ตอนที่ 566
สวี่ชิง, ก็อยู่ที่นี่
เมิ่งฮ่าวไม่ใช่มือใหม่ ในโลกแห่งการฝึกตนอีกต่อไป ตอนนี้เขามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เกี่ยวกับเต้าจื่อ (บุตรแห่งเต๋า) และผู้ถูกเลือกแห่งสำนักและตระกูลต่างๆ ถึงแม้ว่าความเข้าใจของเขาอาจจะไม่ถูกต้องเท่าใดนัก ในแง่ของรายละเอียด แต่ตอนนี้โดยทั่วไปแล้วเขาก็มีความเข้าใจว่า เต้าจื่อคืออะไร และผู้ถูกเลือกคืออะไร
อันที่จริง ‘เต้าจื่อ’ และ ‘ผู้ถูกเลือก’ เป็นเพียงแค่ชื่อตำแหน่งเท่านั้น เป็นการแสดงถึงความยอมรับและศักดิ์ฐานะ การยอมรับเช่นนั้นก็คือความสามารถของคนผู้นั้นที่จะรักษาความแข็งแกร่งของมันไว้ในสำนัก และเป็นการพิสูจน์ให้โลกภายนอกได้รับรู้เช่นกันว่า มันก็คืออนาคตที่ดีของสำนัก
ถ้าสำนักใดมีผู้ถูกเลือกมาก ก็อาจจะทำนายได้ว่า สำนักนั้นอาจจะเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วในวันข้างหน้า
สำหรับเต้าจื่อ นี่เป็นชื่อตำแหน่งที่มอบให้กับผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในแต่ละขั้นของการฝึกตนภายในสำนักหรือตระกูล พวกมันจะเป็นตัวแทนของสำนักหรือตระกูล เมื่อต้องจัดการกับภารกิจส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านนอก
ทุกๆ สำนักหรือตระกูล จะมีเต้าจื่อแค่สามคน ไม่มากไปกว่านั้น ซึ่งก็คือ เต้าจื่อพื้นฐานลมปราณ, เต้าจื่อสร้างแกนลมปราณ และเต้าจื่อวิญญาณแรกก่อตั้ง
ในแต่ละขั้นจะมีเต้าจื่อเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และเนื่องจากศักดิ์ฐานะที่พิเศษของพวกมัน ทางสำนักและตระกูลจึงมักจะส่งผู้พิทักษ์เต๋าอันแข็งแกร่งติดตามไปด้วย เมื่อพวกมันออกไปผจญภัยที่ด้านนอกในโลกภายนอก เต้าจื่อจะมีชื่อเสียงเป็นที่ประทับใจอย่างน่าเหลือเชื่อ ด้วยศักดิ์ฐานะเช่นนั้นจึงทำให้ผู้ฝึกตนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกอิจฉาอยู่ตลอดเวลา
แต่เมื่อเต้าจื่อเข้าไปสู่ขั้นใหม่ ก็หมายความว่าจะมีเต้าจื่อเกิดขึ้นสองคน ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างโหดร้ายขึ้น กล่าวกันโดยทั่วไป นอกจากเต้าจื่อในขั้นเดิมจะยกตำแหน่งของมันให้ ก็คงเป็นเรื่องยากที่ผู้มาใหม่จะรักษาศักดิ์ฐานะของมันไว้ได้ เนื่องจากความเป็นจริงนี้ เต้าจื่อจึงมีความเย่อหยิ่งและอวดดี เมื่อไปอยู่ในโลกภายนอก แต่ภายในสำนักหรือตระกูล พวกมันก็ต้องปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวัง ราวกับว่ากำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
ถ้าเต้าจื่อต้องการจะรักษาศักดิ์ฐานะไว้ พวกมันก็จะถูกบังคับให้ต้องหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของผู้ฝึกตนอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา พวกมันอาจจะต้องพึ่งพาพลังและอิทธิพลอำนาจของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ภายในสำนักเพื่อปรับปรุงพื้นฐานฝึกตน และกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือหนทางเดียวที่จะรักษาตำแหน่งให้อยู่เหนือคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกับพวกมันได้ และบางทีอาจจะต้องเหนือกว่ารุ่นก่อนๆ อีกด้วย
สำหรับผู้ถูกเลือก การแข่งขันก็ยิ่งมีความโหดร้ายมากขึ้น ศักดิ์ฐานะอันยิ่งใหญ่ของพวกมัน เมื่ออยู่ในโลกภายนอก เป็นที่สองรองจากเต้าจื่อเท่านั้น และพวกมันจะได้รับทรัพยากรที่มากกว่าและดีกว่าจากสำนักหรือตระกูล ในเวลาเดียวกัน พวกมันก็ต้องจัดการกับการถูกปล้นตำแหน่ง อันเนื่องมาจากการตกลงไปอยู่ในอันดับล่าง หรือฝึกตนได้ไม่ก้าวหน้าเร็วพอ ดังนั้น พวกมันจึงต้องแข่งขันกับคนอื่นๆ ในขั้นเดียวกันเพื่อทรัพยากรต่างๆ
