Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 558

ตอนที่ 558

หนึ่งพันปีมีเซียนแค่หนึ่งคน

“บังอาจนัก!!” ปรมาจารย์ฮูเหยียนส่งเสียงแผดร้อง ร่างมันแวบขึ้นขณะที่หลุดพ้นออกมาจากพลังแห่งกาลเวลาที่ไหลย้อนกลับ จากนั้นก็ทำให้เวทผนึกอสูรรุ่นแปดของเมิ่งฮ่าวแตกกระจายไป

ดวงตาปรมาจารย์ฮูเหยียนเต็มไปด้วยความดูถูก อันที่จริงมันไม่ได้กังวลมากนัก เกี่ยวกับแส้กระดูกอสรพิษที่กำลังถูกขโมยไป แส้นี้ถูกกลั่นสกัดมาจากสายโลหิตของบรรพบุรุษแห่งเผ่าเทียนฉง นอกจากกลุ่มคนในสายโลหิตแล้ว ก็ไม่มีใครจะสามารถใช้มันได้

ถึงแม้จะย้อนกลับไปยังช่วงเวลาก่อนที่เผ่าเทียนฉงจะถูกขุดรากถอนโคนไป ปรมาจารย์ฮูเหยียนก็ยังคงเป็นแค่บุคคลเดียวที่มีคุณสมบัติ ในการกระตุ้นพลังของสายโลหิตเพื่อใช้ของวิเศษอันล้ำค่านี้ได้

จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสถานการณ์ในตอนนี้

ดังนั้น ปรมาจารย์ฮูเหยียนจึงไม่ได้กระวนกระวายใจเท่าใดนัก จริงๆ แล้ว มันได้แสร้งทำเป็นไม่สนใจแส้กระดูกอสรพิษ และยกมือขวาขึ้นเพื่อรวบรวมพลังเวท จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

ปฏิกิริยาจากกงล้อแห่งกาลเวลาและเวทรุ่นแปด กระแทกลงไปบนร่างเมิ่งฮ่าว ทำให้โลหิตกระจายออกมาจากปาก ใบหน้าซีดขาวขณะที่ขั้นตัดวิญญาณของเซียนโลหิตหายไป หน้ากากสีโลหิตหลุดออกมาจากใบหน้า และอ๋าวเฉี่ยนที่อ่อนแอก็ปรากฏขึ้น พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวตกลงมาจากขั้นตัดวิญญาณ กลับไปสู่วิญญาณดวงที่เจ็ด

แต่สีหน้าแห่งความมุ่งมั่นและตัดสินใจได้แล้ว ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปจากใบหน้า แต่ยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น เข้าไปใกล้แส้กระดูกอสรพิษ จากนั้นก็คว้าจับมันไว้ เป็นบุคคลแรกที่กระทำเช่นนี้

ทันทีที่เขาสัมผัสมัน จิตใจก็สั่นสะท้าน แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่าง แหล่งที่มาของแส้กระดูกอสรพิษได้ตรวจสอบเขา และพบว่าเขาไม่มีสายโลหิตที่จะควบคุมมันได้ มันรู้สึกราวกับว่าตัวเองแปดเปื้อน ตัวแส้เต็มไปด้วยความตกใจ ระเบิดพลังแห่งการทำลายล้างออกมา

“รนหาที่ตาย?” ปรมาจารย์ฮูเหยียนกล่าว มันรู้สึกดูถูกมากยิ่งขึ้น ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของมันกระจายออกไป เห็นได้ชัดว่าใกล้จะกระแทกลงไปบนร่างเมิ่งฮ่าวแล้ว

ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดต่างก็สับสน เมื่อผู้ฝึกตนทั่วทั้งดินแดนสีดำมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกมัน

“มันกำลังทำอะไรอยู่?” ตั่วหลันคิด “ทำไมมันถึงตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้น?!”

