ตอนที่ 38
ตำรารวบรวมลมปราณของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ
สองเดือนผ่านไปราวกะพริบตา เมิ่งฮ่าวอยู่ในเขตสำนักสายในตลอดช่วงที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยไปที่เขตสำนักสายนอกบ่อยนัก เจ้าอ้วนก็ได้เริ่มคุ้นเคยกับการเอาตัวรอดในแบบฉบับของมันเองและค่อนข้างจะไปได้ดีทีเดียวราวกับปลาในสายน้ำ
เวลาส่วนใหญ่ของเมิ่งฮ่าวถูกใช้ไปในหอเวท
วันนี้ เขานั่งขัดสมาธิอ่านบันทึกไม้ไผ่ด้วยสีหน้าอันสงบเยือกเย็น เขายกมือขวาขึ้น และเริ่มขยับนิ้วทำท่าสร้างรูปแบบเวทอาคม เกิดเป็นแสงเวทหมุนอยู่รอบๆ มือของเขา และสะท้อนเป็นเงาริบหรี่ไปบนใบหน้าของเขา
ขณะนี้เอง มวลน้ำรูปทรงกลมที่เพิ่งเสกขึ้นเหนือมือขวาของเมิ่งฮ่าวพลันระเบิดออก สลายกลายเป็นหมอกและลอยกระจายออกไปรอบๆ เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ววางบันทึกไม้ไผ่ในมือลง สอดมือเข้าไปในชุดยาวของเขา และดึงเอาแผ่นหยกออกมา
มันเป็นแผ่นหยกสีขาว ด้านในมีเงาเลือนลาง ราวกับว่าเต็มไปด้วยสายหมอก เมื่อมองเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะพบว่าจริงๆ แล้วผิวของมันโปร่งแสงราวผลึก
“เฉินฝาน, สวี่ชิง, เมิ่งฮ่าว มาที่ห้องโถงหลักบนภูเขาตะวันออก” น้ำเสียงอันเปี่ยมอำนาจมิอาจให้กังขา ถูกส่งออกมาจากแผ่นหยกนี้ เป็นเสียงของเจ้าสำนักเหอลั่วฮว่านั่นเอง
เมิ่งฮ่าวม้วนเก็บบันทึกไม้ไผ่ ยืนขึ้นและเดินออกจากประตูหลักของหอเวทไปอย่างเงียบๆ ตรงไปสู่ยอดเขาของภูเขาตะวันออก
เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขาเดินออกไป เงาร่างของบุคคลสองคนก็พุ่งตรงไปที่ยอดเขา หนึ่งมีใบหน้าที่สุภาพอ่อนโยน และอบอุ่น เต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม ศิษย์พี่เฉินฝาน อีกหนึ่งก็เป็นผู้ที่มีความงามอย่างยิ่งยวดแต่เย็นชา ศิษย์พี่หญิงสวี่ชิง
สวี่ชิงจ้องมองไปที่เมิ่งฮ่าว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน ตั้งแต่เจอกันยามเย็นเมื่อเดือนที่แล้ว
ทั้งสามเร่งความเร็วตรงไปบนยอดเขาตะวันออก ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงหลัก ที่ให้ความรู้สึกถึงความโบราณเก่าแก่ของมัน การตกแต่งอย่างสวยงามอลังการให้ความรู้สึกว่ามันได้ผ่านมาประวัติศาสตร์มายาวนาน นี่เป็นสถานที่สำคัญของสำนักเอกะเทวะ สถานที่ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงแต่ศิษย์สายในของสำนักเท่านั้นที่จะเข้ามาได้
ภายในของห้องโถงหลักมีรูปปั้นอยู่เก้ารูป รูปปั้นหน้าสุดเป็นรูปผู้ชรา สีหน้าไม่ได้แสดงความโกรธแต่เรืองอำนาจ ดวงตาสีดำของรูปปั้นดูเหมือนจะส่องประกายดุจมีชีวิต มือซ้ายยกขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าของรูปปั้น ก้มศีรษะราวกับกำลังมองลงมายังทุกสรรพชีวิตบนโลกนี้ และเหมือนกับว่าจะมีประกายแห่งพลังที่ยากจะอธิบายเปล่งออกมาจากรูปปั้นนี้ ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ชวนให้เคารพยำเกรง ด้านหลังของรูปปั้นรูปแรก ก็มีรูปปั้นอีกแปดรูปจัดเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย รูปปั้นทั้งหมดดูสูงส่งสง่างามราวกับเซียนอมตะในตำนาน