เนื่องจากทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้ถูกเลือกก็พบว่า กำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งอันเปราะบางเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขยันให้มากที่สุด เพื่อให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น
เป็นธรรมดาที่ทุกสำนักและตระกูลจะมีกฎที่แตกต่างกัน แต่ในสถานการณ์โดยทั่วไปก็มักจะมีการแข่งขันกัน แน่นอนว่าการสังหารเป็นเรื่องต้องห้ามที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
แน่นอนว่าหวังลี่ไห่เป็นเต้าจื่อของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งดินแดนด้านใต้, ตระกูลหวัง มันเป็นคนที่มีความอดทนเป็นอย่างมาก และไม่ได้แสดงพลังฝึกตนอย่างออกหน้าออกตา ในตอนที่ข่าวการตายของมันแพร่กระจายไปทั่วในดินแดนด้านใต้ มันเป็นเต้าจื่อพื้นฐานลมปราณแห่งตระกูลหวัง เมื่อบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณ จริงๆ แล้วมันก็สูญเสียศักดิ์ฐานะนี้ไป แต่หลังจากที่เฝ้ารอมาอย่างอดทนอยู่หลายปี ก็ทำให้มันกลับคืนตำแหน่งได้ในทันที ด้วยการเอาชนะเต้าจื่อวิญญาณแรกก่อตั้งแห่งตระกูลหวัง แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียว เมื่อมันได้ตำแหน่งเต้าจื่อกลับคืนมา ก็ทำให้เกิดเป็นความเกรียวกราวไปทั่วในดินแดนด้านใต้
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวถือแผ่นหยกอยู่ในมือ เมื่อเขาตัดสินใจที่จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ เขาก็ได้หยิบเอาแผ่นหยกออกมา เพื่อบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นนี้ มองไปยังหวังลี่ไห่ และคิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่ด้านนอกน้ำพุเต๋าโบราณ เมื่อเขาได้ท้าทายต่อสู้กับเต้าจื่อตระกูลหวังผู้นี้ จริงๆ แล้วเขาก็ดูเหมือนกับในตอนนั้นมาก ยกเว้นว่าเมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายในตอนนี้ก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปที่มัน จิตใจหวังลี่ไห่ก็สั่นสะท้าน รู้สึกกระวนกระวายใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจตจำนงอันแข็งแกร่งดังเหล็กกล้าของมัน มันก็คงจะสูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว
ม่านตามันหดเล็กลง ขณะที่จ้องมายังเมิ่งฮ่าว จิตใจไม่รู้สึกถึงอะไรนอกจากความเยือกเย็น ตอนนี้มันจดจำได้แล้วว่าเมิ่งฮ่าวเป็นใคร และมันก็คิดย้อนกลับไปยังการต่อสู้ของคนทั้งสองเมื่อหลายปีก่อนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่มันต้องพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
สามครั้งในชีวิตของมันที่ต้องพ่ายแพ้ นั่นก็คือครั้งแรก ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มันต้องหมั่นฝึกฝนพลังฝึกตนมานานหลายปี ก่อนหน้านี้ มันได้มองว่าตัวเองเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเพียงพอ ที่จะกวาดล้างใครก็ตามที่อยู่ในขั้นเดียวกันไปได้ มันคิดว่ามันก็คือสุดยอดผู้อยู่เหนือเต้าจื่อทั้งหลายในดินแดนด้านใต้ เป็นบุคคลอันดับหนึ่ง
แต่ตอนนี้เมื่อมันได้เห็นเมิ่งฮ่าว และรับรู้ถึงพลังแห่งพื้นฐานฝึกตนของเขา จิตใจหวังลี่ไห่ก็เริ่มหมุนคว้าง
ความหยิ่งทรนงของมันสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับว่าความเชื่อมั่นในตัวเองของมันกำลังถูกบดขยี้ มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว
“ไม่พบกันหลายปี พี่เมิ่งก็ยังคงดูสง่างามเหมือนเช่นเคย”
