Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1508

ตอนที่ 1508

ชางหมางเต้า

หลังจากที่รู้สึกได้ถึงหยดน้ำฝนที่ตกลงมาบนฝ่ามืออยู่ชั่วขณะ ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น “ข้าต้องกลับไปยังอาณาจักรลี้ลับ เพื่อไปดูด้วยสองตาตนเองให้จงได้ มิเช่นนั้นจิตใจข้าก็จะไม่มีวันสงบสุขได้แม้แต่น้อย!”

เขาไม่พูดออกมาเป็นเสียงดังให้ใครได้ยิน แต่หมุนตัวกลายเป็นลำแสงพุ่งจนหายลับตาไป

ย้อนกลับมาในบ้านของเมิ่งฮ่าว ภรรยาเพิ่งจะลืมตาขึ้นมา และสาดประกายขึ้นด้วยความขมขื่น นางถอนหายใจออกมา ไม่กี่วันมานี้นางรู้สึกว่าสามีของตนเองค่อนข้างจะเหินห่าง จนถึงจุดที่ว่า…เขาแทบจะดูไม่เหมือนกับสามีของนางแม้แต่น้อย

เวลาเดียวกันนั้น บนภูเขาที่อยู่ในสำนักชางไห่ เฉินฝานกำลังยืนอยู่ในสายฝนด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่ากำลังขบคิดถึงเรื่องราวเมื่อในอดีตที่ผ่านมา และภายในแววตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความสำนึกผิดและความรู้สึกอื่นๆ ในที่สุดก็มองเห็นเมิ่งฮ่าวกำลังบินขึ้นไปในอากาศ มันแทบจะก้าวเดินออกไปเพื่อขัดขวาง แต่จากนั้นก็หยุดยั้งไว้

“ไม่เป็นไร ไปค้นหาความจริงเถอะ และเจ้าก็อาจจะพบได้” เฉินฝานพึมพำกับตัวเอง ขณะที่หลับตาลง หญิงสาวนางหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น โอบกอดมาจากทางด้านหลังด้วยความอ่อนโยน

ดวงตาเฉินฝานเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับนาง ยกมือขึ้นลูบไปที่แก้มนางด้วยความห่วงใย

นางยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา จากนั้นก็มองไปยังที่ห่างไกล ดูเหมือนว่าจะรู้สึกวิตกขึ้นมา

“ศิษย์น้องท่าน…”

“ไม่เป็นไร ปล่อยให้มันค้นหาคำตอบเอง บางทีมันอาจจะค้นพบสิ่งที่ตนเองกำลังมองหาอยู่” เฉินฝานกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“แล้วท่านค้นหาคำตอบได้แล้วหรือไม่? ข้าคิดว่าอีกไม่นานเมิ่งฮ่าวก็คงจะกลับมาเป็นปกติมากกว่าท่าน” จากความทรงจำของหญิงสาว เฉินฝานค่อนข้างจะฟื้นคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางรู้สึกสับสน แต่กลับกันถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือน แต่ก็ยังคงตกอยู่ในความสับสนเหมือนเช่นเคย

เฉินฝานส่ายหน้าและดึงหญิงสาวเข้ามากอด “มันอยู่ด้านในนานกว่าข้า ที่สำคัญมากที่สุดก็คือข้ามีท่าน ในทันทีที่ข้ามองไปยังท่าน…ข้าก็ได้คำตอบ”

มันกอดนางแน่นขึ้น ราวกับหวาดกลัวว่าจะสูญเสียนางไปตลอดกาลถ้าปล่อยมือไป

สายฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องมากขึ้นกว่าเดิม เมิ่งฮ่าวกลายเป็นลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ในที่สุดก็บรรลุถึงเขตชายขอบของท้องฟ้าซึ่งอยู่เหนือกลุ่มเมฆ ที่แห่งนี้ไม่มีสายฝน เขาบินขึ้นไปเรื่อยๆ พุ่งออกมาจากภายในท้องฟ้าของดวงดาว รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกสกัดกั้นโดยค่ายกลเวทป้องกัน

เขาดึงแผ่นหยกออกมาจากถุงสมบัติ หลังจากที่ค่ายกลเวทกวาดผ่านไป ก็เริ่มปล่อยเขาออกไปอย่างช้าๆ เมิ่งฮ่าวพุ่งตรงไปโดยไม่หยุดชะงักลงแม้แต่น้อย ในที่สุดก็ออกไปอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรงด้านนอก

ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัวคือแสงดาวที่เปล่งประกายระยิบระยับ ไม่มีกลุ่มหมอกที่กระจายเต็มไปทั่วทั้งอาณาจักรลี้ลับ ทุกสิ่งทุกอย่างสว่างจ้าและแจ่มชัด เต็มไปด้วยพลังแห่งฟ้าดิน