โจวเต๋อคุนกำลังมีความกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้น และแทบไม่อาจจะยับยั้งไม่ให้ตัวเองตะโกนออกมา “ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้น? ฮ่ายยย ทำไมถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เจ้าจะใช้แส้นั้นได้อย่างไรกัน?”

ดวงตาสวี่ไป๋เบิกกว้าง และม่านตาเฉินโม่ก็หดเล็กลง พวกมันสบตากัน และมองเห็นความสับสนในแววตาของกันและกัน

“จากที่ข้ารู้จักมันมา” สวี่ไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ซึ่งสามารถตัดตะปูเฉือนเหล็กกล้า “มันจะไม่กระทำการใดๆ จนกว่าจะเชื่อมั่นว่าต้องสำเร็จเท่านั้น!”

แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านจิตใจเฉินโม่ “อย่าบอกข้านะว่า…จริงๆ แล้วมันมีวิธีที่จะใช้แส้กระดูกอสรพิษเทียนฉง!?” ความเป็นไปได้เช่นนั้นดูเหมือนจะน่าเหลือเชื่อ “ถึงแม้มันจะทำได้ แล้วมันจะหลบหนีจากการโจมตีอย่างรุนแรงของปรมาจารย์ฮูเหยียนในตอนนี้ได้อย่างไร?”

ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ขณะที่ปฏิกิริยาจากแส้กระดูกอสรพิษพุ่งขึ้นมา ขณะที่พลังเวทของปรมาจารย์ฮูเหยียนเข้ามาใกล้…ฉับพลันนั้นเมิ่งฮ่าวก็ตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอาวิญญาณอสูรออกมา

เขาบดขยี้มันอย่างรุนแรง ทำให้วิญญาณอสูรระเบิดออก กลายเป็นแสงระยิบระยับมากมายหลายจุดจนนับไม่ถ้วน กระจายออกปกคลุมไปทั่วร่าง สำหรับนกแก้วและผีโต้ง พวกมันหายตัวเข้าไปในกระจกทองแดงทันทีที่การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น ดังนั้นแสงเหล่านั้นก็ได้ปกคลุมพวกมันด้วยเช่นกัน

แสงนั้นกระจายออกไปยังอ๋าวเฉี่ยนด้วยเช่นกัน และพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มกลายเป็นภาพโปร่งแสงปฏิกิริยาที่มาจากแส้กระดูกอสรพิษเจาะอากาศผ่านร่างเมิ่งฮ่าวไปโดยสิ้นเชิง พลังเวทของปรมาจารย์ฮูเหยียนจริงๆ แล้วก็มาถึงตัวเขาในทันที แต่ในเวลานั้น เขาได้กลายเป็นภาพลวงตา ดังนั้นมันจึงพุ่งผ่านเขาไปด้วยเช่นเดียวกัน

กระแสสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต่างก็สั่นสะท้านไปตามๆ กัน พวกมันมองดูขณะที่เมิ่งฮ่าวหายตัวไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับของวิเศษอันล้ำค่าแห่งเผ่าเทียนฉง

ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจากชนเผ่าอื่นๆ ในดินแดนสีดำ ซึ่งกำลังมองดูจากจอภาพที่แตกต่างกัน ต่างก็อ้าปากค้าง แสงแปลกๆ สาดประกายออกมาจากดวงตาพวกมัน ทันใดนั้นพวกมันก็ตกตะลึงอย่างลึกล้ำในวิธีการของเมิ่งฮ่าวมากกว่าก่อนหน้านี้

“นั่นก็คือแผนการของมัน!” เฉินโม่กล่าว หรี่ดวงตาลง ภายในใจมันต้องยอมรับว่ากลยุทธ์ของเมิ่งฮ่าวช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมยิ่ง

สวี่ไป๋ไม่กล่าวอะไรออกมา แต่ก็รำพึงอยู่ภายในใจ “บางทีมันก็แค่ต้องการแส้นั้น หรือบางทีมันรู้อยู่แล้วว่าการต่อสู้กำลังจะจบลง จึงได้นำแส้นั้นไปเพื่อให้มั่นใจว่าเผ่าจินอูจะปลอดภัย”

