ตอนที่ 1506
ถูกตัดขาดอยู่ด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต
ในช่วงเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำ เสียวเป่าที่ตาบอดซึ่งเป็นชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวกำลังแกะสลักท่อนไม้อยู่ ทันใดนั้นมือก็สั่นสะท้านขึ้นมา และนิ้วก็ถูกกรีดเป็นบาดแผลขึ้นโดยบังเอิญ โลหิตเริ่มไหลซึมออกมา
เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน ความรู้สึกแปลกๆ วิ่งผ่านไปทั่วจิตใจ ขณะที่เส้นใยเส้นหนึ่งซึ่งมักจะเชื่อมต่อกับตนเองอยู่ตลอดเวลา จู่ๆ ก็ถูกตัดขาดออกไป
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น เสียวเป่าก็รู้สึกราวกับว่าได้สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ขณะที่นั่งอย่างเงียบๆ อยู่ที่นั่น ก็ได้ยินเสียงหอบหายใจดังออกมาจากด้านข้าง ภรรยาของตนเองรีบวิ่งเข้ามา ทำการห้ามโลหิตไม่ให้ไหลออกมาในทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” นางถาม หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ เสียวเป่าก็ส่ายหน้า
“ไม่มีอันใด แค่รู้สึกว่าไม่ค่อยพร้อมที่จะทำงานเท่าใดนัก” เสียวเป่าพึมพำ เพราะว่าเขามองไม่เห็น จึงไม่มีทางจะสังเกตเห็นว่าภรรยาของตนเองมีใบหน้าที่ซีดขาวเช่นเดียวกัน และมีท่าทางสับสนเป็นอย่างยิ่ง
เวลาเดียวกันนั้น ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ที่อยู่บนดาวชางหมาง
รวมทั้งจินหยุนซาน, เจ้าสำนัก, เซียนไป๋อู้เฉิน และคนอื่นๆ ทั้งหมด ทันใดนั้นก็สั่นสะท้านขึ้นมา ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างเพิ่งจะไหลผ่านพวกมันไป ทำให้ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งฮ่าวเริ่มไม่ชัดเจนขึ้นเล็กน้อยในทันที
“เกิดอะไรขึ้น!?”
“ไม่ถูกต้อง ทำไมความทรงจำเกี่ยวกับตี้จิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) ของข้า แทบจะหายไปจนหมดสิ้นแล้ว…”
เจ้าสำนัก จินหยุนซาน และคนอื่นๆ ทั้งหมด ต่างก็อยู่ในเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังของตนเอง กำลังรู้สึกสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง เรื่องเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ภายในตี้จิ่วจง (สำนักที่เก้า) ด้วยเช่นกัน
ตรงสถานที่แห่งอื่นซึ่งห่างไกลออกไปมากๆ ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวของหลัวเทียน ภายใต้สวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้นแห่งใหม่ ผู้คนมากมายที่อาศัยอยู่ในผีเสื้อขุนเขาทะเลต่างก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสวี่ชิง ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ทันใดนั้นดวงตานางก็ลืมขึ้นมาในทันทีและกระอักโลหิตออกมา สั่นสะท้านไปทั้งร่างขณะที่คลื่นแห่งความหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาในจิตใจโดยสิ้นเชิง
ในตอนนั้นเอง ที่นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ความสามารถที่จะรับรู้ถึงเมิ่งฮ่าว ได้ถูกตัดขาดออกไปแล้ว
ใบหน้านางซีดขาวไร้สีเลือด และดวงตาก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา ยื่นมือออกไปพยุงร่างตนเองไว้ยังผนังที่อยู่ข้างๆ หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงแห่งความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะผ่านไปนานมากเท่าใด ข้าก็ยังจะเชื่อว่า…ท่านยังคงไม่ตายไป” นางพึมพำ กล่าวย้ำคำพูดเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังก้องออกมาจากริมฝีปากและภายในหัวใจตนเอง
