ตอนที่ 519
ในทะเลไร้กาลเวลา
กลุ่มภูติผีมองมายังเมิ่งฮ่าว และเขาก็มองกลับไป พวกมันมีท่าทางลังเล ราวกับว่าพวกมันกำลังสับสนบางสิ่งบางอย่าง
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แต่เขามองไปยังภูติผีเหล่านั้นอย่างละเอียด ให้ความสนใจไปที่พวกมันจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
ผ่านไปชั่วขณะ กลิ่นอายความตายก็พุ่งขึ้นมาจากพวกมันจนสูงตระหง่าน ร่างพวกมันแวบขึ้นขณะที่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว
เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ขณะที่กลุ่มภูติผีเข้ามาใกล้ เขาก็ใช้มือขวาชี้นิ้วออกไป ทำให้แสงโลหิตระเบิดออก ภายในแสงโลหิตนั้นเป็นพลังชีวิตอันเข้มข้นพุ่งออกไป เพียงชั่วพริบตา ก็กระแทกเข้าไปในกลุ่มภูติผี
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้ เจตจำนงแห่งการทำลายล้างก็ระเบิดออกมา ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือน เสียงที่คล้ายกับเป็นเสียงฟ้าผ่าดังก้องออกไป ขณะที่ร่างของกลุ่มภูติผีแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตอนนี้วิญญาณของพวกมันได้ตายไปเช่นเดียวกับร่างกาย
เจตจำนงแห่งการทำลายล้างนี้ จะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อเจตจำนงแห่งชีวิต มาสัมผัสกับกลิ่นอายแห่งความตาย
สิบปีก่อน เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะทำได้เช่นนี้ แต่ในตอนนี้ หลังจากสิบปีแห่งการรู้แจ้ง ถึงแม้ว่าเขาไม่อาจจะเปลี่ยนให้พลังชีวิตของตัวเอง กลายเป็นกลิ่นอายแห่งความตายได้โดยสิ้นเชิง เขาก็เข้าใจถึงวิธีที่จะสร้างพลังแห่งการทำลายล้างนี้ได้เป็นอย่างดี
“ถ้าภูติผีทะเลม่วงเหล่านี้ สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของข้า ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงตัวของทะเลเอง” เขาส่ายศีรษะ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พร้อมกับความรู้แจ้งที่เพิ่มขึ้น เขาได้พบว่าเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับภูติผีเหล่านี้ พวกมันมักจะมีท่าทางสับสนอยู่ชั่วขณะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยเขาก็มีความก้าวหน้าขึ้นบ้าง
“ปรากฏการณ์เช่นนั้นดูเหมือนจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ข้าได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง” เขามองขึ้นไปในท้องฟ้า ตกอยู่ในภวังค์ห้วงความคิด ไม่รู้ว่านกแก้วและผีโต้งไปอยู่ที่ไหน ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พวกมันคงเล่นกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน
พวกมันมักจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นเวลาครึ่งปีหรือมากกว่านั้น เมื่อคิดไปถึงความชั่วร้ายตามปกติของพวกมัน เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้กังวลต่อความปลอดภัยของพวกมันมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในบริเวณนี้ก็ไม่มีอะไรที่มีขน ดังนั้นพวกมันคงไม่อาจจะสร้างปัญหาใหญ่โตขึ้นมาได้
เมิ่งฮ่าวพักผ่อนอีกสองสามวัน ก่อนที่จะจมลงไปในทะเลม่วงอีกครั้ง
กลายเป็นว่าการที่เขามุ่งความสนใจไปที่การฝึกตน ทำให้จริงๆ แล้ว เขาได้คาดคิดผิดพลาดไปในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนกแก้วและผีโต้ง…
เป็นความจริงที่ไม่มีอะไรในบริเวณนี้จะมีขน แต่ในดินแดนสีดำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…นกแก้วและผีโต้งได้เบื่อทะเลแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน และแอบบินกลับเข้าไปในดินแดนสีดำ
หลังจากที่ผ่านเข้าไป พวกมันก็ทำให้เกิดเป็นความวุ่นวายอย่างรุนแรงขึ้นในทันที ซึ่งในที่สุดก็ได้กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น
เวลาแวบผ่านไป อีกสิบปีก็ผ่านไปอีกครั้ง