เมิ่งฮ่าวเคยมาที่นี่ตั้งแต่ในช่วงเจ็ดวันแรกของเขาในเขตสำนักสายใน เขาได้คุกเข่าโขกศีรษะให้กับเหล่ารูปปั้นทั้งหมดนี้ และทราบดีว่าชายชราที่ดูเยือกเย็นเปี่ยมความองอาจไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นปรมาจารย์เอกะเทวะนั่นเอง สำหรับรูปปั้นรูปอื่นๆ ก็เป็นท่านปรมาจารย์คนอื่นๆ ของสำนักเอกะเทวะ
เจ้าสำนักเหอลั่วฮว่า ยืนอยู่ใต้บรรดารูปปั้น กำลังหันหลังให้เมิ่งฮ่าวและพวก เมื่อพวกเขาเดินเข้าไป เจ้าสำนักเหอลั่วฮว่าจ้องมองไปที่รูปปั้นราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ด้านข้างยืนไว้ด้วยผู้อาวุโสโอวหยาง ซึ่งได้พยักหน้าให้คนทั้งสามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทำความเคารพต่อท่านปรมาจารย์” ผู้อาวุโสโอวหยางพูดด้วยเสียงทุ้มลึก
เมิ่งฮ่าว, สวี่ชิง และเฉินฝาน โค้งตัวต่ำเพื่อคำนับท่านปรมาจารย์เอกะเทวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตั้งแต่ที่ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะได้สูญหายไปหนึ่งร้อยปีแล้ว ข้าเพิ่งเข้าสำนักเป็นศิษย์สายนอก” เหอลั่วฮว่าพูดขึ้น “ในตอนนั้น สำนักเอกะเทวะยังคงเจริญรุ่งเรืองอยู่” เหอลั่วฮว่าถอนหายใจและหมุนตัวกลับมา เมิ่งฮ่าว, เฉินฝาน และแม้แต่สวี่ชิงก็จ้องมองไปที่ท่านด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
เหอลั่วฮว่าเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพูดต่อไปอย่างช้าๆ “พวกเจ้าก็ได้อ่านบันทึกโบราณของสำนักกันแล้ว และก็ได้ทราบว่าสำนักพวกเราได้เคยมีความรุ่งโรจน์อย่างไรบ้าง… กับเรื่องระดับทั้งสามของพื้นฐานการก่อตั้งลมปราณก็พอมีความรู้ ข้าได้เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ก็เพื่อที่จะอธิบายถึงความจริงให้กระจ่าง
“ความรุ่งโรจน์ของสำนักเอกะเทวะ ก็สืบเนื่องมาจากท่านปรมาจารย์เอกะเทวะทั้งหมด เนื่องด้วยพลังการฝึกตนของท่าน ทำให้ท่านสยบทั่วทั้งแคว้นจ้าว ชื่อเสียงของท่านยังได้สร้างความสั่นสะเทือนไปถึงดินแดนด้านใต้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าตำราเล่มหนึ่งในคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ”
เมื่อเหอลั่วฮว่าพูด สองตาของเฉินฝานก็เริ่มส่องประกายเจิดจ้า แม้แต่สวี่ชิง สองตาก็เริ่มคมกล้าขึ้น
มีเพียงเมิ่งฮ่าวที่จ้องมองไปด้วยสายตาอันว่างเปล่า เขาไม่ทราบว่าคัมภีร์สุดยอดวิญญาณคืออะไร
“ตำรารวบรวมลมปราณหรือ” เฉินฝานถามเสียงเบา มันเป็นศิษย์รุ่นพี่ของสำนักสายใน รู้เรื่องความลับมากมาย บางเรื่องจึงพอคาดเดาได้
“คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ คือ หนึ่งในสามคัมภีร์ชิ้นเอกอันยิ่งใหญ่ของดินแดนหนานซาน” เหอลั่วฮว่าพูดต่อไปอย่างแช่มช้า “คัมภีร์เล่มนี้ได้ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ครั้งโบราณ เดิมทีมันประกอบด้วยตำราเจ็ดเล่ม แต่ส่วนใหญ่ได้หายสาบสูญไป ตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ก็เหลือแค่สามเล่ม