ตลอดช่วงเวลานั้น ทุกแห่งหนในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งหลัวเทียน ใครก็ตามที่เคยรู้จักหรือพบเห็นเมิ่งฮ่าวมาก่อน ต่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างลึกล้ำภายในจิตใจ ทันใดนั้นความสัมพันธ์กับเมิ่งฮ่าวก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเลือนลางลงไปจนบางเบาเป็นอย่างมาก
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวจากไป ร่องรอยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเขาภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งหลัวเทียนต่างก็ถูกตัดขาดออกไปทั้งหมด ถ้าเขาไม่กลับมาภายในช่วงเวลาสั้นๆ ร่องรอยเหล่านั้นก็จะจางหายไปตลอดกาล หลายปีต่อมาเมื่อกลุ่มคนที่รู้จักเขากลายเป็นเถ้าธุลีไป ในที่สุดก็ไม่มีใครจะสามารถจดจำเขาได้อีกต่อไป
ตรงด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมา
ชุดเกราะหายไปแล้ว กลายเป็นเศษชิ้นส่วนของกระจกทองแดงอีกครั้ง ซึ่งเขากำลังถืออยู่ในมือ เมื่อมองออกไป ก็เห็นแสงดาวกำลังสาดประกายลงมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอันไร้ขอบเขต
ไม่มีกลุ่มหมอก และไม่มีความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตด้วยเช่นกัน มีแต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเท่านั้น เต็มไปด้วยโลกที่เจริญรุ่งเรืองดวงแล้วดวงเล่า
เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ รู้สึกราวกับว่าโซ่ตรวนบางอย่างถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากพื้นฐานฝึกตน ทำให้พลังอันแข็งแกร่งพุ่งขึ้นมา รู้สึกด้วยเช่นกันว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังเซียนอย่างไร้ขีดจำกัด
อันที่จริงเมื่อเขามองไปรอบๆ สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนี้มีความบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด แตกต่างไปจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตโดยสิ้นเชิง
ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีกลิ่นอายแห่งความตาย มีแต่พลังชีวิตที่กำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเท่านั้น ทั้งหมดนี้ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องเต้นรัวด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ทำไม…ข้าถึงรู้สึกว่าความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตในที่แห่งนี้แตกต่างไปจากเดิม?” ในขณะที่เขากำลังลังเลด้วยความสับสน ก็มองเห็นลำแสงสองสายพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรงมายังตนเอง นำหน้ามาโดยบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ต่อมาก็เป็นหญิงสาวอันงดงามแต่ก็มีท่าทางที่วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคนทั้งสองมองเห็นเมิ่งฮ่าว หญิงสาวก็พุ่งล้ำหน้าออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ เข้ามาถึงเมิ่งฮ่าวก่อนเป็นคนแรก
“ศิษย์พี่ ในที่สุดพวกเราก็พบท่านแล้ว!!” ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกดีใจจนหยดน้ำตาต้องไหลลงมานองหน้า ขณะที่พุ่งเข้ามาในอ้อมอกของเขา เมิ่งฮ่าวรู้สึกสับสน แน่ใจว่าตนเองไม่เคยรู้จักนางมาก่อน แต่จากนั้นความเจ็บปวดก็เสียดแทงอยู่ในศีรษะอย่างกะทันหัน
“ศิษย์พี่ โชคดีที่ท่านและศิษย์พี่เฉินฝาน ต่างก็มีเครื่องหมายผนึกของสำนักอยู่บนร่าง มิเช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีทางจะค้นหาท่านพบ”
“ใช่แล้วศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในอาณาจักรลี้ลับนั่น?”
