Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 291

ตอนที่ 291

พันเม็ดยาก่อตัวเป็นกระถาง!

ความขมขื่นพุ่งขึ้นมา จากส่วนลึกภายในจิตใจของฉู่อวี้เยียน นางคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ได้เกิดขึ้นภายในโลกแห่งภาพลวงตาของนาง จากนั้นก็มองตรงขึ้นไปยังสองผู้เข้าทดสอบ ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา

หนึ่งก็คือฟางมู่ ซึ่งนางรู้สึกว่าน่าจะเป็นเหตุบังเอิญ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้นางรู้สึกราวกับว่า นางได้รู้มานานแล้วว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

จากนั้นก็เป็นเยี่ยเฟยโม่ ผู้ถูกเลือกของเต๋าแห่งการปรุงยา ถ้ามันไม่ได้อยู่ที่นี่ นางก็คงจะรู้สึกประหลาดใจ

“ข้าแพ้แล้ว…” นางกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นก็หันหลัง และเริ่มเดินลงไปจากภูเขา ภูเขานี้สามารถขึ้นมาได้ แต่ไม่อาจลงไป ถอยหลังไปหนึ่งก้าวก็หมายถึงความพ่ายแพ้ และต้องออกไปจากแดนสวรรค์

ขณะที่เท้าของนางก้าวลงไป สายตาของนางก็พร่ามัว เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเห็นได้ชัดขึ้นอีกครั้ง นางก็กลับมาอยู่บนยอดเขาตงหลาย นางมองไปยังนักปรุงยาของแผนกเม็ดยาบูรพา และจากนั้นก็ผู้ฝึกตนจากสำนักและตระกูลต่างๆ ในที่สุด นางก็เข้าใจ กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งภาพลวงตาของนาง

นี่เป็นเพราะ ขณะที่นางหันหน้าไปมองยังจอภาพที่ถูกฉายออกมาจากกระถางปรุงยา สิ่งทั้งหมดที่นางมองเห็นก็คือ สีหน้าครุ่นคิดของฟางมู่ ไม่ใช่โลกที่มันอยู่ด้านใน

“ยินดีต้อนรับการกลับมา” ตานกุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ

ฉู่อวี้เยียน ทันใดนั้น ก็อยากจะร้องไห้ ความเป็นจริงขอโลกแห่งภาพลวงตา ได้คงอยู่จนกระทั่งตอนที่นางกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริง และยังคงเป็นเรื่องยากที่บอกให้ใครรู้ได้ โดยไม่พูดจา นางเดินไปยืนอยู่ข้างกายตานกุ่ย

หลังจากฉู่อวี้เยียน ชายชราและบุรุษวัยกลางคน ปรากฎขึ้นมาอย่างรวดเร็วตามลำดับ และได้ยอมรับความพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน ดวงตาของพวกมันว่างเปล่า ขณะที่เดินตรงไปยังนักปรุงยาคนอื่นๆ และจากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ ราวกับว่าจิตวิญญาณของพวกมันได้สูญหายไป และสิ่งที่ทำได้ทั้งหมดนั้นก็คือจ้องมองไปด้วยความว่างเปล่า

เสียงพูดคุยที่เงียบหายไป ทันใดนั้น ก็ดังกระจายออกมา

“พวกมันได้พบเห็นอะไรกันแน่ ในการทดสอบครั้งสุดท้าย ในโลกแห่ภาพลวงตา? ทำไมพวกมันทั้งหมดดูสับสนมากเช่นนั้น?” แม้แต่อาจารย์ปรุงยาอาวุโสของแผนกเม็ดยาบูรพา ก็ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียด และเริ่มคาดเดาไปต่างๆ นาๆ

เมื่อได้เห็นสีหน้าสงสัยปรากฎอยู่บนใบหน้าของศิษย์ เหล่าปรมาจารย์ย่อยจากสำนักต่างๆ ก็เริ่มพูดคุยกัน