เมิ่งฮ่าวได้ใช้เวลามากกว่ายี่สิบปีแล้ว พยายามที่จะเข้าใจเกี่ยวกับฝนม่วง ในตอนนี้ เขาได้จมลงไปเกือบหนึ่งพันจ้าง และนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นได้นานหลายเดือน
พลังชีวิตเขาในตอนนี้อ่อนแอลงอย่างน่าเหลือเชื่อ สำหรับบุคคลอื่นๆ การขาดแคลนพลังชีวิตเช่นนั้น ก็หมายความว่าพวกมันแทบไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ แต่เมิ่งฮ่าวแตกต่างไป ถึงแม้พลังชีวิตเขาจะอ่อนแอ กลิ่นอายความตายอันเข้มข้นจริงๆ แล้ว ก็กลายเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับเป็นรูปแบบแห่งชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
ชีวิตเช่นนี้ก็เหมือนกับเป็นภูติผีเหล่านั้น ยกเว้นว่าเขายังมีร่างกายและวิญญาณ
เหตุผลที่เมิ่งฮ่าวสามารถกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ใต้ทะเลได้นานเช่นนี้ก็เป็นเพราะ ขณะที่พลังชีวิตเขาเริ่มอ่อนแอลงไป พลังแห่งการทำลายล้างในน้ำทะเลก็ลดลงไป เจตจำนงที่ต้องการขับไล่เขาออกไปจากตำแหน่งที่อยู่ภายในน้ำทะเลก็อ่อนแอลงไปด้วย
อีกสิบปีได้ผ่านไป เมื่อเมิ่งฮ่าวใช้เวลาตลอดทั้งสามสิบปี พยายามที่จะได้รับความรู้แจ้งแห่งทะเลม่วง นานมาแล้วที่เขาสามารถจมลึกลงไปจนถึงก้นทะเล
ตอนนี้เขาสามารถก้าวเดินไปบนสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น…ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งทะเลทรายตะวันตก!
บนพื้นทะเล เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายอันยากจะอธิบายออกมาได้ แผ่ซ่านอยู่รอบๆ ตัว แผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง กลิ่นอายนี้เข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อ และมาพร้อมกับกลุ่มภูติผีจำนวนมากมาย
เมื่อภูติผีเหล่านี้มองเห็นเมิ่งฮ่าว พวกมันก็ไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง และผ่านเขาไปอย่างง่ายๆ บางครั้งพวกมันก็ลอยผ่านร่างเขาไปตรงๆ
พลังชีวิตในร่างเมิ่งฮ่าว ถูกสะกดลงจนแทบจะหมดสิ้นแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือ เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ตลอดทั้งชีวิตของเขาแขวนอยู่ ร่างในตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้น ทำให้สีผิวได้กลายเป็นซีดขาวราวขี้เถ้า แทบจะเป็นสีเดียวกับซากศพโดยสิ้นเชิง
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นทะเล บนสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นผิวของทะเลทรายตะวันตก ครั้งนี้ ปีแล้วปีเล่าได้ผ่านไป
เพื่อให้เข้าใจฝนม่วง คนผู้นั้นต้องกลายเป็นฝนม่วง มีแต่เช่นนั้นถึงจะสามารถได้รับความรู้แจ้ง หลังจากที่พยายามมานานถึงสามสิบปี ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ทำได้สำเร็จเพียงแค่บางส่วน
เศษเสี้ยวของพลังชีวิตที่ค้ำจุนเปลวไฟแห่งชีวิตของเขาไว้ในตอนนี้ ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย แต่มันก็ยังไม่ถูกทำลายลงไปจนหมดสิ้น เจตจำนงแห่งการทำลายล้างที่อยู่รอบๆ ในตอนนี้อ่อนแอลงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เข้าใจถึงความรู้สึกราวกับจะตายไปภายใต้ฝนม่วงนี้
เขาไม่ได้ขยับตัวเคลื่อนไหว นั่งขัดสมาธิโดยไม่คิดที่จะออกไปจากทะเลม่วง อีกสิบปีก็ผ่านไป
ความเข้าใจในวิธีการสร้างภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำของเมิ่งฮ่าว ได้ผ่านไปสี่สิบปีแล้ว สำหรับมนุษย์ธรรมดา สี่สิบปีก็คือครึ่งชีวิต แต่สำหรับผู้ฝึกตน สี่สิบปี…ไม่นับว่าสั้น…แต่ก็ไม่อาจจะถือว่ายาวนานไปเช่นเดียวกัน
หลังจากผ่านไปสี่สิบปี สายฝนที่ตกลงมาในทะเลทรายตะวันตก ก็ไม่ได้ตกหนักอีกต่อไป ตอนนี้มันแสดงถึงสัญญาณที่จะหยุดตก สายฝนไม่ได้ตกอยู่นานถึงหนึ่งหมื่นปี จากข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในทะเลทรายตะวันตก สายฝนจะตกต่อเนื่องยาวนานที่สุดก็คือหนึ่งร้อยปีเป็นอย่างมาก
