายที่เป็นจักรพรรดิของตนเอง!!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!