โจวเต๋อคุนถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา ขณะที่จิตใจของจ้าวฟางแห่งเผ่าอวิ๋นเทียนอันยิ่งใหญ่ กำลังสั่นสะท้านและสีหน้าก็เปลี่ยนไป มันมองลงไปยังถุงสมบัติขณะที่วิญญาณอสูรของมันลอยออกมา กลายเป็นจุดแสงระยิบระยับ กระจายไปรอบๆ ตัว

วิญญาณอสูรลอยออกมาอยู่เบื้องหน้าตั่วหลันด้วยเช่นกัน แสงระยิบระยับเหล่านั้นค่อยๆ กระจายออกไปปกคลุมร่าง ทำให้นางจางหายไป พลังแห่งการเคลื่อนย้ายทางไกลพุ่งออกมาอยู่รอบๆ ตัวนาง

ในเวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปในสถานที่ซึ่งเมิ่งฮ่าวและปรมาจารย์ฮูเหยียนกำลังต่อสู้กัน…

ขณะที่เมิ่งฮ่าวหายตัวไปอย่างช้าๆ เขามองไปยังปรมาจารย์ฮูเหยียน และกล่าวเสียงราบเรียบ “ปรมาจารย์ฮูเหยียน ข้าคงเสียมารยาทถ้าจะปฏิเสธของกำนัลจากเจ้า เจ้าก็มีวิญญาณอสูรด้วยเช่นกัน ข้าจะไปรอเจ้าในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณเพื่อดำเนินการต่อสู้ของพวกเราต่อไป!”

ปรมาจารย์ฮูเหยียนจ้องไปยังเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ความต้องการสังหารของมันมีความรุนแรงมากขึ้น แส้กระดูกอสรพิษเทียนฉง เป็นของวิเศษล้ำค่าแห่งเผ่าเทียนฉง และมันก็ตั้งใจว่าจะใช้เป็นไพ่ไม้ตายในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ

อันที่จริง หนึ่งในเป้าหมายหลักของมันในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ ก็คือการไปค้นหาสิ่งที่สามารถใช้คู่กับแส้นี้ เมื่อนำมาใช้ร่วมกัน ของทั้งสองสิ่งนี้ก็จะช่วยให้มันได้เบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการตัดครั้งที่สองของมัน

ตอนนี้ โทสะของปรมาจารย์ฮูเหยียนพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด และมีความเกลียดชังลึกลงไปจนถึงกระดูก เมิ่งฮ่าวไม่เพียงแต่จะขโมยกงล้อแห่งกาลเวลาไปจากร่างจำแลงมันเท่านั้น แต่เขายังได้ขโมยของวิเศษล้ำค่านี้ไปจากร่างจริงของมันอีกด้วย

สำหรับสิ่งทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนตัดวิญญาณ และตรงเบื้องหน้าของผู้ฝึกตนทั้งหมดจากดินแดนสีดำ เป็นสิ่งที่น่าละอายและรู้สึกอัปยศอย่างลึกล้ำ

มันสะกดโทสะลงและกล่าวเสียงเย็นชา “เอาของวิเศษของข้าไป? ข้าจะขุดรากถอนโคนเผ่าจินอูของเจ้า!”