“โลกแห่งภาพลวงตาในแดนสวรรค์สำนักจื่อยิ่น ใช้จิตใจเป็นเมล็ดเพื่อปลูกภาพลวงตาให้เติบโตขึ้น ภายใต้อิทธิพลของวิชานี้ ไม่มีใครสามารถบอกความจริงได้จากสิ่งลวง ไม่แม้แต่จะเป็นคนที่มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ไม่มีทางที่จะรู้สึกตัวเมื่ออยู่ในภาพลวงตา ดังนั้น มันจึงเป็นชีวิตอื่นที่เหมือนของจริง”

“ใช่แล้ว เมื่ออยู่ด้านใน ชีวิตก่อนหน้านี้หรือในอนาคตก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะมันเป็นแดนแห่งความฝัน ขณะที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างระหว่างความจริงและความฝัน ระหว่างชีวิตในอดีตและในอนาคต…อืม น้อยคนนักในปัจจุบันนี้ที่สามารถทำได้เช่นนั้น”

“เมื่อตื่นขึ้นมา ภาพลวงตาก็จะสลายหายไป และด้วยเช่นนั้น เมื่อพวกมันตื่นขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกมันถึงได้ดูมีท่าทางสับสน”

ราวกับว่าพวกมันเพียงแค่พูดคุยเรื่งราวธรรมดาทั่วไป แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่พวกมันทำ ก็เป็นการถือโอกาสใช้การทดสอบของแผนกเม็ดยาบูรพานี้ สั่งสอนศิษย์เกี่ยวกับความแตกต่าง ระหว่างความจริงและภาพลวงตา

นอกจากนั้น ก็ไม่บ่อยนักที่จะมีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ความรู้แจ้งใดๆ ที่ได้มา ก็ไม่มีอะไรนอกไปจากความโชคดี

หลี่ชือฉี พึมพำกับตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างเงียบๆ “ภาพลวงตาหายไปตอนที่พวกมันตื่นขึ้นมา? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีใครบางคนได้รับความรู้แจ้ง แต่ภาพลวงตานั้นไม่ได้สลายหายไป? เป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกมันจะได้รับความรู้แจ้งที่ลึกล้ำไปกว่านั้น?”

ด้านข้างนาง ถูหลัวกล่าวตอบเสียงราบเรียบ “ในตอนนั้น ไม่อาจแม้แต่จะคิดไปถึงคุณค่าของความรู้แจ้งเช่นนั้น ถ้าใครบางคนเริ่มมีจิตใจที่กระจ่างใส และสามารถป้องกันไม่ให้โลกแห่งภาพลวงตาพังทลายลง อืม…นั่นคงต้องใช้จิตสัมผัสอันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ ในความเป็นจริง มันคงต้องใช้ความรู้แจ้งแห่งเต๋า! ดังนั้น สิ่งที่เป็นเช่นนี้ อาจจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญเท่านั้น และไม่ใช่ทางเลือก ในชั่วชีวิตของข้า ข้าเคยเห็นเพียงแค่คนเดียวที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้”

ด้านข้างที่ห่างออกไป เทพกระบี่เต๋าอันดับสอง แห่งสำนักกูตู๋เจี้ยน ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกมัน จึงกล่าวเสริมขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเวลานานผ่านไป ก็ยิ่งทำให้คนผู้นั้นตกอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตา และไม่อาจจะกลับออกมาได้”

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน เสียงหึ่งๆ ก็ดังกระจายออกไป ขณะที่ผู้คนสังเกตเห็นเยี่ยเฟยโม่ได้ตื่นขึ้นมา พวกมันมองไปยังจอภาพ ขณะที่เยี่ยเฟยโม่ มองไปยังเมิ่งฮ่าว สีหน้ามันหมองคล้ำลง แต่ในที่สุด มันก็เลือกที่จะล่าถอย ออกมาจากโลกแห่งแดนสวรรค์ และกลับมายังยอดเขาตงหลาย

ทันทีที่มันปรากฎขึ้น เสียงต้อนรับก็ได้ยินออกมาจากปากของนักปรุงยามากมาย ซึ่งเป็นผู้ที่สนิทกับมัน

“ยินดีด้วยที่รักษาชัยชนะไว้ได้ เจ้าแห่งเตาเยี่ย การเป็นเทพกระถางม่วงของท่าน จะนำมาซึ่งยุคทองของแผนกเม็ดยาบูรพา!”