ที่ด้านข้าง ถึงแม้หานเป้ยจะเรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง แต่ก็ยังคงต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง ภาพในอดีตที่ได้พบกับเมิ่งฮ่าวลอยไปมาในจิตใจ การพบกันครั้งแรกของคนทั้งสอง การชุมนุมในตระกูลซ่ง ตอนที่ใบหน้าของทั้งสองแทบจะแนบชิดกัน ยังมีสิ่งอื่นๆ อีก ทั้งหมดนี้ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่นางจะยังคงสงบเยือกเย็นได้โดยสิ้นเชิง
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น ชุดยาวสีเขียวพริ้วเป็นระลอกคลื่นคล้ายสายน้ำ สีหน้าราบเรียบขณะที่มองไปยังหวังลี่ไห่ และจากนั้นก็พยักหน้า
“เมื่อพวกเราเป็นสหายเก่ากัน ข้าก็จะยอมให้พวกท่านจากไป” เขากล่าวเสียงเยือกเย็น
หานเป้ยสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ นางประสานมือ โค้งตัวลง จากนั้นก็มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความลึกซึ้งในแววตา มีสีหน้าที่ฉลาดหลักแหลม และดวงตาก็สาดประกายด้วยความงดงาม
“พี่เมิ่ง พวกเราเพิ่งจะพบกัน ท่านก็จะขับไล่พวกเราไปแล้ว?” นางเอามือไปปิดปากขณะที่หัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านไม่ต้องการจะพูดคุยเรื่องราวเก่าๆ กับเสี่ยวเม่ย? (น้องสาว) ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะจากไป” โดยไม่สนใจจ้าวฟางและหวังลี่ไห่ นางหันหลังและบินขึ้นไปในอากาศราวกับเป็นนกนางแอ่นที่งดงาม
“พี่เมิ่ง ข่าวคราวที่สหายเต๋าชนเผ่าจ้าว ผู้ค้นพบที่ตั้งของซากศพนี้ ได้กระจายออกไปไกลเป็นวงกว้างไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้พวกเราทั้งสองจะจากไป ก็ยากที่จะบอกได้ว่า จะไม่มีคนอื่นมาอีก” สุ้มเสียงอันอ่อนโยนของนาง ดูเหมือนจะบ่งชี้ให้รู้ว่า นางได้ฟื้นคืนจากความตื่นตระหนกในก่อนหน้านี้มาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นางเริ่มบินออกไปยังที่ห่างไกล นางก็เพิ่มความคิดเห็นขึ้นมาอีก
“ยังมีอีกเรื่อง, พี่เมิ่ง” นางกล่าว ด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “เสี่ยวเม่ยมีข้อมูลบางอย่างที่จะมอบให้แก่ท่าน ข้าไม่มั่นใจว่าในดินแดนด้านใต้ยังมีใครอีก มายังสถานที่แห่งนี้ แต่ยังมีอีกคนที่มาพร้อมกับข้า นั่นก็คือ…สวี่ชิง” พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ นางหายลับตาไปยังที่ห่างไกล
เมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะแปลกใจ แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมา มองกลับไปยังหวังลี่ไห่
หวังลี่ไห่จ้องมองกลับมายังเมิ่งฮ่าว ขณะที่สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน ดวงตาหวังลี่ไห่ทันใดนั้นก็สาดประกายด้วยความต้องการต่อสู้
มันก้าวเท้าตรงมาข้างหน้า พลังลมปราณระเบิดออก มองไปยังเมิ่งฮ่าว ประสานมือและโค้งตัวลง “พี่เมิ่ง จากคำพูดของท่าน เป็นธรรมดาที่ข้าจะยกเลิกการอ้างสิทธิ์ในสถานที่แห่งนี้ แต่วงจรหกสิบปีได้ผ่านไปหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเราต่อสู้กันเมื่อปีนั้น เมื่อพวกเราบังเอิญมาพบกันอีกครั้งในที่แห่งนี้ พี่เมิ่ง หวังว่าท่านจะช่วยให้คำแนะนำแก่ข้าได้บ้าง!” ด้วยเช่นนั้น พลังลมปราณของมันก็พุ่งขึ้นไปด้วยความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เวลามีจำกัด และเขาก็มีเวลาเหลืออยู่ไม่มากนัก แทบจะในเวลาเดียวกับที่หวังลี่ไห่แสดงท่าทางออกมา เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และก้าวเดินตรงไป แรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อของขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้ง ทันใดนั้นก็กดทับลงไปบนร่างหวังลี่ไห่
ตูม!