“สายเกินไปแล้ว” เมิ่งฮ่าวตอบเสียงราบเรียบ สีหน้าปรมาจารย์ฮูเหยียนเปลี่ยนไป ขณะที่วิญญาณอสูรลอยออกมาจากถุงสมบัติของมัน กระจายลำแสงออกมาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดระยิบระยับมากมายนับไม่ถ้วน ปกคลุมไปทั่วร่างปรมาจารย์ฮูเหยียน และทำให้มันเริ่มจางหายไป

“เจ้าน่าจะรู้ว่า” เมิ่งฮ่าวกล่าวต่อ “พลังการเคลื่อนย้ายทางไกลของวิญญาณอสูร กำลังเริ่มทำงานเร็วมากขึ้นแล้ว”

ปรมาจารย์ฮูเหยียนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สีหน้ามันเยือกเย็นขณะที่จ้องไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก ร่างมันกระพริบไปมา ขณะที่พลังของการเคลื่อนย้ายทางไกลพุ่งออกมามากขึ้น จากนั้นเพียงชั่วพริบตา มันก็ใช้การเคลื่อนย้ายทางไกล กลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นหายลับตาไป ในท่ามกลางระลอกคลื่นของการเคลื่อนย้ายทางไกล ที่กระจายออกมาทั่วทุกทิศทางสายตาที่มันมองมายังเมิ่งฮ่าวก่อนที่จะหายตัวไป ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึก

ในตอนนั้นเองที่เสียงซึ่งถูกส่งผ่านมาจากเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ยินอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว ดังมาจากทิศทางของกระแสสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตัดวิญญาณ และเป็นของไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กชายชุดสีแดงจากเผ่าอวิ๋นเทียนอันยิ่งใหญ่

“สหายเต๋าเมิ่ง ไม่ต้องกังวลใจใดๆ เหล่าฟู (ผู้ชรา) จะช่วยดูแลเผ่าจินอูให้เอง”

ในตอนนี้ ร่างเมิ่งฮ่าวเริ่มจางหายไปมากกว่าครึ่ง เขาไม่อาจจะควบคุมความเร็วที่ทำให้ต้องเคลื่อนที่ขึ้นไปได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามมองลงไปยังกระแสสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตัดวิญญาณกลุ่มนั้น

“เหล่าฟูอายุมากแล้ว” เสียงนั้นกล่าว “เลิกคิดที่จะผ่านเข้าไปในการตัดครั้งที่สองมานานแล้ว เพียงแค่หวังว่าเผ่าอวิ๋นเทียนจะคงอยู่ต่อไปตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ และนั่นจะทำให้ข้ามีโอกาสได้เห็นใครบางคนบรรลุถึงการตัดครั้งที่สอง”

“ข้าจะช่วยท่านดูแลเผ่าจินอูเอง ด้วยการมีเหล่าฟูอยู่ จะไม่มีใครกล้าบังอาจมาหาเรื่องพวกมัน แต่ท่านต้องให้สัญญากับเหล่าฟูว่า ขณะที่อยู่ในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ ท่านจะช่วยดูแล…เซิ่งจื่อจ้าวฟางของข้า!” (เซิ่งจื่อ = บุตรศักดิ์สิทธิ์)

เมิ่งฮ่าวนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปในสวรรค์ เขาก็กล่าวตอบด้วยเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ “ข้าจะไม่รับผิดชอบต่อการตายของมัน ถ้าสถานการณ์เกินกว่าความสามารถของข้า!”

“แค่ดูแลมันให้ดีที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้ก็พอ” เด็กชายในชุดแดงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เหล่าฟูเชื่อว่าท่านจะรักษาคำพูด”

เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวตอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิเสธข้อเสนอนั้น เสียงกระหึ่มได้ยินมาขณะที่เขาถูกขับเคลื่อนขึ้นไปด้วยความรวดเร็วในท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต ในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะหายตัวไป เขามองกลับลงไปยังพื้นดินที่ด้านล่าง

เขามองเห็นดินแดนสีดำ รวมทั้งอาณาเขตที่ถูกครอบครองโดยเผ่าจินอู ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็มองเห็นลำแสงเจิดจ้าสี่สาย ได้พุ่งขึ้นมาในอากาศด้วยความรวดเร็วสูงสุดด้วยเช่นกัน