“เจ้าแห่งเตาเยี่ย, เจ้าโอสถจอมกระถาง ชัยชนะครั้งนี้ ก็ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ข้าเพียงแต่เกรงว่า สหายเต๋าจากสำนักด้านนอก อาจจะอยากรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด”

“ยินดีด้วย เจ้าแห่งเตาเยี่ย…”

ขณะที่คนแล้วคนเล่าพูดออกมาจากท่ามกลางฝูงชน สีหน้าเยี่ยเฟยโม่ไม่ได้ภาคภูมิใจอีกต่อไป ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย มันประสานมือให้กับกลุ่มคน สำหรับสมญานามเจ้าโอสถจอมกระถาง มันลังเล แต่ก็ไม่แสดงท่าทียอมรับ และไม่กล่าวคำอธิบายใดๆ นี่แน่นอนว่า ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการยอมรับไปในตัว

ในขณะที่ทุกคนกำลังมองไปยังเยี่ยเฟยโม่, เทพกระถางม่วง เยี่ยหยุนเทียนหัวเราะเสียงดังออกมา ลุกขึ้นยืน และมองอย่างพอใจมายังเยี่ยเฟยโม่

“เฟยโม่ ทำไมไม่เอากระถางปรุงยาของเจ้าออกมา ทุกคนจะได้เห็นว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเทพกระถางม่วง!” ทันใดนั้น สายตาของนักปรุงยาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ก็เริ่มส่องประกายเจิดจ้า

อันจ้ายไห่ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมา

เยี่ยเฟยโม่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็เป็นอีกครั้ง ที่สีหน้าภาคภูมิใจปรากฎขึ้นบนใบหน้า มันตบไปที่ถุงสมบัติด้วยมือขวา หยิบเอากระถางปรุงยาออกมา เป็นกระถางที่มันได้มาจากภายในโลกของมารดาแห่งกระถาง เดิมทีมันเป็นสีขาว แต่ตอนนี้เป็นสีม่วง และส่องแสงสีม่วงออกมา ซึ่งทำให้แสงสีม่วงนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้ฝึกตนทั้งหมดที่มองมา

เยี่ยหยุนเทียน มองไปยังกระถางสีม่วง และส่งเสียงหัวเราะดังๆ ออกมาในทันที มันหันหน้าไปหาตานกุ่ย ประสานมือ และโค้งตัวลงต่ำ

“ยินดีด้วยท่านอาจารย์” มันกล่าวด้วยความตื่นเต้น “การคัดเลือกเทพกระถางม่วง เพื่อเป็นศิษย์คนใหม่ของท่านได้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว และพวกเราก็มีศิษย์น้องคนใหม่ขึ้นมา เฟยโม่ ทำไมไม่มาคารวะท่านอาจารย์ของเจ้า?”

แสงแห่งความตื่นเต้นปรากฎขึ้นบนแววตาของเยี่ยเฟยโม่ด้วยเช่นกัน มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และกำลังจะเดินตรงมา ขณะที่อันจ้ายไห่ได้พูดขึ้น “ศิษย์น้องเยี่ย” มันกล่าวเสียงราบเรียบ “นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไม่ถูกต้อง”

การพูดคุยระหว่างคนทั้งสอง ทันใดนั้น ก็ทำให้สีหน้าของเทพกระถางม่วงอีกหกคนแวบขึ้น แต่พวกมันก็ไม่ยอมเปิดเผยในสิ่งที่กำลังคิด แต่สีหน้าของเจ้าแห่งเตาทั้งหมดได้เปลี่ยนไป เป็นธรรมดาที่พวกมันสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้

เป้าหมายของเยี่ยหยุนเทียน ทั้งหมดต่างก็เห็นได้ชัดเจน ซึ่งเคยกล่าวไว้แล้วว่า เจ้าแห่งเตา โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ค่อยพอใจฟางมู่ และพวกมันส่วนใหญ่ก็ชอบเยี่ยเฟยโม่ พวกมันทุกคนมองมาด้วยความคิดที่แตกต่างกัน และความคิดก็วิ่งไปมาอยู่ในหัวของแต่ละคน

สำหรับอาจารย์ปรุงยาธรรมดาทั่วไป น้อยคนนักที่จะเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ แต่พวกมันก็รู้สึกได้ถึงเงื่อนงำบางอย่าง มองมาโดยไร้คำพูด รอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ปรามาจารย์ย่อยจากสำนักต่างๆ เป็นผู้ที่มากประสบการณ์และชาญฉลาด ทำไมพวกมันถึงไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้?

