Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 588

ตอนที่ 588

ชีวิตนี้ก็ดี

เคออวิ๋นไห่เดินนำหน้า เมิ่งฮ่าวเดินตามไป คนทั้งสองออกไปจากหุบเขา และมุ่งหน้าเข้าไปในความว่างเปล่า

เมิ่งฮ่าวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่เล็กน้อย จากบุคลิกส่วนตัวและความมุ่งมั่นของเขา มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ นอกจากนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนี้ก็เป็นแค่ภาพลวงตา ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงเคออวิ๋นไห่ ดังนั้น จึงไม่ควรมีอะไรที่ต้องรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง เขากลัวที่จะต้องสูญเสียตัวตนนี้ไป อาจจะกล่าวได้ว่า จุดประสงค์เดิมของเขาก็คือการได้รับโชควาสนา และตอนนี้เขาก็ได้มันมาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้

แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้จางหายไป เมิ่งฮ่าวกลัวว่าจะตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้ เขากลัวว่าหลังจากที่เคออวิ๋นไห่พบว่า เขาไม่ใช่เคอจิ่วซือ มันก็จะไม่มองเขาด้วยท่าทางรักใคร่เอาใจใส่เช่นนั้นอีกต่อไป

ในหนึ่งอึดใจนั้น ข้าสามารถเรียกท่านว่าฟู่ชิน (บิดา) ชั่วอึดใจต่อมา ข้าไม่อาจแม้แต่จะอ้าปากพูด

นี่เป็นความรู้สึกที่ทำให้เมิ่งฮ่าวเกิดความไม่สบายใจเช่นนั้น

เขากลัวที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่ได้รับมา

ความรักของบิดา ในความทรงจำของเมิ่งฮ่าว ภาพของบิดาได้พร่าเลือนไปนานแล้ว ช่วงที่ใช้เวลาอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตานี้ ทำให้จิตใจต้องฟุ้งซ่านจนถึงจุดที่ลืมไปว่าเขาไม่ใช่เคอจิ่วซือ

“เตีย…” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา จิตใจเต็มไปด้วยความขมขื่น ขณะที่มองเห็นเคออวิ๋นไห่มุ่งหน้าตรงไป ไกลจากเขาออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ

เคออวิ๋นไห่หยุดลง และหันหลังกลับมา ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และมีสีหน้ารักใคร่เอ็นดูเหมือนเดิม ลูบศีรษะเมิ่งฮ่าวอย่างอ่อนโยนกล่าวว่า

“อย่าได้คิดฟุ้งซ่านไป”

เมิ่งฮ่าวจ้องมองกลับไปด้วยความงุนงง รู้สึกชุ่มชื้นขึ้นที่ดวงตา และตอนนี้ ก็ไม่ต้องการจะคิดว่าเคออวิ๋นไห่จะรู้ความจริงทั้งหมดหรือไม่ เขาไม่ต้องการจะขบคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาต้องการจะครุ่นคิด

ถ้าโชคชะตามีอยู่จริง ซึ่งทำให้พวกเรากลายมาเป็นบิดาและบุตรอยู่ในที่แห่งนี้ ถ้าเช่นนั้น…ข้าก็จะเป็นบุตรของท่านจริงๆ

ถ้าโลกแห่งภาพลวงตานี้ สามารถถือได้ว่าเป็นชาติก่อนของข้า ถ้าเช่นนั้น…ท่านก็คือบิดาของข้าในชาติก่อนนี้

ถ้าถึงคราวที่ต้องจากโลกแห่งภาพลวงตาอันโบราณนี้ ถึงคราวที่ไม่มีท่านเป็นบิดาข้าอีกต่อไป ถึงคราวที่ข้าไม่ใช่บุตรของท่านอีกแล้ว ถ้าเช่นนั้น…ก็ปล่อยให้ความรู้สึกที่พวกเรามีระหว่างบิดาและบุตร ซึ่งคงอยู่ในภาพลวงตานี้…เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจจะลืมไปได้