โชคร้ายที่ถึงแม้สายฝนจะหยุดตก หลังจากหนึ่งร้อยปีผ่านไป พลังลมปราณก็จะไม่ฟื้นฟูกลับคืนมา ทะเลม่วงยังคงเป็นอาณาเขตหวงห้ามสำหรับผู้ฝึกตน อาจจะบินอยู่กลางอากาศเหนือน้ำทะเลได้ แต่…เป็นไปไม่ได้ที่จะเหยียบย่างลงไปในทะเลแม้แต่เพียงก้าวเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการตายไปของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกจำนวนมากมาย ซึ่งไม่อาจจะผ่านเข้าไปในดินแดนสีดำได้ จึงได้มีภูติผีมากมายนับไม่ถ้วน เต็มอยู่ในทะเลม่วง ขณะที่พวกมันลอยไปมา สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามที่มาเผชิญหน้ากับพวกมัน ก็จะทำให้พวกมันรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกมันจะโจมตีเพื่อพยายามกำจัดพลังชีวิตในทันที
แม้จะเป็นเช่นนั้น จริงๆ แล้วภูติผีเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนสามารถใช้ได้ เพราะพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย พวกมันจึงถูกผนึกไว้ได้ ภูติผีที่แข็งแกร่งบางตน อาจจะถูกกลั่นสกัดให้กลายเป็นผลึกแห่งความตายได้อีกด้วย ผลึกเช่นนี้สามารถนำไปใช้ในการฝึกฝนพลังฝึกตน เพื่อช่วยกระตุ้นพรสวรรค์ของร่างกาย
ตลอดช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในดินแดนสีดำมากมาย มีสิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนไปก็คือ พันธมิตรศาลสวรรค์ ซึ่งเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดในดินแดนสีดำ
นอกเหนือจากพันธมิตรศาลสวรรค์แล้ว ก็ยังมีกองกำลังอีกหกแห่งที่ค่อยๆ โด่งดังขึ้นมา แน่นอนว่ากองกำลังเหล่านี้เป็นชนเผ่าอันยิ่งใหญ่ที่มีปรมาจารย์ตัดวิญญาณอยู่ด้วย
อันที่จริง หนึ่งในหกกองกำลังนั้น ไม่มีปรมาจารย์ตัดวิญญาณอยู่ นามของกองกำลังนั้นก็คือ จินอูเฮยหลงจู้ (เผ่าอีกาทองมังกรดำ)
เผ่านี้ก็คือการรวมตัวกันของเผ่าอีกาทองคำ และเผ่ามังกรดำ ในแง่ของโครงสร้างกองกำลัง เผ่าจินอูเป็นกองกำลังหลัก เผ่าเฮยหลงเป็นกองกำลังรอง และวิหารจินกวงเป็นลำดับที่สาม พวกมันรวมตัวเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นชนเผ่าที่แข็งแกร่ง
ถึงแม้ว่าพวกมันไม่มีปรมาจารย์ตัดวิญญาณ แต่พวกมันก็มีสัตว์ปีศาจถึงแปดแสนตัว ด้วยเช่นนั้น เผ่าจินอูเฮยหลง จึงมีความแข็งแกร่งอย่างน่ากลัว ซึ่งไม่มีใครกล้าจะดูถูกพวกมัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกมันก่อตั้งค่ายกล ตลอดทั้งสี่สิบปีที่ผ่านมา มีผู้คนมากมายได้มาสอดแนมพวกมัน แต่คนเหล่านั้นทั้งหมดก็ถูกบังคับให้ไสหัวจากไปโดยสิ้นเชิง
ชนเผ่านี้ยังมีเถาวัลย์ป้อมปราการหนามอีกด้วย ศัตรูใดๆ ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นตัดวิญญาณ ก็ไม่อาจจะกระทำการใดๆ ต่อพวกมันได้แม้แต่น้อย
ถ้าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมาถึง มันอาจจะสามารถจัดการป้อมปราการหนามได้ แต่ฝูงสัตว์ปีศาจอันบ้าคลั่งถึงแปดแสนตัว ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีเผ่าไหนจะกล้าบังอาจมาทดลองดู
เนื่องจากเช่นนี้ จึงมีความสมดุลย์อยู่ในดินแดนสีดำ…เนื่องจากความสมดุลย์นี้ เผ่าจินอูเฮยหลง จึงไม่เพียงแค่คงอยู่ได้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกด้วย
บางทีอาจจะไม่จำเป็นที่ต้องกล่าวถึงว่า เซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันได้เติบโตขึ้นมาได้อย่างไร ด้วยการมีสัตว์อสูรเทียมสวรรค์ที่ทำตัวเหมือนกับเป็นผู้คุ้มกัน เผ่าจินอูเฮยหลงจึงเป็นกองกำลังที่คนทั้งหมดถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตัวด้วยความเคร่งเครียดจริงจัง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสัตว์ปีศาจบางตัวจากฝูงแปดแสนตัว ค่อยๆ เติบโตขึ้น จนถึงจุดที่กลายมาเป็นเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์!