อันที่จริง พวกมันก็เริ่มคาดเดาเรื่องราวได้เมื่อสักครู่นี้ แน่นอนว่า พวกมันต่างก็รู้สึกยินดีมากกว่า ที่จะเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้

เจ้าอ้วนมองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มองไปยังเยี่ยเฟยโม่ และเริ่มก่นด่าสาปแช่งมันอยู่ในใจมานานแล้ว

ตานกุ่ยเป็นข้อยกเว้น ตั้งแต่ต้น ท่านไม่พูดจาออกมาแม้แต่คำเดียว ราวกับว่าท่านไม่ได้ยิน หรือเห็นสิ่งใดๆ เหมือนเป็นหมอกควันที่ผ่านเลยไป

ขณะที่สายตาทั้งหมดมองมา เยี่ยหยุนเทียนเผยอรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย “โอ?” มันกล่าว ด้วยเสียงแปลกๆ “ศิษย์พี่อัน, ศิษย์น้องไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านหมายถึงอันใด ขอให้ท่านได้โปรดช่วยให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย?”

“เยี่ยเฟยโม่ ไม่ใช่เป็นคนเดียวที่ก้าวเท้าลงไปบนจุดสูงสุดของยอดเขา” อันจ้ายไห่กล่าวตอบเสียงเยือกเย็น

เยี่ยหยุนเทียนหัวเราะเสียงดังออกมา “โอ, นั่นก็คือเรื่องที่ไม่ถูกต้องซึ่งท่านได้พูดถึง ศิษย์พี่อัน, ศิษย์น้องแน่นอนว่าไม่ได้มองข้ามเรื่องเช่นนั้น แต่…” มันกล่าวได้แค่ครึ่งทาง เมื่อทันใดนั้น เสียงกึกก้องก็ดังออกมาจากจอภาพ ที่ให้เห็นถึงโลกแห่งแดนสวรรค์

เมื่อเสียงกึกก้องปรากฎขึ้น เห็นได้ชัดว่า ดังออกมาจากภายในแดนสวรรค์ ทั่วทั้งแดนสวรรค์กำลังสั่นสะเทือน และจุดศูนย์กลางของมันก็แน่นอนว่าเป็นภูเขาจื่อตง ทันใดนั้น ผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดก็มองไป

แม้แต่คำพูดของเยี่ยหยุนเทียน ทันใดนั้น ก็ถูกกลบไปโดยเสียงกึกก้องนั้น

ไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ดวงตาของตานกุ่ย ทันใดนั้น ก็สาดประกายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และรอยยิ้มก็ค่อยๆ กระจายขึ้นบนใบหน้าอย่างช้าๆ เป็นรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เต็มไปด้วยอารมณ์และความดีใจ

ย้อนกลับไปยังโลกแห่งภาพลวงตาของเมิ่งฮ่าว เขาอาศัยอยู่ในเมืองตงหลายต่อไป อีกสามปีได้ผ่านไป เมิ่งฮ่าวตอนนี้มีอายุเก้าสิบเก้าปี และได้กลับไปยังหลุมฝังศพของท่านอาจารย์อีกครั้ง เขามองไปยังป้ายศิลา และใบหน้าก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