ท่านผู้เฒ่า, ท่านก็คือบิดาของข้า

ข้า, ก็คือบุตรชายของท่าน

เมิ่งฮ่าวพยักหน้า

พร้อมรอยยิ้ม เคออวิ๋นไห่โอบไหล่เมิ่งฮ่าวไว้ จากนั้นคนทั้งสองก็แวบขึ้น หายตัวไปจากชั้นเก้าสิบเก้า และไปปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของเจดีย์เซียนอสูร

ทันทีที่พวกเขาปรากฏกายขึ้น ก็กลายเป็นจุดสนใจของศิษย์สำนักเซียนอสูรทั้งหมด สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา, ความไม่พอใจอยู่ลึกๆ ด้านใน และการที่ไม่อาจจะทำอะไรได้

ทันทีที่เคออวิ๋นไห่และเมิ่งฮ่าว ออกมาจากเจดีย์เซียนอสูร มันก็เริ่มหดตัวลง ในที่สุดก็กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในรอยแยกของท้องฟ้า ขณะที่เป็นเช่นนั้น รอยแยกก็เริ่มซ่อมแซมตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา ก็ไม่มีรอยแยกหลงเหลืออยู่อีกเลย

มีเพียงแต่…

ขั้นบันไดที่โปร่งแสง ยากจะบอกได้ว่ามันปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ก็ยืดยาวลงมาจากสวรรค์จนถึงพื้นดิน ลอยอยู่เหนือหลุมยักษ์ที่อยู่ระหว่างยอดเขาสามและสี่ แห่งสำนักเซียนอสูร

ไม่มีแสงกระจายออกมาจากขั้นบันได แต่ดูเหมือนจะหมุนวนอยู่ภายใน บันไดนี้พุ่งขึ้นไปในสวรรค์ ถ้ามองดูให้ละเอียด ก็จะมองเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านบนอย่างเลือนลาง

เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นขั้นบันได ก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง แต่ก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่า ผู้ฝึกตนสำนักเซียนอสูรคนอื่นๆ ดูเหมือนจะเฉยเมยต่อการปรากฏขึ้นของบันไดนี้โดยสิ้นเชิง แทบจะเหมือนว่า…พวกมันมองไม่เห็นบันไดนี้!

แต่ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังฝูงชน ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นจี้เซี่ยวเซี่ยว จากสีหน้าของนาง เขาก็เดาได้ว่านางต้องมองเห็นบันไดนี้

“ใช่หรือไม่ว่า มีแต่คนภายนอกเท่านั้นที่มองเห็นมันได้?” เขาคิด

ในตอนนี้ที่เมิ่งฮ่าวปรากฏกายขึ้น ผู้ฝึกตนจากดาวหนานเทียน ก็แอบซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน ที่เป็นศิษย์สำนักเซียนอสูรคนอื่นๆ

พวกมันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหลบซ่อนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงเมิ่งฮ่าว ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกมันจะรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่านี่จะเป็นภาพลวงตาในสมัยโบราณ แต่เมื่อคิดว่าเมิ่งฮ่าวมีตัวตนเป็นเคอจิ่วซือ ถ้าพวกมันไปต่อสู้กับเขา ก็คงจะต้องพ่ายแพ้ ต่อให้พวกมันมีถึงร้อยชีวิตก็ตามที

พวกมันได้แต่ต้องหลีกเลี่ยงเขาด้วยความระวังตัวอย่างสูงสุด ถ้าพวกมันเปิดเผยตัวตนออกมา ก็จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายอันร้ายแรง ในทางกลับกัน แน่นอนว่าเมิ่งฮ่าวไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนไว้แต่อย่างใด

นั่นเป็นเพราะว่า…ด้วยตัวตนของพวกมัน ไม่มีผู้ฝึกตนแห่งดาวหนานเทียนคนใด ที่จะไปมีผลคุกคามเมิ่งฮ่าวได้แม้แต่น้อย

ถึงแม้พวกมันทั้งหมดจะปกปิดตัวตนไว้ แต่ก็ยังคงมองเห็นขั้นบันได ที่ยืดยาวขึ้นไปในท้องฟ้าเหนือยอดเขาได้ ทำให้จิตใจพวกมันสั่นสะท้าน