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ขณะที่ตรวจสอบดูพื้นฐานฝึกตน ในตอนนี้เขามีตะเกียงวิญญาณเหลืออยู่เพียงแค่ดวงเดียวเท่านั้น พื้นฐานฝึกตนอยู่ในจุดสูงสุดของอาณาจักรโบราณ

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก็เริ่มมั่นใจว่าระดับพื้นฐานฝึกตนในตอนนี้ต้องแตกต่างไปจากสิ่งที่เคยเป็นมาจากความทรงจำอันเลือนรางของตนเองอย่างแน่นอน แต่ก็มีบางสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางจะใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง หลายวันที่ผ่านมานี้ เริ่มตระหนักได้ว่าถ้าพยายามจะหวนรำลึกถึงเรื่องราวทั้งหมด ก็จะทำให้ศีรษะต้องเจ็บปวดราวกับจะแยกออกจากกัน ทำให้พื้นฐานฝึกตนต้องตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย

เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ ดวงตาแวบขึ้นด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ตามข้อมูลที่มีอยู่ในความทรงจำที่แจ่มชัดของตนเอง เขามุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของอาณาจักรลี้ลับ

“ข้าต้องค้นหาคำตอบให้ได้!” เมิ่งฮ่าวคิด บินตรงไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด ไม่กี่เดือนต่อมา หลังจากที่ผ่านประตูเคลื่อนย้ายทางไกลไปหลายครั้ง ก็อยู่ห่างจากเป้าหมายอีกครึ่งทาง

หลายวันที่บินไปนั้นทำให้พลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวเริ่มเหือดแห้งหายไป แต่ก็ไม่ยอมกลืนกินเม็ดยาใดๆ และไม่ได้สูดลมหายใจเพื่อดูดซับเอาพลังแห่งฟ้าดินเข้าไปด้วยเช่นกัน

เมื่อถึงจุดหนึ่ง หลังจากที่พลังการฝึกตนของเขาเหือดแห้งหายไป ทันใดนั้นความอบอุ่นก็เริ่มไหลผ่านไปทั่วร่าง เริ่มต้นจากส่วนหน้าอก ทำให้พลังการฝึกตนฟื้นคืนกลับมาแทบจะในทันที

เมิ่งฮ่าวรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที และลูบไปที่ถุงสมบัติ แววตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ

ช่วงเวลาหลายเดือนที่เดินทางไปนั้น เขาหยิบเอากระจกทองแดงออกมาหลายครั้งเพื่อศึกษาดูมันเป็นระยะ แต่ไม่เคยจะค้นพบสิ่งใดๆ ที่ผิดปกติไปแม้แต่น้อย รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่กระจายออกมาจากกระจกและกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

แต่ก็ดูเหมือนว่าพลังนั้นจะจางหายไปอยู่ภายในร่าง ไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ จากกระจกบานนี้ จริงๆ แล้วก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอีกด้วย

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็นำกระจกทองแดงออกมาแขวนไว้ที่หน้าอก เพื่อให้มันสัมผัสกับผิวกาย ปล่อยความอบอุ่นของมันให้ไหลเข้าไปในร่างของตนเองโดยตรง ราวกับว่ามันพยายามจะปลุกบางสิ่งบางอย่างให้ตื่นขึ้นมา เนื่องจากความรู้สึกนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวมักจะตกอยู่ในความงุนงง มีแววตาที่เลื่อนลอยเป็นระยะ แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังร้องตะโกนมายังตนเอง ถึงแม้ว่าไม่อาจจะได้ยินอย่างแจ่มชัดก็ตาม

ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ เนื่องมาจากกระแสความอบอุ่นนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวไม่จำเป็นต้องดูดซับพลังจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแม้แต่น้อย ทำให้พลังการฝึกตนยังคงอยู่ในระดับสูงสุดอยู่ตลอดเวลา

ด้วยผลลัพธ์เช่นนั้น นับตั้งแต่ตอนที่เมิ่งฮ่าวตื่นขึ้นมาในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งนี้ จนถึงตอนที่กลับไปยังสำนักชางไห่ จนกระทั่งในตอนนี้ที่กำลังบินผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวไป เขาไม่เคยจะกลืนกินเม็ดยาหรือดูดซับพลังแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้เข้าไปแม้แต่น้อย

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่เมิ่งฮ่าวก็มีความรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้คือวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง

เขาลูบลงไปยังกระจกทองแดงที่กำลังแขวนอยู่บนหน้าอก รู้สึกมั่นใจขึ้นมากกว่าเดิมว่า จำเป็นต้องกลับไปยังอาณาจักรลี้ลับ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนเองจะได้รับคำตอบ ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเดินทางไปอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ

อันที่จริงอาณาจักรลี้ลับค่อนข้างจะอยู่ห่างออกไปจากสำนักชางไห่เป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะอยู่ตรงเขตชายขอบของชางหมางต้าเจี้ย (จักรวาลไร้สิ้นสุด) ขณะที่เดินทางไปนั้น ก็พบเห็นผู้ฝึกตนบ้างเล็กน้อย รวมทั้งดวงดาวจำนวนมาก

ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้สำนักสุ่ยเต้า (เต๋าวารี) แล้ว

เขาหวังว่าจะใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลของพวกมัน เพื่อเข้าไปใกล้ชางหมางเต้า (เต๋าไร้สิ้นสุด) มากขึ้น ชางหมางเต้าคือสถานที่ที่เขาสามารถทำการเคลื่อนย้ายทางไกลไปเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้เข้าไปใกล้กับอาณาจักรลี้ลับมากยิ่งขึ้น

“ชางหมางเต้า ช่างเป็นนามที่คุ้นเคยนัก…” ความทรงจำที่แจ่มชัดของตนเองกำลังบอกว่าชางหมางเต้าคือหนึ่งในร้อยสำนักแห่งชางหมางต้าเจี้ย และความจริงแล้วก็เป็นหนึ่งในสามสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดในห้วงจักรวาลแห่งนี้

เป็นสำนักลี้ลับที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยกลุ่มหมอกอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์ของพวกมันออกไปจากสำนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่สำนักอื่นต้องการใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลของพวกมัน ถ้ามีหยกเซียนเพียงพอ ก็สามารถจะขอใช้ได้

ในความทรงจำของเมิ่งฮ่าวมีเรื่องราวอยู่มากมายที่เกี่ยวข้องกับชางหมางเต้า กล่าวกันว่าพวกมันสร้างความไม่พอใจให้กับหลัวเทียนต้าเหริน (ผู้ยิ่งใหญ่ทุกชั้นฟ้า) สำนักจึงถูกผนึกไว้ด้วยกลุ่มหมอก จนแทบจะคล้ายกับเป็นคำสาปแช่ง

“หลัวเทียนต้าเหริน…” ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็หยุดชะงักนิ่ง เริ่มค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลัวเทียนต้าเหรินไปทั่วความทรงจำของตนเอง

หลัวเทียนเป็นผู้พิทักษ์แห่งชางหมางต้าเจี้ย เป็นผู้สูงส่งที่สันนิษฐานกันว่าเป็นผู้สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาตั้งแต่ต้น

สำนักทั้งหมดต่างก็กราบสักการะต่อรูปปั้นของหลัวเทียนด้วยความเต็มใจ และเนื่องจากตำนานที่ถูกบอกเล่าสืบต่อกันมา พลังแห่งฟ้าดินที่ผู้ฝึกตนใช้ฝึกฝนตนเองจริงๆ แล้วก็คือพลังที่มาจากหลัวเทียนต้าเหริน

ทุกสรรพสิ่งที่คงอยู่ สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ล้วนแต่เป็นคนของหลัวเทียน

จากรุ่นสู่รุ่นนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน มักจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป…

ภายในหนึ่งร้อยสำนักแห่งชางหมางต้าเจี้ย การเป็นผู้ถูกเลือกไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นมากที่สุด มีแต่ผู้ที่ถูกเรียกว่าหลัวเทียนจื่อ (บุตรแห่งสวรรค์ทั้งปวง) เท่านั้น ถึงจะถูกถือว่าโดดเด่นมากที่สุดในโลกแห่งนี้อย่างแท้จริง บุคคลที่ถูกเรียกเช่นนั้นคือผู้ถูกเลือกในผู้ถูกเลือก!

“แต่ละยุคสมัยก็มีหลัวเทียนจื่อเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น บางครั้งในทุกหมื่นปีจะมีแค่คนเดียว บางครั้งก็ทุกหนึ่งพันปี จนถึงทุกวันนี้ก็มีหลัวเทียนจื่ออยู่ทั้งหมดเก้าสิบแปดคน ผู้ฝึกตนที่ได้รับการประสาทพรจากหลัวเทียนต้าเหริน จะได้รับการปลูกฝังเต๋าแห่งหลัวเทียน และถูกยอมรับไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้ ได้รับการกราบสักการะจากผู้ฝึกตนทั้งปวง ได้รับความเคารพนับถือจากทุกสำนัก” เมิ่งฮ่าวกำลังหอบหายใจออกมา ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากที่ความทรงจำเริ่มแจ่มชัดขึ้น ก็ตระหนักว่าตนเองรู้สึกต่อต้านกับตำแหน่งหลัวเทียนจื่ออย่างรุนแรง