เมื่อสามสิบปีก่อน ต้าเหมาบรรลุถึงระดับสิบเอ็ด และกลายมาเป็นเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์! ในวันนั้น สัตว์ปีศาจทั้งหมดในดินแดนสีดำ สามารถสัมผัสได้ถึงปราณอสูรอันแข็งแกร่ง ซึ่งกระจายออกไปอย่างแน่นหนาทั่วทุกทิศทางจากเผ่าจินอู
อีกสิบปีต่อมา จระเข้แดง และจิ้งเหลนยักษ์ ก็กลายเป็นเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
สำหรับอีกา, ยุง และสัตว์ปีศาจอื่นๆ บางตัว พวกมันได้เติบโตขึ้นราวกับเป็นต้นไผ่ที่พุ่งสูงขึ้นไปหลังจากสายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน พวกมันทั้งหมดบรรลุถึงระดับสิบเอ็ด และกลายเป็นเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน!
ภายใต้การปกครองของพวกมัน เผ่าจินอูเฮยหลงมีค่าพอที่จะถูกเรียกว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง พวกมันกลายเป็นหนึ่งในหกกองกำลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดในดินแดนสีดำ ภายใต้พันธมิตรศาลสวรรค์!
สิบปีก่อน นกแก้วและผีโต้งใช้วิธีการที่ไม่มีใครรู้บางอย่าง หลบเลี่ยงจากการตรวจจับของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ขั้นตัดวิญญาณ และเข้าไปในดินแดนสีดำอีกครั้ง พวกมันเริ่มสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วในทันที สัตว์ปีศาจจำนวนมากมายต้องประสบกับหายนะ ยกเว้นเผ่าจินอูเฮยหลง สัตว์ปีศาจจากเผ่าอื่นๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนกแก้วและผีโต้ง ก็จะส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาในทันที และจากนั้นก็จะหลบหนีไปยังทิศทางตรงกันข้าม
ไม่ว่าซือหลงจะพยายามควบคุมพวกมันอย่างไรก็ตาม ซือหลงเหล่านั้นก็ไร้พลังที่จะขัดขวางไม่ให้พวกมันหลบหนีจากไป สัตว์ปีศาจของพวกมันจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้ร่างซือหลงที่กำลังสั่นสะท้าน ลอยตัวอยู่ตามลำพังกลางอากาศ
“หายนะแห่งซือหลง” ก็คือนามที่โด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วในดินแดนสีดำ
ตลอดช่วงเวลาสี่สิบปีนั้น ดินแดนด้านใต้ยังคงระมัดระวังคอยป้องกันดินแดนสีดำอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เหล่าศิษย์ของสำนักต่างๆ ในดินแดนด้านใต้ มักจะมาติดต่อกับหกกองกำลังอันยิ่งใหญ่ ดูผิวเผินแล้ว เรื่องราวดูเหมือนจะสงบสุข แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังระมัดระวังซึ่งกันและกัน
สำนักที่เผ่าจินอูเฮยหลงติดต่อด้วยมากที่สุดก็คือ…สำนักจื่อยิ่น!
เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ตำนานที่เริ่มกระจายออกไปเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อน ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกในที่สุดก็รู้ว่า เซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์ที่นำเผ่าอูเสิน (อีกาศักดิ์สิทธิ์) ออกมาจากทางเหนือก็คือ เมิ่งฮ่าว…ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศิษย์ของสำนักจื่อยิ่น!