“หนึ่งในนั้นก็คือ ตำรารวบรวมลมปราณ ซึ่งได้อธิบายถึงวิธีการฝึก การจัดตั้งลมปราณขั้นพื้นฐานโดยสมบูรณ์ เล่มที่สอง คือ ตำราพี้นฐานลมปราณ อธิบายถึงวิธีการฝึก การก่อตั้งแกนลมปราณสีม่วง ซึ่งไม่ใช่แกนลมปราณสีแดง หรือแกนลมปราณหลากสี เล่มที่สาม ก็คือ ตำราจัดตั้งแกนลมปราณ ซึ่งทำให้ใครก็ตามที่เรียนรู้ สามารถที่จะสร้างร่างเกิดใหม่สี่สี…
“พูดอีกอย่างก็คือ ตำราแต่ละเล่ม ช่วยให้ผู้ฝึกบรรลุถึงแต่ละขั้นที่แข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้นไป
“ในปีนั้น ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะได้ครอบครองตำรารวบรวมลมปราณเล่มสมบูรณ์นั้น เหตุผลที่ทายาทของตระกูลหวังมาเข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ ก็เพราะตำรารวบรวมลมปราณของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณนั่นเอง”
สองตาของเมิ่งฮ่าวสาดประกาย และหัวใจเริ่มเต้นรัว เขาเคยได้ยินศิษย์พี่เฉินพูดถึงระดับที่แตกต่างกันของพื้นฐานลมปราณ ตอนนี้เขาก็ได้ทราบแล้วว่า ตำรารวบรวมลมปราณเล่มสมบูรณ์ที่ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะได้ครอบครองนั้น สามารถสร้างพลังลมปราณได้แข็งแกร่งแค่ไหน เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหวังเถิงเฟยถึงได้เข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ
“ถ้าข้าได้ครอบครองมัน…” ความปรารถนาอันแน่วแน่ในจิตใจของเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็เริ่มลุกโชนจนร้อนขึ้นมา
“น่าเสียดาย แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยเห็นตำรารวบรวมลมปราณเล่มนั้น โดยไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่น” เหอลั่วฮว่ากล่าว “เล่มตำราไม่มีการสืบทอด มันเพียงอยู่ในความทรงจำของท่านปรมาจารย์เท่านั้น” เมิ่งฮ่าวยังคงอยู่ในความเงียบ และสีหน้าของเฉินฝานก็แสดงถึงความเข้าใจ สวี่ชิง เงยหน้าขึ้นไปมองที่รูปปั้นของท่านปรมาจารย์เอกะเทวะ
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องโถงหลัก
“สี่ร้อยปีมานี้ ทุกคนในโลกภายนอกคิดว่าท่านปรมาจารย์ได้ดับขันธ์ไปแล้ว มีเพียงข้าและไม่กี่คนที่รู้ว่าท่านปรมาจารย์…ยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน” เมื่อคำพูดของเหอลั่วฮว่าดังเข้าไปในหูของเมิ่งฮ่าว เหมือนกับว่าคำพูดนั้นได้กลายเป็นเสียงระเบิดดังกึกก้องของสายฟ้า
“สี่ร้อยปีก่อน พลังการฝึกตนของท่านปรมาจารย์ ได้บรรลุถึงขั้นสุดท้ายของวิญญาณเริ่มก่อตั้ง แต่ท่านก็ได้มาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต การที่ใครสักคนจะก้าวไปถึงขั้นตัดวิญญาณ ตำนานแห่งตัดวิญญาณได้กล่าวไว้ว่า หากมีอายุไม่ถึงหนึ่งพันปี ไฉนจึงหาญกล้าท้าสวรรค์ ไฉนจึงสามารถตัดวิญญาณ?”