หนึ่งในลำแสงเหล่านั้นเป็นจ้าวฟางแห่งเผ่าอวิ๋นเทียน อีกลำแสงเป็นตั่วหลันแห่งเผ่าเยาเตี๋ย ซึ่งเป็นคนที่เมิ่งฮ่าวค่อนข้างคุ้นเคย ลำแสงที่สามเป็นชายชรา

ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับชายชราผู้นี้ แต่น่าตกใจนักที่มันอยู่ในขั้นตัดวิญญาณ ที่แปลกมากที่สุดก็คือ มันไม่ได้พุ่งขึ้นมาจากดินแดนสีดำ แต่มาจากตำแหน่งในดินแดนด้านใต้ซึ่งอยู่ติดกับดินแดนสีดำ!

ลำแสงที่สี่พุ่งขึ้นมาจากทะเลม่วงแห่งทะเลทรายตะวันตกที่อยู่ห่างไกลออกไป เมิ่งฮ่าวมองไม่เห็นว่าเป็นใครที่อยู่ด้านใน แต่ในการคาดเดาของเขา น่าจะเป็นจื่อเซียงเป็นอย่างมาก

เขามองออกไป ในตอนนี้เองก่อนที่เขาจะหายตัวไป แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วจิตใจ ขณะที่มองตรงไปยังดินแดนด้านใต้

จากตำแหน่งนั้น เมิ่งฮ่าวมองเห็นลำแสงที่ห้า แต่ก็อยู่ห่างไกลเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่อาจจะมองเห็นว่ามีใครอยู่ด้านในได้ชัดเจน

แต่เขาก็รู้สึกได้อย่างเลือนลางว่า ต้องไม่มีแค่ลำแสงแห่งการเคลื่อนย้ายทางไกลเพียงแสงเดียว ที่พุ่งขึ้นมาจากดินแดนด้านใต้ ต้องมีมากกว่านั้น

“ข้าอยากรู้นักว่าใครจากดินแดนด้านใต้ กำลังจะไปยังอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ…” เมิ่งฮ่าวอยากรู้อยากเห็น รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะมีโอกาสได้พบกับสหายเก่าบางคน ในตอนนี้เองที่เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวไม่อาจจะรับรู้ได้ ผูคนที่กำลังเคลื่อนย้ายทางไกลเหล่านี้ มาจากอาณาเขตที่มากกว่าเพียงแค่ดินแดนด้านใต้และดินแดนสีดำ ในดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่ ก็มองเห็นลำแสงด้วยเช่นกัน กำลังพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า

สามลำแสงมาจาก…ตระกูลฟาง!

ในลำแสงที่กำลังพุ่งขึ้นมาจากตระกูลฟาง เป็นสองบุรุษและหนึ่งหญิงสาว หญิงสาวนางนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็น คนที่ประทับอยู่ในความทรงจำอย่างลึกล้ำของเมิ่งฮ่าว เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง, เอาแต่ใจ…ฟางอวี๋!

ในคฤหาสถ์เซียนตระกูลจี้ เด็กหนุ่มภาพลวงตายืนอยู่ด้านบนสุดของวิหารหลัก มองลงไปยังกลุ่มบุคคลทั้งเก้า ห้าบุรุษสี่สตรี ทั้งหมดมีสีหน้าเคารพเทิดทูนอย่างลึกล้ำ ตอนนี้วิญญาณอสูรเริ่มส่องแสงระยิบระยับอยู่รอบๆ ร่างพวกมัน พลังแห่งการเคลื่อนย้ายทางไกลส่งเสียงดังกระหึ่ม แต่ด้วยสายตาของเด็กหนุ่มภาพลวงตา ทำให้พวกมันไม่อาจจะเคลื่อนที่ขึ้นไปได้ชั่วคราว

“อาณาจักรเซียนอสูรโบราณ จะเปิดออกทุกๆ หนึ่งพันปี” มันกล่าว “เนื่องจากทะเลม่วงแห่งทะเลทรายตะวันตก จึงทำให้มีแต่ผู้ฝึกตนจากดินแดนในดาวหนานเทียนนี้เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ บุคคลอื่นๆ จากดาวอีกสามดวงไม่อาจเข้าร่วมได้ การเปิดออกของอาณาจักรโบราณนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าการดิ้นรนเพื่อเป็นเซียนมานับพันปีได้เริ่มขึ้นแล้ว”

“จากกฎแห่งจิ่วซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเล) บนดาวแต่ละดวง ทุกๆ หนึ่งพันปี มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะบรรลุขั้นเซียนอมตะ!”