“สวรรค์และปฐพี ก็เป็นเพียงสถานที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตมากมาย เวลาเป็นตัวแทนของผู้เดินทางที่ผ่านไปมาหลายร้อยหลายพันรุ่น” รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของเมิ่งฮ่าว ชีวิตก็คือการเดินทาง ทุกครั้งของการเดินทางก็เต็มไปด้วยทัศนียภาพใหม่ เส้นทางที่เขาเดินอยู่ในตอนนี้ก็ประกอบไปด้วยร่องรอยของเขา ไม่ว่าร่องรอยนั้นจะตื้นหรือลึกแค่ไหนก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นั่นเป็นเพราะ มันเป็นทางเลือกของเขาเอง

“บางทีเส้นทางของข้ายังมาไม่ถึง” เขาส่ายศีรษะ บางทีในอนาคต เขาจะตระหนักว่าเป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร แต่สำหรับตอนนี้ เขายังคงไม่รู้ เมื่อเขาไม่รู้ เขาก็ไม่อาจบังคับให้ตัวเองเลือก เมื่อท่องเที่ยวไป ก็ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงอาจจะเกิดขึ้น นั่นจึงทำให้มันสวยงาม

รอยยิ้มที่ไร้กังวลปรากฎขึ้นบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว เมื่อเป็นเช่นนั้น เส้นผมสีขาวของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ร่างที่งองุ้มของเขาก็ตั้งตรง รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้แก่ชราอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยความแข็งแรงของวัยหนุ่มขึ้นอีกครั้ง

เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้น ก็มองไปยังป้ายหลุมฝังศพ และคุกเข่าลงเพื่อโขกศีรษะเป็นครั้งที่สาม!

เป็นการโขกศีรษะของการจ้องมองไปยังวาระสุดท้ายของชีวิต!

ด้วยการโขกศีรษะนี้ กรรมก็ได้ข้อสรุป ความสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์ ก็แน่นแฟ้นมั่นคง ถ้าเจ้าไม่ตัดความสัมพันธ์นี้ ข้าก็จะไม่มีวันตัดมันเช่นกัน…

ด้วยการโขกศีรษะนี้ เมืองตงหลาย เริ่มเปลี่ยนเป็นโปร่งใสอยู่ที่ด้านหลังเมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็หายไป

ด้วยการโขกศีรษะนี้ ทั่วทั้งโลกรอบๆ ตัวเขา ก็เริ่มแตกกระจายไป ทิ้งไว้แต่เพียงหลุมฝังศพ

ด้วยการโขกศีรษะนี้ ก็เกิดเป็นเสียงกระหึ่มกึกก้องระหว่างสวรรค์และปฐพี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ เมิ่งฮ่าว…ลืมตาขึ้น และโลกก็หายไป เขาเห็นท้องฟ้าในโลกของแดนสวรรค์อีกครั้ง และที่นั่นเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาจื่อตง

เขามองออกไปยังที่ห่างไกล จากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้า ขณะที่ทำเช่นนั้น ระลอกคลื่นที่คล้ายกับบนผิวน้ำก็กระจายออกไป ร่างของเขาละลายหายไป เมื่อปรากฎตัวขึ้นใหม่ เขาก็ออกมาจากโลกของแดนสวรรค์ และตอนนี้ ก็ยืนอยู่บนภูเขาตงหลาย ด้านนอกของกระถางปรุงยา

การปรากฎตัวของเขา กลายเป็นศูนย์รวมความสนใจ รวมถึงสายตาที่มืดคลึ้มจากเยี่ยเฟยโม่ และรอยยิ้มอันเย็นชาจากเยี่ยหยุนเทียน!

ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบไปสักพัก จากนั้น เสียงอันราบเรียบของเยี่ยหยุนเทียนก็ดังก้องออกมา

“เมื่อครู่นี้ข้ายังพูดไม่จบ ศิษย์พี่อัน มีอยู่สองคนก้าวขึ้นไปบนจุดสูงสุดของยอดเขา แต่เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น ผลลัพธ์ของการตัดสินใจ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากคนทั้งสอง แต่โดยท่าน, ข้า และเทพกระถางม่วงคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าแห่งเตาทั้งหมด พวกเราเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้าย นั่นคือข้อกำหนดสำหรับการคัดเลือกเทพกระถางม่วง การอธิบายเช่นนี้เพียงพอหรือไม่, ศิษย์พี่อัน?” เยี่ยหยุนเทียนยิ้ม แต่กลับกัน อันจ้ายไห่ไม่พูดจาเพียงแค่โบกสะบัดแขนเสื้อ