หวังลี่ไห่กระเด็นไปด้านหลังเจ็ดถึงแปดก้าวในทันที สีหน้าซีดขาว ด้วยการมองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย มันหันหลังและจากไป
เมิ่งฮ่าวมองหวังลี่ไห่จากไป บุรุษที่ค่อนข้างจะสร้างความประทับใจให้กับเขา ก็คือเต้าจื่อตระกูลหวังผู้นี้“วิญญาณดวงแรกของข้า ทำให้ข้าอยู่เหนือทุกคนที่อยู่ในขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้ง” เมิ่งฮ่าวพึมพำอย่างครุ่นคิด “สีหน้ามันซีดขาว แต่ก็ไม่มีโลหิต ดูเหมือนว่าพลังการต่อสู้ของหวังลี่ไห่จริงๆ แล้วก็เทียบเท่ากับคนที่อยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่” ในที่สุดเขาก็หันมามองยังจ้าวฟาง
จ้าวฟางเริ่มรู้สึกกังวลใจในทันที มันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวมีความน่ากลัวเช่นไร นอกจากนี้ การที่เขาสามารถต่อสู้กับปรมาจารย์ฮูเหยียนด้วยตัวเองได้ เขาก็เหมือนกับเป็นพยัคฆ์ที่ขับไล่สุนัขป่าไป และตอนนี้กำลังจะมากินเนื้อมนุษย์?
จ้าวฟางถอยหลังไปสองสามก้าว เริ่มกล่าวขึ้น เลือกคำพูดด้วยความระมัดระวัง “เมิ่งเฉียนเป้ย (ผู้อาวุโสเมิ่ง) ขอบคุณมากสำหรับความเมตตาในครั้งนี้ หว่านเป้ย (ผู้เยาว์) จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านปรมาจารย์รับรู้ ถึงความสง่างามของท่านต่อไปอย่างแน่นอน” แน่นอนว่ามันไม่กล้าที่จะเรียกเมิ่งฮ่าวว่า ‘พี่เมิ่ง’ แต่เลือกที่จะพูดด้วยความเคารพมากกว่านั้น
เมิ่งฮ่าวเข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ ในเบื้องหลังคำพูดของจ้าวฟาง แต่เมื่อคิดว่าเขาได้ละทิ้งศิษย์สายในที่ฟางอวี๋มอบให้มา ก็แน่นอนว่าเขาต้องไม่สนใจในซากศพนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีศักดิ์ฐานะที่ค่อนข้างสูงกว่า “ข้าให้สัญญากับปรมาจารย์อวิ๋นเทียนว่า จะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้ ดูเหมือนว่าข้าได้ทำงานนี้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัย ถ้าเจ้าเลือกจะอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ต้องเตรียมตัวที่จะปกป้องชีวิตของตนเอง”
จ้าวฟางลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ยืนยันอย่างหนักแน่น “ขอบคุณมากสำหรับความหวังดีของเฉียนเป้ย สำหรับเรื่องนี้หว่านเป้ยรู้ข้อจำกัดของตัวเองดี และท่านปรมาจารย์ก็ยังช่วยจัดเตรียมวิธีการที่พิเศษบางอย่างไว้…”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังจ้าวฟางชั่วขณะ ทำให้จ้าวฟางรู้สึกกังวลใจมากขึ้นกว่าเดิม
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็พยักหน้า “ข้าไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้ ถ้าเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น ก็ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด” ด้วยเช่นนั้น เขาก็เก็บแผ่นหยกไว้ ในนั้นถูกบันทึกด้วยข้อมูลทุกอย่างที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ซึ่งเขาจะนำไปเป็นหลักฐาน เพื่อยืนยันกับปรมาจารย์อวิ๋นเทียนในภายหลัง
ด้วยการไม่สนใจจ้าวฟางอีกต่อไป เมิ่งฮ่าวหันหลังและเดินทางจากไป
เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าวจากไปจริงๆ จ้าวฟางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา มันมองไปรอบๆ บริเวณนั้นด้วยความระมัดระวัง และลังเลใจอยู่เล็กน้อย ในที่สุดก็ขบฟันแน่น ตั้งใจที่จะไม่จากไป มันจะยืนหยัดในแผนการเดิม เพื่อแอบซ่อนตัวอยู่ใกล้กับซากศพ และรอคอยให้เวลาผ่านไปด้วยความกระวนกระวายใจ
เมิ่งฮ่าวมุ่งหน้าต่อไปยังยอดเขาลูกที่สี่โดยไม่หยุดชะงัก คำพูดของหานเป้ยดังก้องอยู่ในจิตใจอย่างต่อเนื่อง แสงอันอบอุ่นฉับพลันนั้นก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
“สวี่ชิงมายังที่แห่งนี้ด้วยจริงๆ…?” เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ยังสำนักเซียนอสูรอย่างครุ่นคิด และจากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้น
ไม่กี่ชั่วยามหลังจากนั้น วันที่สามก็เกือบจะผ่านไป ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่เพียงแค่สองชั่วยามเท่านั้น ก่อนที่อาณาจักรแห่งแรกจะปิดตัวลง ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวมาถึงเชิงเขาลูกที่สี่
เขามองตรงขึ้นไปยังภูเขาที่สูงชันเบื้องหน้า มันมีขนาดใหญ่มากจนไม่อาจจะมองเห็นส่วนบนสุดได้ คล้ายกับเขาเป็นแค่แมลงตัวเล็กๆ ไร้ความสำคัญใดๆ แต่แสงอันเจิดจ้าก็สาดประกายอยู่ในดวงตา สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจากนั้นก็เริ่มพุ่งขึ้นไปบนภูเขา
สถานที่ส่วนใหญ่ภายในอาณาจักรแห่งแรก ของอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ ประกอบไปด้วยเวทป้องกัน แค่แตะสัมผัสไปโดนเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้เกิดเป็นอันตรายอันร้ายแรงได้ ขณะที่พุ่งขึ้นไป เมิ่งฮ่าวก็ต้องเผชิญหน้ากับอาณาเขตเช่นนั้นมากมายหลายแห่ง บังคับให้เขาต้องใช้เส้นทางที่คดเคี้ยว มากกว่าหนึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดก็มองเห็นยอดเขา
“ข้ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกครึ่งชั่วยาม…” เมิ่งฮ่าวกล่าว ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนหน้าผา ที่ยื่นออกมาจากด้านข้างของภูเขา มองขึ้นไปยังยอดเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย เวลาเกือบจะหมดลงแล้ว และตอนนี้ก็ไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจในครั้งนี้จะถูกต้องหรือไม่
ถ้าเลือกผิด ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะล้มเหลว ก่อนที่จะออกมาจากสถานที่เก็บซากศพของฉือหลง เมิ่งฮ่าวได้พยายามที่จะนำซากศพมาด้วย แต่ก็พบว่าซากศพนั้นติดแน่นอย่างถาวรอยู่ในที่แห่งนั้น เขาไม่อาจจะขยับเคลื่อนไหวมันได้แม้แต่น้อย
“สิ่งที่เป็นของข้า ก็จะเป็นของข้าอยู่ดี ข้าจะไม่รับสิ่งของจากผู้อื่น แม้มันจะอ้อนวอนขอร้องก็ตามที อย่างน้อยที่สุด ข้าก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ” เมิ่งฮ่าวส่งเสียงหัวเราะอย่างสบายๆ ออกมา จากนั้นก็หยุดคิดกังวลเรื่องได้รับหรือสูญเสีย เขาใช้ครึ่งชั่วยามสุดท้าย มุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาต่อไป ขณะที่เคลื่อนที่ ก็มองไปยังซากปรักหักพังที่อยู่รอบๆ รับรู้ได้ถึงอดีตอันยิ่งใหญ่ของสำนักเซียนอสูร
เพราะว่าเขาไม่ได้คิดถึงการได้รับหรือต้องสูญเสีย จึงไม่ได้รู้สึกกังวลใจอีกต่อไป ใช้เวลาอย่างไม่รีบร้อน เมื่อไปถึงยอดเขาลูกที่สี่ ก็มีเวลาเหลืออยู่เพียงแค่หนึ่งร้อยลมหายใจเท่านั้น!