“สำนักใหญ่นับร้อยต่างก็ส่งผู้ถูกเลือกมากมาย เข้าไปในอาณาจักรลี้ลับแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตในตำนานที่ถูกทำลายนานมาแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น และจู่ๆ ผู้ถูกเลือกจำนวนมากก็ตกตายไป คนอื่นๆ จึงถูกบังคับให้ต้องเคลื่อนย้ายทางไกลออกมา” มีผู้คนมาอยู่ที่ข้างกายเมิ่งฮ่าวมากขึ้น และดูเหมือนว่าคนทั้งหมดจะรู้สึกวิตกแทนเขาเป็นอย่างยิ่ง พวกมันเริ่มพูดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกสับสนมากขึ้น และศีรษะก็เจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม
ชั่วขณะต่อมาความทรงจำก็พุ่งขึ้นมา และบอกกับตนเองว่าเขาคือเมิ่งฮ่าว เป็นศิษย์ผู้ถูกเลือกแห่งสำนักชางไห่ (ทะเลสีฟ้า) หนึ่งในร้อยสำนักใหญ่ที่อยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งนี้ ก่อนหน้านี้เขาไปเข้าร่วมกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ เพื่อผ่านเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับ
สันนิษฐานว่ามันคืออาณาจักรที่ถูกทำลายไปเมื่อหลายชั่วคนมาแล้ว เป็นสถานที่ที่ถูกรู้จักกันในนามว่าอาณาจักรชางหมาง (ไร้สิ้นสุด)
มีเขตต้องห้ามในที่แห่งนั้นอยู่มากมาย ดังนั้นร้อยสำนักจึงได้ส่งผู้ถูกเลือกไปเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ผ่านเข้าไปในเวลาเดียวกัน
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นอยู่ภายในอาณาจักรชางหมาง และผู้ถูกเลือกก็ถูกสังหารไปเกือบทั้งหมด จากกลุ่มคนแห่งสำนักชางไห่ ก็มีแต่เมิ่งฮ่าวและศิษย์พี่เฉินฝานเท่านั้นที่หลบหนีออกมาได้
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะศิษย์พี่เฉินฝาน คนกลุ่มนี้จึงถูกส่งออกมาเพื่อช่วยเหลือเมิ่งฮ่าว
ตอนแรกความทรงจำทั้งหมดเหล่านั้นที่เขานึกขึ้นมาได้ จะดูเหมือนว่าไม่ค่อยคุ้นเคยมากนัก แต่ในทันทีที่ได้ยินนามว่าเฉินฝาน ก็ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะสมเหตุสมผลขึ้นมาในทันที
“ศิษย์พี่เฉินฝานอยู่ที่ไหน?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น
บุคคลที่ตอบคำถามนี้คือบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น ซึ่งมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนและกล่าวว่า “ศิษย์พี่เฉินฝานของเจ้าเพิ่งจะกลับไปยังสำนัก ฮ่าวเอ๋อร์ เจ้ายังจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอาณาจักรลี้ลับได้หรือไม่?”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษผู้นั้นและนึกขึ้นได้ว่านี่คืออาจารย์ของตนเอง จึงคิดย้อนกลับไปยังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ด้านใน และอีกครั้งที่ความรู้สึกราวกับถูกแทงได้พุ่งขึ้นมาในจิตใจ จนเส้นเลือดเขียวปะทุขึ้นมาบนใบหน้า
“ไม่เป็นไร อย่าพยายามไปคิดถึงมันอีก ศิษย์พี่เฉินฝานของเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน อันที่จริงผู้ถูกเลือกทั้งหมดที่รอดชีวิตออกมาต่างก็เป็นเช่นนี้” บุรุษวัยกลางคนกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ นำเมิ่งฮ่าวและคนทั้งหมดพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล
ขณะที่คนทั้งหมดเดินทางอยู่นั้น หญิงสาวก็ยังคงพยุงร่างเมิ่งฮ่าวไว้อย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกวิตกเกี่ยวกับเขาเป็นอย่างยิ่ง มากมายจนไม่สนใจว่าจะมีใครมองเห็นคนทั้งสองอิงแอบแนบชิดกันเช่นนี้ ตอนแรกเมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก
แต่จากนั้นความทรงจำก็บอกกับตนเองว่า หญิงสาวผู้นี้คือคนรักของตนเอง และเป็นบุตรีของอาจารย์ด้วยเช่นกัน คนทั้งสองเคยแต่งงานกันมานานแล้ว และยังมีบุตรชายผู้หนึ่งอีกด้วย
“ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง…” เมิ่งฮ่าวรู้สึกเจ็บปวดใจมากขึ้นกว่าเดิม และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความสับสน หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ กลุ่มคนทั้งหมดก็มาถึงสำนัก
สำนักชางไห่ตั้งอยู่บนดวงดาวที่เมิ่งฮ่าวพบว่า ทั้งรู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นตาด้วยเช่นกัน