“เนื่องจากข้อกำหนดของสำนัก เมื่อมีสองคนก้าวเท้าขึ้นไปบนจุดสูงสุดของยอดเขา จึงต้องใช้การตัดสินใจจากพวกเรา ใครก็ตามที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุด ก็จะกลายเป็นเทพกระถางม่วง ข้า, เทพกระถางม่วงเยี่ยหยุนเทียน ขอให้สหายเต๋าแหงสำนักจื่อยิ่นได้โปรดเป็นสักขีพยานในวันนี้ ข้าเชื่อว่าเยี่ยเฟยโม่ มีคุณสมบัติมากกว่า ฟางมู่ ด้วยเช่นนั้น ข้าขอเลือกเยี่ยเฟยโม่”

“เทพกระถางม่วงเฉินซื่อหยาง เลือกเยี่ยเฟยโม่!”

“เทพกระถางม่วงเชินหลง เลือกเยี่ยเฟยโม่!”

“เทพกระถางม่วงหยวนเต้าหมิง เลือกเยี่ยเฟยโม่!”

“เทพกระถางม่วงหม่าเฟยเฟิง เลือกเยี่ยเฟยโม่!”

ในทันใดนั้น ห้าเทพกระถางม่วงก็หยิบเอาเยี่ยเฟยโม่ เป็นตัวเลือกของพวกมัน ทำให้สีหน้าเยี่ยเฟยโม่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและตื่นเต้น

หลินไห่หลง ลังเลอยู่สักพัก มันคิดอยู่ชั่วครู่ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว ไม่ตัดสินใจในทันที เทพกระถางม่วงที่อยู่ข้างกายมันเป็นสตรีวัยกลางคน สีหน้าของนางเฉื่อยชาไม่สนใจ และไม่พูดอะไรออกมา

ศิษย์จากสำนักอื่นๆ มองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ปรมาจารย์ย่อยมองมาพร้อมรอยยิ้มที่ดูคลุมเครือ ไม่พูดจา

ด้านหลังเทพกระถางม่วง ก็เป็นเจ้าแห่งเตา ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มพูดขึ้นมา

“เจ้าแห่งตาเหอจิ้น เลือกเยี่ยเฟยโม่!”

“เจ้าแห่งตาซูเจ๋อเชียน เลือกเยี่ยเฟยโม่!”

ขณะที่เสียงดังออกมา ดูเหมือนผู้ที่แข็งแกร่งครึ่งหนึ่งของพวกมันได้เลือกเยี่ยเฟยโม่

ใบหน้าอันจ้ายไห่น่าเกลียดอย่างมากมาย มันกำลังจะเปิดปากเพื่อพูดจาบางอย่าง แต่ทันใดนั้น เสียงอันเยือกเย็นของเมิ่งฮ่าวก็เต็มอยู่ในอากาศ

“เจ้าแห่งเตาเยี่ย ข้าขอถามท่าน” เขากล่าว “ขอให้ท่านโปรดช่วยอธิบายว่าทำไม ข้า, ฟางมู่ ถึงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเหมือนเจ้าแห่งเตาเยี่ย?” สีหน้าเขาสงบนิ่งเหมือนทุกครั้งที่เขาตั้งคำถาม

เยี่ยหยุนเทียนมองมาที่เขา และกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สุภาพเป็นอย่างมาก “ในตอนนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเราจะพูดถึงเรื่องทักษะในเต๋าแห่งการปรุงยา หรือชื่อเสียงของเจ้า หรือแม้แต่ความสามารถในการสร้างเม็ดยาใหม่ๆ ขึ้นมา ในความคิดของข้า เจ้ามีคุณสมบัติด้อยกว่าเยี่ยเฟยโม่ในทุกๆ ด้าน ที่สำคัญมากไปกว่านั้น เยี่ยเฟยโม่ มีชื่อเสียงอยู่ในดินแดนด้านใต้ตั้งแต่สิบปีก่อน ครึ่งปีต่อมา มันก็ได้ปรุงเม็ดยาที่มีความเข้มข้นของตัวยาถึงเก้าในสิบส่วน มันมีชะตาที่จะกลายมาเป็นเทพกระถางม่วง สำหรับเจ้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น!” คำพูดของมันฟังดูคล้ายกับคำประณามเป็นอย่างมาก และอันที่จริง ในฐานะที่เป็นเทพกระถางม่วง มันก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกล่าวเช่นนั้นกับเจ้าแห่งเตา