เมิ่งฮ่าวสั่นศีรษะไปมา เพื่อทำให้ความคิดแจ่มใสขึ้น และมุ่งหน้าต่อไป สิบวันหลังจากนั้นก็มองเห็นดาวดวงหนึ่งอยู่ที่เบื้องหน้า

เป็นดาวสีน้ำเงิน จนสามารถจะแน่ใจได้ว่าดาวดวงนี้ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ ดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยพลังชีวิต

“สำนักสุ่ยเต้า…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ เมื่อใกล้เข้าไปจิตใจก็เริ่มเต้นรัวจนไม่อาจจะหยุดได้ เมื่อหวนรำลึกไปว่าหญิงสาวที่มีนามสวี่ชิงอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้

ในความทรงจำอันเลือนรางเหล่านั้น เขาจำได้ว่าเคยวิวาห์กับใครบางคนที่อยู่ในอาณาจักรขุนเขาทะเลที่เหมือนกับนาง ในตอนนี้จึงยากที่จะควบคุมความคิดและอารมณ์ความรู้สึกนั้นได้ และไม่อาจจะบอกได้ด้วยเช่นกันว่าตนเองปรารถนาให้สถานที่แห่งนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่

ถ้าเป็นความจริง และเขามองเห็นสวี่ชิง ถ้าเช่นนั้นสวี่ชิงก็จะเป็นของจริง แต่ถ้าไม่ใช่ จิตใจเมิ่งฮ่าวก็จะเต็มไปด้วยความเสียใจและขมขื่น

เป็นความรู้สึกและความคิดอันซับซ้อน เมื่อเมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้สำนักสุ่ยเต้ามากขึ้นเรื่อยๆ

ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลของพวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะถูกใช้จากใครก็ได้ มีแต่ศิษย์ของหนึ่งร้อยสำนักเท่านั้นที่จะใช้ได้

กระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปิดกั้นเมิ่งฮ่าวไว้ แต่เมื่อหยิบเอาเหรียญแสดงตัวตนของสำนักชางไห่ออกมา ก็มีศิษย์ผู้หนึ่งบินตรงมามองดู ก่อนที่จะทันได้พูดอะไรออกมา ศิษย์ผู้นั้นก็ถามว่า “ท่านต้องการใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกล เพื่อไปยังชางหมางเต้า และจากนั้นก็ไปยังอาณาจักรลี้ลับ ใช่หรือไม่?”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นและพยักหน้า ศิษย์จากสำนักสุ่ยเต้าถอนหายใจ

“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรลี้ลับ แต่ท่านก็ไม่ใช่บุคคลแรกที่มายังที่แห่งนี้ ก่อนหน้าท่านก็มีผู้คนมากมายพยายามจะเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับ” ศิษย์ผู้นั้นนำเมิ่งฮ่าวไปยังค่ายกลเวท ซึ่งตั้งอยู่บนผิวน้ำของดวงดาวด้วยตนเอง

เมิ่งฮ่าวจ่ายหินลมปราณเพื่อเป็นค่าผ่านทางเล็กน้อย และขณะที่รอคอยให้ค่ายกลเวททำงาน ก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ประสานมือให้กับศิษย์จากสำนักสุ่ยเต้าผู้นั้นและกล่าวขึ้นมาว่า

“สหายเต๋า สวี่ชิง…อยู่ในสำนักหรือไม่?”

“สวี่ซือเจี่ย? (ศิษย์พี่หญิงสวี่)” ศิษย์ผู้นั้นมองกลับมา คิดว่าเขาดูคุ้นตาอยู่บ้าง จ้องมองมาอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ตระหนักว่าเขาคือใครและหัวเราะออกมา

“ข้าคิดว่าทำไมถึงดูคุ้นตานัก ที่แท้ก็คือสหายเต๋าเมิ่งแห่งสำนักชางไห่นี่เอง” เห็นได้ชัดว่ามันรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเมิ่งฮ่าวและสวี่ชิง

“ถ้าท่านต้องการพบสวี่ซือเจี่ย ก็คงต้องรอสักครู่ นางมักจะพุ่งผ่านประตูเคลื่อนย้ายทางไกลมาในช่วงเวลานี้ เพื่อไปเก็บไข่มุกวารีสวรรค์ยังทะเลตงไห่ (ทะเลตะวันออก) เพื่อฝึกตนทุกวัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!