ตอนที่ 1447
ข้าต้องการมีเรื่อง
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น เท้าข้างหนึ่งอยู่ตรงปากทางออก พลังอันอ่อนโยนกำลังดึงร่างตนเองไว้ ราวกับว่าจะฉุดลากเขาออกไป แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ยอมให้เท้าอีกข้างของตนเองต้องก้าวเข้าไปตรงปากทางออก
เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านมองกลับไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป กระจกทองแดง…คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง ภายในกระจกบานนั้นคือนกแก้ว ซึ่งได้กลายเป็นสหายของตน!
ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องคิดไปถึงผีโต้ง นกแก้วและผีโต้งมักจะโต้เถียงกันเป็นประจำ แต่…พวกมันก็กลายมาเป็นเหมือนกับครอบครัวของตนเองมานานแล้ว
แล้วเขาจะลืมเลือนผีโต้งที่ชอบพูดมากหรือว่านกแก้วที่ชอบคุยโม้โอ้อวดไปได้อย่างไร? เขาจะลืมพวกมันที่เรียกตัวเองว่าอู่เหยียและซานเหยียได้อย่างไร? เขาจะลืมบทเพลงไห่เซียน (อาหารทะเล) ได้อย่างไร?
เรื่องราวทั้งหมดเหล่านั้นยังคงอยู่ในจิตใจ และจะอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล ในครั้งสุดท้ายในช่วงวิกฤตความเป็นตาย นกแก้วยินดีที่จะลบล้างความทรงจำของมันไปเพื่อเมิ่งฮ่าว และผีโต้งก็ยินยอมเสียสละพลังชีวิตที่ไม่มีวันตายไปของมันเพื่อเขา
ในที่สุดสติสัมปชัญญะของหนึ่งในสหายของตนเองก็ถูกกวาดล้างออกไป และถูกกองกำลังทั้งสองเหล่านั้นนำไป อีกหนึ่งได้กลายเป็นชุดเกราะที่ไร้ชีวิต ซึ่งตอนนี้ได้ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของถุงสมบัติเมิ่งฮ่าว
“นกแก้ว…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ในตอนนั้นเองที่จินหยุนซานส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งผ่านตรงไปยังปากทางออก และจากนั้นก็หายลับตาไป หลังจากมันก็เป็นซาจิ่วตง และจากนั้นก็เป็นเจ้าสำนัก คนทั้งหมดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อหลบหนีจากไป
เมื่อพวกมันจากไป ก็มองมายังเมิ่งฮ่าวและสงสัยว่าเขากำลังลังเลอะไร แต่ไม่มีเวลาที่จะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ และพวกมันก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าจะลืมเลือนผู้ฝึกตนแห่งชางหมางพ่ายไปแล้ว ขณะที่พวกมันพุ่งผ่านเขาไป สายตาเมิ่งฮ่าวกำลังจ้องนิ่งอยู่ที่กระจกทองแดง
เขามองเห็นกระจกทองแดงกระแทกเข้าไปยังดรรชนีนั้นจนสั่นสะท้านไปมา อย่างน่าตกใจยิ่งดรรชนีได้เอียงไปทางด้านข้าง และรอยแตกร้าวก็เริ่มกระจายออกไปทั่วทั้งพื้นผิวของมัน ขณะที่สั่นสะท้านไปมา
เสียงร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจดังก้องขึ้น และจากนั้นดรรชนีที่แตกร้าวนั้นก็เหวี่ยงสะบัดไปยังกระจกทองแดง
กระจกทองแดง…แตกกระจายไป
ชิ้นส่วนเก้าชิ้น…แตกกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง แปดชิ้นส่วนลอยออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรงที่ไหนสักแห่ง สำหรับส่วนหลักของกระจกมันไม่ได้แตกกระจายไป แต่เริ่มมืดสลัวลงไปขณะที่ลอยเข้าไปในส่วนลึกมากที่สุดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม…หนึ่งในชิ้นส่วนของกระจกเหล่านั้น…ได้ตกลงมาบนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม…
เมิ่งฮ่าวมองเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เริ่มสั่นสะท้าน และเต็มไปด้วยความต้องการที่จะไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สามในทันที เพื่อค้นหาชิ้นส่วนของกระจก!!
เขามีความรู้สึกว่าถ้าสามารถค้นหาชิ้นส่วนนั้นได้ บางที…ก็อาจจะรู้สึกถึงกระจกทองแดงได้อีกครั้ง และอาจจะรับรู้ถึงนกแก้วได้อีกด้วย!