“คุณสมบัติ?” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบ มองไปยังเยี่ยหยุนเทียนสักพัก จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อไปที่เบื้องหน้า ยาหนึ่งเม็ดลอยออกมา จากนั้นก็สิบ จากนั้นก็ร้อย จากนั้นก็หนึ่งพัน…

ในทันใดนั้น เม็ดยามากว่าหนึ่งพันเม็ดก็ลอยออกมา เมิ่งฮ่าวหมุนชายแขนเสื้อ และพวกมันก็หมุนขึ้นไปในอากาศ เม็ดยาแต่ละเม็ดก็เห็นได้ชัดว่า ถูกทำเครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์ของกระถาง สัญลักษณ์นั้นเหมือนกับเครื่องหมายที่ถูกประทับอยู่ในเม็ดยาแปลงปีศาจ!

เมื่อเม็ดยาปรากฎ อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของตัวยาที่เข้มข้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน เม็ดยาแต่ละเม็ด ต่างก็แสดงให้เห็นถึงความน่าตกใจ พวกมันมีความเข้มข้นของตัวยาเก้าในสิบส่วน นี่เป็นเม็ดยาระดับเลิศทั้งหมด!

นี่เป็นเม็ดยาที่มีค่าสูงสุดทั้งหมดที่เมิ่งฮ่าวได้ปรุงขึ้นมา หลังจากเม็ดยาแปลงปีศาจ เขาได้ปรุงเม็ดยาเช่นนี้บ่อยครั้ง ด้วยความหวังว่าจะหาโอกาสขายมันไปในครั้งเดียว แต่วันนี้ เขาเอามันออกมาแสดง สร้างความตกตะลึงไปทั่ว!

เม็ดยาลอยอยู่กลางอากาศ สัญลักษณ์กระถาง ทันใดนั้น ก็ทำให้จิตใจของนักปรุงยาทั้งหมดหมุนเคว้งคว้าง ฉู่อวี้เยียน ทันใดนั้น ก็ลุกขึ้นยืน ความไม่อยากจะเชื่อปรากฎขึ้นบนใบหน้า

จิตใจของศิษย์จากสำนักและตระกูลต่างๆ เริ่มหมุนไปมา แม้แต่ปรมาจารย์ย่อย ดวงตาของพวกมันเบิกกว้าง และลุกขึ้นยืน ใบหน้าส่องประกายด้วยความตกตะลึง

เม็ดยาเต็มอยู่ในอากาศ และกลิ่นอายของตัวยาก็หนาแน่นราวกับหมอก ม้วนตัวออกมา และปกคลุมไปทั่วทั้งยอดเขาตงหลาย ต้นหญ้าบนพื้นดินดิ้นรนยืดใบขึ้นมา เมฆสีดำเต็มอยู่ในท้องฟ้า สายฟ้าประทุออกไปทั่วทั้งแคว้นตงหลาย

ยิ่งน่าประหลาดใจมากไปกว่านั้น เมื่อเมิ่งฮ่าวโยนเม็ดยาออกไป พวกมันก็เริ่มจับกลุ่มเข้าด้วยกันในกลางอากาศ ค่อยๆ ก่อตัวรวมกันเป็นรูปร่างของกระถางขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดเป็นกลุ่มแสงเจิดจ้าพุ่งออกไปทั่วทุกทิศทางอย่างไร้ขอบเขต!

เสียงราบเรียบของเมิ่งฮ่าว ดังออกไปทั่วทุกทิศทาง “ถ้ารวมความจริงที่ว่า ข้าคือตานติ่งต้าชือ แล้วท่านคิดว่าข้าจะมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!