“เมื่อการดิ้นรนเพื่อเป็นเซียนได้เริ่มขึ้น แท่นผนึกเซียนก็จะค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ มันจะสะกดข่มผู้เชี่ยวชาญค้นหาเต๋าต่างๆ ด้วยตัวมันเองในทันที ด้วยการใช้เส้นใยแห่งความตายเพื่อป้องกันพวกมัน ไม่ให้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อเส้นทางแห่งการเป็นเซียน แน่นอนว่ามักจะมีมัจฉาที่รอดผ่านร่างแหไป บุคคลเหล่านั้นต้องเสี่ยงชีวิตต่อสู้เพื่อเป้าหมายของพวกมัน”

“ถึงแม้ว่าเส้นทางแห่งการเป็นเซียนจะเกิดขึ้นที่เบื้องหน้า แต่พวกเจ้าทั้งหมดก็ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ผู้ฝึกตนในรุ่นเดียวกันกับพวกเจ้า แต่จะมีกลุ่มคนจากรุ่นเก่าๆ ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ และค้นหาเต๋ารวมอยู่ด้วย พวกมันทั้งหมดต่างก็ปรารถนาจะเหยียบย่างไปบนเส้นทางแห่งการเป็นเซียน ในช่วงหนึ่งพันปีนี้”

“หนึ่งพันปีที่กำลังมาถึงนี้จะน่าสนใจเป็นอย่างมาก ผู้คนมากมายจะต่อสู้กัน ทั้งหมดจะล้มเหลวยกเว้นเพียงแค่คนเดียว คนเดียวเท่านั้นที่จะบรรลุขั้นเซียนอมตะ!”

“ใครที่ได้รับโชควาสนาในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ จะก้าวล้ำนำหน้าไปกว่าคนอื่นๆ บนวิถีแห่งเซียน ข้าหวังว่าในช่วงหนึ่งพันปีนี้ บุคคลที่จะบรรลุขั้นเซียนอมตะจะมาจากตระกูลจี้!” ด้วยเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็โบกสะบัดมือ ร่างของคนทั้งเก้าก็สั่นสะท้าน ขณะที่พลังแห่งการเคลื่อนย้ายทางไกลระเบิดออก และพวกมันก็พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า

กลุ่มคนทั้งหมดของตระกูลจี้เหล่านี้ ที่กำลังเดินทางไปยังอาณาจักรเซียนอสูรโบราณเป็นผู้ถูกเลือก แต่ก็ไม่ใช่สมาชิกของตระกูลเหมือนกับคนที่เมิ่งฮ่าวได้สังหารไปเมื่อปีนั้น ซึ่งเป็นแค่สมาชิกลำดับขั้น คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นผู้ถูกเลือกที่แท้จริง

และสามารถมองเห็นลำแสงการเคลื่อนย้ายทางไกล อยู่ที่ด้านบนของทะเลทรายทางเหนือด้วยเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่า การเปิดออกของอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ทะเลทรายตะวันตกเท่านั้น เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมากกับดินแดนทั้งหมดในดาวหนานเทียน เป็นการชุมนุมใหญ่ของผู้ถูกเลือกจากดินแดนด้านใต้, ทะเลทรายตะวันตก, ดินแดนตะวันออก ไปจนถึงทะเลทรายทางเหนือ

นี่คือการบ่งชี้ว่าในตอนนี้ เส้นทางแห่งเซียนได้เปิดออกแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!