“ท่านปรมาจารย์เลือกที่จะเก็บตัวเพื่อเข้าฌาณ เพื่อที่จะตัดวิญญาณของร่างกายและเพื่อกำเนิดใหม่ มันเป็นการเข้าฌาณถึง…สี่ร้อยปี”
“เมื่อสี่ร้อยปีก่อน ท่านปรมาจารย์ได้ทิ้งคำสั่งไว้ว่า ทุกๆ หนึ่งร้อยปี ท่านจะส่งกุญแจหยกซึ่งสกัดขึ้นจากโลหิตของท่านเองออกมา จากนั้นศิษย์สายในที่โดดเด่นในแต่ละรุ่นก็สามารถใช้กุญแจหยกนี้เข้าไปในเขตกรรมฐานของท่านได้ ด้วยการช่วยเหลือของพลังลมปราณและโลหิตที่อยู่ในกุญแจหยก ศิษย์โดดเด่นเหล่านั้นน่าจะมีโอกาส ถ้าโชคดี ก็จะได้รับพลังแห่งจิตที่ท่านปรมาจารย์ได้แผ่กระจายอยู่ตลอดในพื้นที่นั้น หากมีวาสนาก็จะได้… คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ!” เสียงของเหอลั่วฮว่าดังก้องออกมา เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น เช่นเดียวกับเฉินฝาน และสวี่ชิง
“สำเร็จก็คือสำเร็จ ล้มเหลวก็คือล้มเหลว ถ้าสำนักยังรุ่งโรจน์เหมือนเดิม แน่นอนว่าคงมีศิษย์ก่อนหน้านี้ทำได้สำเร็จไปแล้ว แต่สองร้อยปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับการบำเพ็ญเพียรของท่านปรมาจารย์ ทำให้ท่านเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้มาถึงบั้นปลายแห่งอายุขัย พร้อมจะดับขันธ์ได้ทุกเมื่อ ทำให้เขตกรรมฐานของท่าน พลังแห่งจิตเริ่มอ่อนบาง เขตอาคมป้องกันก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ท่านปรมาจารย์ไม่ได้ส่งกุญแจหยกออกมาอีกเลย จนกระทั่งห้าปีก่อน…ท่านจึงส่งออกมาสามชิ้น”
“กุญแจหยกสามชิ้นบอกให้รู้ว่า มีบุคคลสามารถเข้าไปได้สามคน และยังบ่งบอกว่า ในเขตเขตอาคมป้องกันอันแข็งแกร่งเหล่านั้น มีเพียงพื้นที่สามแห่งเท่านั้น ที่การบรรลุสามารถเกิดขึ้น” เสียงของเหอลั่วฮว่าดังก้องกระหึ่มไปทั่วห้องโถงหลัก ท่านได้โบกสะบัดแขนเสื้อด้านขวา ริ้วสีแดงเลือดสามเส้นก็พุ่งตรงไปที่เมิ่งฮ่าว เฉินฝาน และสวี่ชิง หยุดลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา
มันคือ ผลึกโลหิต ประดุจแผ่นหยกเนื้อเนียน ซึ่งรู้จักกันในนามว่า กุญแจหยก
“พวกเจ้าทั้งสาม คือศิษย์สายในที่เหลืออยู่ตอนนี้ ดังนั้นข้าจึงส่งมอบกุญแจหยกให้ แต่จะได้รับความรู้จากคัมภีร์สุดยอดวิญญาณมาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าแล้ว” จากนั้น ท่านก็สะบัดชายแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง และรูปปั้นของท่านปรมาจารย์เอกะเทวะก็เริ่มมีเสียงหึ่งๆ เกิดขึ้น สองตาสาดประกายสว่างจ้าออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด และกระแสน้ำวนก็เริ่มก่อตัวอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นนั้น
“จงก้าวเข้าไป” เหอลั่วฮว่าพูด เสียงดังราวฟ้าผ่า “ขอให้พวกเจ้ามีโชคได้รับความรู้กลับมา” เมิ่งฮ่าวและพวกเหมือนจะกลายเป็นลำแสง เมื่อพวกเขากำกุญแจหยกไว้ในมือจนแน่นและพุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น หายเข้าไปข้างใน
ด้านนอก กระแสน้ำวนยังคงอยู่ แต่ถ้าปราศจากกุญแจหยก ไม่ว่าใครหรือแม้แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งก็ไม่สามารถเข้าไปได้
มองดูไปที่กระแสน้ำวนนั้น ผู้อาวุโสโอวหยาง เอ่ยขึ้นอย่างเงียบๆ “ไม่ว่ารู้ว่าพวกเขาทั้งสาม ใครจะเป็นผู้ได้คัมภีร์สุดยอดวิญญาณกลับมา หรือ…บางทีพวกเขาอาจจะกลับมามือเปล่า”
“มันขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแต่ละคน ไร้ประโยชน์ที่จะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้” เหอลั่วฮว่านั่งลงขัดสมาธิข้างกายผู้อาวุโสโอวหยาง และเริ่มเข้าฌาณ