เมื่อกระจกแตกกระจายไป เงาร่างที่อยู่บนดินแดนอันกว้างใหญ่ที่เก้าก็พุ่งตรงไปยังดรรชนีนั้น กระจายเป็นความรู้สึกเสียใจและบ้าคลั่งออกมา…
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัน เมิ่งฮ่าวมองไม่เห็น เขาเพ่งมองไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่ที่สามโดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่จากชางหมางพ่ายหลบหนีจากไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้สองคนที่ยังคงพุ่งตรงไปยังปากทางออก พวกมันอยู่ห่างเพียงแค่สิบจ้างเท่านั้น แต่ทันใดนั้นเองก็สั่นสะท้านขึ้นมาและกลายเป็นเถ้าธุลีไป
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าวก็มืดสลัวลงไปราวกับว่ามันกำลังจะมอดดับลงไป เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงที่อันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ และความตายกำลังพุ่งตรงมา
เมิ่งฮ่าวรู้ว่าตนเองกำลังเดินอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นและความตาย แต่ก็ยังคงเลือกที่จะลืมดวงตาที่สามขึ้นมา ด้วยการใช้ดวงตาที่สามนี้เขาก็จะรับรู้ได้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนซึ่งชิ้นส่วนของกระจกตกลงไปบนดินแดนอันกว้างใหญ่ที่สาม และสามารถจะบันทึกไว้ในความทรงจำของตนเอง
เมื่อถึงเวลานั้น ความตายก็แทบจะมาถึงที่เบื้องหน้าแล้ว ราวกับเป็นปากที่มองไม่เห็นกำลังเตรียมที่จะกลืนกินเขาลงไป ในตอนนั้นเองที่เมิ่งฮ่าวแหงนหน้าขึ้นและร้องตวาดออกไป ก้าวเดินเข้าไปในปากทางออกอย่างเต็มตัวและหายลับตาไป
ชั่วขณะต่อมา ระลอกคลื่นแห่งความตายก็ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ตรงตำแหน่งที่เมิ่งฮ่าวยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ย้อนกลับไปยังดาวชางหมาง ในค่ายกลประตูเคลื่อนย้ายทางไกลบนดาวครึ่งดาว…
เมิ่งฮ่าวก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา กระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ ใบหน้าซีดขาว แต่ดวงตาก็ยังคงสาดประกายเจิดจ้าขึ้น ราวกับว่าเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งโทสะ
คนทั้งหมดมีท่าทางแปดเปื้อนมอมแมมไปโดยสิ้นเชิง จากผู้คนนับสิบที่เข้าไปในเขตสุสาน มีเพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้นที่ออกมาอย่างปลอดภัย ที่เหลือ…ถูกกำจัดไปตรงด้านใน
เมิ่งฮ่าวมองไปยังเจ้าสำนักและถามขึ้นว่า “พวกเราจะกลับเข้าไปอีกเมื่อไหร่!?”
“อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งปี แต่ไม่อาจจะรับประกันได้ว่าพวกเราจะกลับไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น ต้องเตรียมการอีกหลายอย่าง และเหล่าฟูก็จำเป็นต้องไปขอร้องให้เซียนไป๋อู้เฉินมากับพวกเราด้วยตนเอง! ด้วยการมีนางและตี้เอ้อร์จื้อจุนอยู่ พวกเราก็จะมีผู้ฝึกตนเก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุดอยู่หกคน เมื่อรวมกับท่านแล้ว เหล่าฟูก็เชื่อมั่นว่าพวกเราจะสามารถเปิดเป็นเส้นทางไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สองได้” อันตรายที่คนทั้งหมดเพิ่งจะพบเจอมาไม่ได้ช่วยลดความต้องการที่จะกลับเข้าไปอีกครั้งของเจ้าสำนักลงแม้แต่น้อย และจริงๆ แล้วก็ยังกระตุ้นให้มันคิดว่าน่าจะกลับเข้าไปมากขึ้นกว่าเดิม
ด้วยแท่นบูชาเหนือสูงสุด คนทั้งหมดก็จะมีความหวังที่จะเข้าไปสู่จุดเหนือสูงสุดได้!
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ จากนั้นก็มองลงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลที่ตนเองยืนอยู่ จิตใจเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น เขาได้รับประโยชน์มากที่สุดในการเดินทางเข้าไปในเขตสุสานนี้ ที่สำคัญมากที่สุดก็คือได้รับรู้ถึงร่องรอยของกระจกทองแดง ทำให้มีความมุ่งมั่นที่จะกลับเข้าไปอีกครั้งมากขึ้นกว่าเดิม!