ในทันทีที่ไปถึง สหายร่วมสำนักจำนวนมากก็มองเห็นเขา และสีหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยความดีใจ เริ่มวิ่งตรงมา และกลุ่มฝูงชนก็เริ่มคุ้มกันเขากลับไปยังบ้านของตนเอง ที่แห่งนั้นเขามองเห็นเด็กชายเยาว์วัยผู้หนึ่งมีอายุประมาณเจ็ดถึงแปดปี เรียกเขาว่าบิดาและวิ่งตรงมากอดเขาไว้
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่จากนั้นก็มีนามเฉินฝาน มาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนว่าจะถูกต้องขึ้นมา
“ไม่ถูกต้อง ต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน…” ศีรษะเมิ่งฮ่าวหมุนติ้ว ภรรยาและบุตรชายที่ด้านข้าง กำลังมองมาด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล
เขาฝืนยิ้มออกมา หลังจากที่กล่าวคำพูดบางอย่างเพื่อให้รู้สึกมั่นใจขึ้น ก็นั่งลงไปขัดสมาธิ ขมวดคิ้ว คิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตนเองจำได้ในชีวิตนี้ บิดาของตนเองคือผู้อาวุโสในสำนัก และตนเองก็ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา หลังจากที่เข้าสังกัดสำนักอย่างเป็นทางการ ก็กลายเป็นผู้ถูกเลือกในทันที มีความก้าวหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และในตอนนี้พื้นฐานฝึกตนของเขาก็บรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งอาณาจักรโบราณ ห่างจากวงจรอันยิ่งใหญ่แค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ภรรยาของตนเองคือบุตรีของอาจารย์ และคนทั้งสองก็เป็นคู่รักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อทั้งสองเข้าพิธีวิวาห์กันเมื่อหลายปีก่อน ก็ทำให้เหล่าสหายต้องอิจฉากันไปทั่ว
“ไม่ถูกต้อง…” เมิ่งฮ่าวคิด ส่ายหน้าไปมา ขยับมือร่ายเวทขึ้นมาตามสัญชาตญาณ และกดฝ่ามือลงไปบนหน้าอก
“เวทรุ่นแปด!”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขามองลงไปด้วยความประหลาดใจ ไม่แน่ใจว่าทำไมตนเองถึงกล่าวคำว่าเวทรุ่นแปดออกมา ต่อมาก็มองเข้าไปในถุงสมบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในนั้นดูเหมือนว่าจะไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ยกเว้น…
กระจกทองแดงบานหนึ่ง
“นี่คืออะไร?” เมิ่งฮ่าวคิดด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากก่อนหน้านี้ ตนเองกำลังถือกระจกนี้จนแน่น
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือสิ่งที่ข้าหยิบฉวยออกมาจากอาณาจักรชางไห่?”
เมิ่งฮ่าวหยิบกระจกทองแดงออกมาศึกษาอยู่ชั่วขณะ ความรู้สึกที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ค่อนข้างจะแตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้
โลกแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่คุ้นเคย และคนทั้งหมดในที่แห่งนี้ก็ดูเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ดูคุ้นตาด้วยเช่นกัน ความทรงจำของเขาดูเหมือนว่าจะแปลกไป แต่กระจกทองแดงนี้แตกต่างกันออกไป ภายในความไม่คุ้นเคยทั้งหมดนี้ ดูเหมือนจะรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่คุ้นเคยมากที่สุด ราวกับเป็นสิ่งที่สำคัญกับตนเองเป็นอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…?” เมิ่งฮ่าวโพล่งออกมา ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา มากเสียจนภรรยาต้องนำบุตรชายออกไปจากห้อง ทิ้งให้เขาอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียว
หลังจากที่เวลาเลื่อนผ่านไป ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็กลายเป็นสีแดงก่ำ ยกมือขึ้นมาฟาดลงไปบนหน้าผากของตนเองอย่างรุนแรง ในตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูก็ได้ยินมา และน้ำเสียงที่วิตกกังวลก็ดังก้องออกมา
“ศิษย์น้อง ข้ามาแล้ว” ประตูเปิดออก และบุรุษผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา ซึ่งกระจายเป็นความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณออกมา มองไปยังเมิ่งฮ่าว ด้วยสีหน้าอันซับซ้อน ราวกับว่ากำลังคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อในอดีตที่ผ่านมา
เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป และจดจำบุรุษเยาว์วัยผู้นี้ได้ ราวกับว่ามันมีตัวตนอยู่ ไม่ใช่ในความทรงจำเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจตนเอง
“ศิษย์พี่เฉิน…”