เมื่อเมิ่งฮ่าวเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น ความมืดก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าบังคับให้เขาต้องปิดตาลง เสียงก้องกระหึ่มดังอยู่ในหูของเขา จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแปลกๆ ดังมาจากทั่วทุกทิศทาง หลังจากที่ผ่านไปนานราวเป็นปี ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะเทือน และจากนั้นเสียงก็หยุดลง เสียงกรีดร้องกลายเป็นความเงียบแทน เขาลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองได้มายืนอยู่ตรงด้านบนสุดของแท่นบวงสรวง ซึ่งสูงกว้างหลายจ้าง เขามองไปรอบๆ
สถานที่นี้มีขนาดกว้างใหญ่มหาศาล สูงขึ้นไปด้านบนมีสีดำดุจพื้นดิน มีก้อนผลึกเล็กๆ กระจายอยู่เต็มไปหมด ส่องประกายราวดวงดาว สาดแสงสลัวไปรอบๆ มองอะไรได้ไม่ชัดเจน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ถูกกั้นไว้ด้วยผ้าโปร่ง มองเห็นอาคารมากมายดุจซ่อนเร้นในสายหมอก
“ช่างเปล่าเปลี่ยวอะไรเช่นนี้! ราวกับว่าไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปีแล้ว” มันคือเสียงของเฉินฝาน ลอยมาจากบางแห่งที่ไกลออกไป ในที่สุดมันก็ปรากฏกายขึ้น เดินฝ่าสายหมอกมาจากตำแหน่งที่พอจะมองเห็นได้ว่า มีแท่นบวงสรวงอีกแท่นหนึ่ง สูงกว้างหลายจ้างเช่นเดียวกัน
“ดินด้านบนมีเขตอาคมป้องกันอยู่ ที่นี่คือตำหนักใต้ดินของสำนัก” เฉินฝานเอ่ยขึ้น
สวี่ชิงปรากฏขึ้นจากทิศทางอื่น สวมใส่ชุดยาวสีเงิน ทำให้มองดูสวยงามอย่างไร้ที่เปรียบเปรย
“ข้าเข้าสังกัดสำนักก่อนพวกเจ้าทั้งสอง” เฉินฝานมองดูรอบๆ กล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าทำหน้าที่อารักขาที่ห้องโถงหลัก ทำให้ข้าทราบถึงความลับบางอย่างที่เจ้าทั้งสองไม่รู้ ที่นี่คือตำหนักใต้ดินของสำนักเอกะเทวะอย่างแน่นอน เหนือศีรษะเราขึ้นไป ก็คือเขตพื้นที่สำนักสายนอก”
เมิ่งฮ่าวเดินลงจากแท่นบวงสรวงไปยืนใกล้กับเฉินฝานและสวี่ชิง มองไปรอบๆ ยังภาพสลัวเลือนลางของอาคารรายรอบพวกเขา เขาสามารถมองเห็นต้นไม้และดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวอยู่มากมายเต็มไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ดูเหมือนความตาย
“สายหมอกก็เป็นเขตอาคมป้องกันเช่นกัน” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว “มันทำให้ทุกอย่างในที่นี่ ปรากฏเป็นสีดำและสีขาว ไม่มีสีอื่นเจือปน”
“ถูกต้อง” เฉินฝานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อย่าไปแตะต้องมันนะ อาคมพวกนี้ หลุดการควบคุมเนื่องจากท่านปรมาจารย์อยู่ในช่วงอ่อนแอ พวกเรามาใช้กุญแจหยกเพื่อตามหาสถานที่แห่งการตระหนักรู้ของพวกเรากันเถอะ” มันมองดูมาที่เมิ่งฮ่าวและสวี่ชิงอย่างเคร่งขรึม
“พวกเราไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะได้รับความรู้ พวกเราต้องรอให้ทุกคนมาครบก่อน แล้วค่อยออกไปพร้อมกันนะ ศิษย์น้องหญิงสวี่, ศิษย์น้องเมิ่ง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะโชคดี” มันส่งพลังลมปราณเข้าไปในกุญแจหยก ครั้นแล้วสีแดงเลือดก็ส่องประกายจ้า และลอยออกไป เฉินฝานเดินตามไป ในไม่ช้าก็หายไปในที่ห่างไกล
สวี่ชิงพยักหน้าไปที่เมิ่งฮ่าว จากนั้นก็เดินตามประกายสีแดงเลือดของกุญแจหยก ที่ส่องประกายเจิดจ้าออกไปในทิศทางที่ต่างกับเฉินฝาน
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ จากนั้นในขณะที่กำลังจะพุ่งลมปราณเข้าไปในกุญแจหยก ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมา มันใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งห่างจากเมิ่งฮ่าวประมาณสิบจ้าง