“ถ้าข้าสามารถค้นหาชิ้นส่วนกระจกนั่นได้ บางทีก็อาจจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกระจกทองแดงนั่นได้…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งหวัง หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ ก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแปดแก่นแท้สองคนลอยออกมา มีท่าทางสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าพวกนางจะอยู่ภายในถุงสมบัติของเมิ่งฮ่าว แต่ก็ไม่ได้ถูกผนึกความสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกด้านนอก
เมื่อเมิ่งฮ่าวหยุดลงตรงปากทางออก ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงสถานการณ์อันตรายที่ร้ายแรงอย่างถึงที่สุด
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวบึ้งตึงขณะที่เดินออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกล รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย จิตใจเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ก็ต้องรอคอยอย่างไร้ทางเลือก
ขณะที่เมิ่งฮ่าวออกมาจากค่ายกลเวท จินหยุนซานก็ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า หลังจากที่กลับมายังชางหมางพ่าย มันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา ย้อนกลับไปยังเขตสุสาน เมิ่งฮ่าวอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ ด้วยการมีเหล่าภูตผีนับไม่ถ้วนพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งในทันที ทำให้จินหยุนซานต้องก้มศีรษะให้อย่างช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้คนทั้งหมดกลับมาในสำนัก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ตั้งใจที่จะไปตอแยเมิ่งฮ่าว แต่อย่างน้อยก็มองไปด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
ไม่ใช่ว่ามันต้องการจะมีเรื่องกับเมิ่งฮ่าว นอกจากนั้นทั้งเจ้าสำนักและซาจิ่วตงก็ได้สาบานไว้แล้ว แต่หลังจากที่สะกดข่มความรู้สึกไว้เป็นเวลานานตอนที่อยู่ในเขตสุสาน ตอนนี้เมื่อกลับเข้ามาในชางหมางพ่ายแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มันไม่ต้องการจะสะกดข่มความรู้สึกนั้นไว้อีกต่อไป
การแสดงออกของเมิ่งฮ่าวบนแท่นบูชาเหนือสูงสุดช่างน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และการต่อสู้กับอำนาจสวรรค์ก็น่าประหลาดใจ แต่จินหยุนซานก็เชื่อว่าเมิ่งฮ่าวกระทำทั้งหมดด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าภูตผี เมื่อรวมกับเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยใช้แก่นแท้ที่เก้าออกมา ก็ทำให้จินหยุนซานไม่เชื่อว่า…เมิ่งฮ่าวจะไม่มีแก่นแท้ที่เก้า ในความคิดของมันเมิ่งฮ่าวกำลังแอบซ่อนไพ่ไม้ตายไว้
ดังนั้นมันจึงไม่มีความตั้งใจที่จะไปต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวจริงๆ ได้แต่มองไปด้วยสายตาที่เย็นชาเท่านั้น
ดวงตาเมิ่งฮ่าวหรี่เล็กลง ขณะที่มองตอบกลับมา กล่าวขึ้นว่า
“หลีกทาง”
จินหยุนซานขมวดคิ้ว คนทั้งหมดอยู่ในพื้นที่กว้างขวาง ต่อให้มันยืนอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวจริงๆ ก็เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะเดินผ่านมันไป
“เจ้าต้องการมีเรื่องกับข้า?” จินหยุนซานกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม
เป็นเพียงแค่ประโยคเดียวและมองไปด้วยความเย็นชาครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจินหยุนซานจะคาดคิดได้อย่างไรว่าจะได้รับการตอบกลับมาเช่นนี้ ดวงตาเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนเป็นเย็นชา และกล่าวขึ้นว่า “ใช่แล้ว ข้าต้องการมีเรื่อง!”