เขาเป็นตานติ่งต้าซือ (เจ้าโอสถจอมกระถาง) แห่งดินแดนด้านใต้ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้เริ่มกระจายออกไป ก็ทำให้เกิดเป็นความวุ่นวายใหญ่โต นอกจากนี้ คนทั้งหมดที่ได้เห็นเมิ่งฮ่าวหลอมรวมห้าธาตุเข้าด้วยกัน ที่ด้านนอกโม่เหมิน ต่างก็ต้องสั่นสะท้านไปทั่วทุกตัวคน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งฮ่าว ในที่สุดก็กลายเป็นตำนานแห่งอดีต ไม่มีใครพบเห็นหรือได้ยินเมิ่งฮ่าวมาสี่สิบปีแล้ว พวกมันทั้งหมดรู้แต่เพียงว่า เขาได้หายตัวเข้าไปในส่วนลึกของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลทรายตะวันตก ขณะที่ทะเลม่วงกระจายออกไปทั่วเนื่องจากฝนม่วง ผู้คนมากมายเริ่มเชื่อว่าเมิ่งฮ่าวได้ตกตายไปแล้ว
สำหรับเหตุผลที่ทำไมเขาถึงไม่เข้าไปในดินแดนสีดำ แต่เลือกที่จะเดินทางกลับเข้าไปในทะเลม่วง ก็ค่อยๆ ถูกยอมรับว่าเป็นเพราะตระกูลจี้แห่งดินแดนตะวันออก!
ความเป็นศัตรูกันระหว่างเมิ่งฮ่าว และตระกูลจี้ เริ่มเป็นที่โจษจันกันไปทั่วอย่างรวดเร็ว
ตลอดช่วงสี่สิบปีมานี้ ดินแดนแห่งดาวหนานเทียนได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมิ่งฮ่าวผู้ซึ่งถูกลืมเลือนไปโดยผู้คนมากมาย ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงก้นทะเลม่วง พยายามที่จะได้รับความรู้แจ้ง อันเกี่ยวข้องกับเจตจำนงแห่งความตาย
ในเวลาเดียวกันนั้น ตรงก้นทะเลเช่นเดียวกัน ไกลออกไปจากเมิ่งฮ่าวในสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเขตทางเหนือของทะเลทรายตะวันตก ในสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ บุรุษหนุ่มอีกผู้หนึ่งในชุดสีดำ นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นทะเล มันลืมตาขึ้นมาเป็นระยะ และดวงตาทั้งสองก็สาดประกายด้วยแสงสีแดง
ถ้ามองดูบุรุษหนุ่มผู้นี้ให้ละเอียด ก็จะพบว่ารูปร่างหน้าตาของมัน…คล้ายคลึงกับเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ดูเหมือนว่ามันจะมีความเย็นชาและดูน่ากลัวกว่ามากมายนัก
มันสวมใส่ชุดยาวสีดำ และบนหน้าผากก็มองเห็นเครื่องหมายที่ดูเหมือนกับเป็นค้างคาว ขณะที่มันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น จริงๆ แล้วก็ดูเหมือนกับ…ค้างคาวดำเป็นอย่างยิ่ง!
“วิญญาณทั้งเจ็ดพยายามจะผ่านเข้าไปในเกราะป้องกันศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ พวกมันกลายเป็นเจ็ดวิญญาณโบราณที่แท้จริง…หลังจากผ่านไปหนึ่งหมื่นปี วิญญาณเหล่านั้นก็ลอยขึ้นไปยังสวรรค์ และร่างวิญญาณพวกมันก็กลายเป็นเจ็ดกระบี่สังหารเซียน เมิ่งฮ่าว เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะได้ครอบครองพวกมันถึงสี่เล่ม!?!?”
“วิญญาณที่แท้จริงไม่อาจจะมองเห็นได้ภายในโลกนี้ วิญญาณไร้ร่างเช่นพวกเราก็คือพลังที่แท้จริง ด้วยการยึดจับร่างวิญญาณไว้ พวกเราก็สามารถเดินไปบนเส้นทางของวิญญาณที่แท้จริง!” ดวงตาของบุรุษหนุ่มชุดดำสาดประกาย ดวงตาข้างซ้ายของมันจริงๆ แล้วไม่มีลูกตา แต่มีกระแสน้ำวนอยู่แทน ภายในกระแสน้ำวนก็คือซากศพที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์อสูร นี่เป็นซากศพแปลกประหลาดเดียวกับที่เมิ่งฮ่าว ได้ดึงกระบี่สังหารเซียนออกมา จากภายในดินแดนสักการะของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน
ในตอนนี้ ซากศพนั้นได้กลายเป็นอาหารของบุรุษหนุ่มชุดดำนี้ บางทีมันอาจจะกำลังกลืนกินซากศพนั้น…ทำให้ค้างคาวดำสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้