แม้ในขณะที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก เมิ่งฮ่าวก็พุ่งทะยานตรงมาและต่อยหมัดที่ทรงพลังออกไป
หมัดนั้นประกอบไปด้วยพลังของการทำลายล้างชีวิต, การเผาไหม้ตนเอง, สังหารเทพ และพิฆาตมาร พื้นดินสั่นสะเทือนและภูเขาก็สั่นไหวไปมา สีสันแวบขึ้นไปในท้องฟ้า เกิดเป็นภาพที่สว่างจ้าออกไป
สีหน้าจินหยุนซานสลดลง มันได้รับบาดเจ็บอยู่ในเขตสุสานมาอย่างสาหัส และตอนนี้ก็สามารถจะต่อสู้ได้เพียงแค่เจ็ดในสิบส่วนของพลังทั้งหมดเท่านั้น เมื่อตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวโจมตีมาในทันที ก็รีบขยับมือร่ายเวทเพื่อตอบโต้กลับไป เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกมาในท่ามกลางกลุ่มคนทั้งหมด
จินหยุนซานถอยไปทางด้านหลังด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน รู้สึกว่าถูกสบประมาทมากขึ้นกว่าเดิม โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความบ้าคลั่ง
ความจริงของเรื่องนี้ก็คือว่า…มันไม่มีความตั้งใจจะต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวอย่างแท้จริง ในจิตใจของมันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ สิ่งที่มันกระทำมาทั้งหมดก็คือว่า มองไปยังทิศทางของเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เย็นชาเท่านั้น ไม่ได้ทำสิ่งใดที่มีเจตนายั่วยุแม้แต่น้อย เพียงแค่มีทีท่าที่เย็นชาเท่านั้น
แต่มันก็โชคร้าย ที่ไม่รู้ว่าได้ไปมีเรื่องกับคนบ้าเข้าแล้ว…
มันไม่รู้และความจริงแล้วก็ไม่มีใครรู้ เจ้าสำนักกำลังฝืนยิ้มออกมา และซาจิ่วตงก็แอบคร่ำครวญอยู่ภายในใจ ดวงตาของตี้เอ้อร์จื้อจุนเบิกกว้าง ถึงแม้มันจะตระหนักดีว่าเมิ่งฮ่าวเอาแต่ใจตนเองมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นสิ่งเช่นนี้เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า…เมิ่งฮ่าวมีอารมณ์ไม่ดี และจำเป็นต้องหาที่ระบายไปยังใครบางคน และคนผู้นั้นก็คือจินหยุนซาน…
เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น จินหยุนซานรู้สึกถูกสบประมาทและมีโทสะ แต่ในขณะที่มันขยับมือร่ายเวทเพื่อปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกไป
เมิ่งฮ่าวก็กลายร่างเป็นวิหคยักษ์ เสียงกระหึ่มได้ยินมาขณะที่ขนนกนับไม่ถ้วนหมุนวนไปมาอยู่ในกลางอากาศ และเวลาเดียวกันนั้นเวทผนึกก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน!
เสียงระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าดังก้องออกมา จินหยุนซานได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว และรู้สึกหวาดกลัวต่อเมิ่งฮ่าวตอนที่อยู่ในเขตสุสาน ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้ด้วยแม้แต่น้อย จึงไม่อาจจะตอบโต้กลับไปได้ ไม่ว่ามันจะทำอย่างไรก็ตามที
เจ้าสำนักส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ในที่สุดก็พุ่งเข้าไปแยกเมิ่งฮ่าวออกมาจากจินหยุนซานพร้อมกับซาจิ่วตง จินหยุนซานจ้องมองไปด้วยโทสะขณะที่ถูกฉุดลากออกไปทางด้านหลัง
“เจ้าบ้า! เจ้าอารมณ์ไม่ดีแล้วจะสามารถตบตีผู้คนไปทั่วหรืออย่างไร? เรื่องระหว่างพวกเราก่อนหน้านี้ไม่ใช่จบลงไปแล้ว? เจ้ารับกำไลเก็บสมบัติจากข้าไปแล้ว!!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวนึกย้อนไปถึงเรื่องกำไลเก็บสมบัติ สีหน้าก็อ่อนโยนลง และกระแอมไอออกมา ต้องการจะพูดจาบางอย่าง แต่ก็นึกเรื่องที่เหมาะสมมาพูดไม่ได้ สุดท้าย…ก็เป็นความจริง เนื่องจากตนเองกำลังมีอารมณ์ไม่ดี จึงสร้างปัญหาขึ้นมา
พร้อมกับเสียงแค่นเย็นชา เขาหมุนตัวบินตรงไปยังเมืองตี้จิ่วจื้อจุน และเข้าไปนั่งเข้าฌาณตามลำพังในทันที
“เจ้าคนบ้า! เจ้าบ้า!” จินหยุนซานจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังบินจากไป และสาบานกับตนเองว่าจะต้องล้างแค้นนี้ให้จงได้ แต่จากนั้นก็คิดไปว่าเมิ่งฮ่าวอดทนอยู่บนแท่นบูชาเหนือสูงสุดได้ถึงสิบหกวัน และคนทั้งสองก็มีระยะห่างที่กว้างใหญ่มากในแง่ของพลัง เมิ่งฮ่าวยังไม่ได้ใช้แก่นแท้ที่เก้าออกมาแม้แต่น้อย! ที่สำคัญมากที่สุดก็คือเมื่อเขาอยู่ในเขตสุสานก็กลายเป็นผู้ไร้พ่ายไปเองตามธรรมชาติ และต้องมีการเดินทางเข้าไปในเขตสุสานอีกหลายครั้งในอนาคต ทำให้มันต้องเลิกล้มความคิดที่จะล้างแค้นไปในที่สุด
“บัดซบ หลังจากนี้ข้าต้องไม่ไปยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าบ้านี้อีกแล้ว!”