“นั่นคือ…” บุรุษหนุ่มจากตระกูลสายโลหิตจักรพรรดิ แห่งดินแดนทางเหนือก้มศีรษะลง และหดตัวไปด้านหลังอีกครั้ง แต่ตอนนี้มันกำลังหอบหายใจออกมา และดวงตาก็สาดประกายด้วยแสงเจิดจ้า

“ใช่หรือไม่ว่าคือ…?” ม่านตาฟางอวี๋หดเล็กลง หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ดวงตานางก็เบิกกว้าง

“สิ่งสำคัญที่ใช้เปิดอาณาจักรที่สาม!” จื่อเซียงคิด ยืนห่างออกไปไกล สูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง กำมือเป็นหมัดจนแน่น และดวงตาก็สาดประกายด้วยความตื่นเต้น

แม้แต่ปรมาจารย์ฮูเหยียนที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ เมื่อก่อนหน้านี้ ก็ยังต้องรู้สึกตื่นเต้นมากเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน

ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดในสิ่งที่แตกต่างกัน เคออวิ๋นไห่ก็นำเมิ่งฮ่าวจากไป ระลอกคลื่นจากเจดีย์เซียนอสูรจางหายไป ยังมีคนอื่นๆ ที่ได้ครอบครองเวทแห่งเต๋าบ้าง แต่เจดีย์เซียนอสูรก็ถูกเปิดออกเพื่อเมิ่งฮ่าวโดยเฉพาะ และก็เป็นเขาเพียงผู้เดียวเท่านี้น ที่ได้ครอบครองโชคชะตาอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้

เต๋าเดิมแท้เวทอสูรไฟมอดไหม้, ทำลายล้างเก้าชั้นฟ้า, ผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้า และในที่สุดก็เป็นวิชาลับร่างศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้ก็คือวิชาอันน่าตกใจที่เมิ่งฮ่าวได้รับมา

นั่นยังไม่ได้พูดถึงการที่เขามีโอกาสได้ลงโทษปรมาจารย์เอกะเทวะ รวมถึงเรื่องราวอันละเอียดอ่อนอื่นๆ สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว เจดีย์เซียนอสูรไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นโชคชะตาแห่งสวรรค์

เมิ่งฮ่าวกลับไปยังยอดเขาสี่ โดยไม่ได้หยุดลงตลอดเส้นทาง เมื่อเข้าไปในถ้ำแห่งเซียน สวี่ชิงกำลังนั่งเข้าฌาณอยู่ที่นั่น ร่างนางถูกห้อมล้อมด้วยแสงที่หมุนวนไปมา มองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้า เห็นได้ชัดว่านางกำลังจมอยู่ในการรู้แจ้งของเวทแห่งเต๋า

เมิ่งฮ่าวไม่ได้รบกวนนาง แต่นั่งลงขัดสมาธิ เพื่อศึกษาเมล็ดของเวทแห่งเต๋า ซึ่งคงอยู่ภายในร่างของเขา

มีอยู่หนึ่งเมล็ดที่ดูคล้ายกับเป็นเปลวไฟสีแดงเข้ม ซึ่งไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็น เต๋าเดิมแท้เวทอสูรไฟมอดไหม้!

สำหรับทำลายล้างเก้าชั้นฟ้า, ผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้า และเมล็ดสุดท้าย…วิชาลับร่างศักดิ์สิทธิ์ วิชาเหล่านี้คงอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว มองเห็นได้แต่รับรู้ไม่ได้

เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าสามเวทแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่นี้ ต้องมีการเข้าฌาณอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เขาจะสามารถใช้พวกมันได้ โชคดีที่เขายังไม่ลืมพวกมันไป หลังจากที่ต้องออกไปจากโลกแห่งภาพลวงตาในสมัยโบราณนี้

เมื่อครุ่นคิดมาจนถึงจุดนี้ เมิ่งฮ่าวก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น นั่นเป็นเพราะว่านอกจากวิชาเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งวิชาที่เขาได้ครองครอง…เวทกลืนภูเขา!

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวสามารถควบคุมวิชานี้ได้ในเบื้องต้นแล้ว ถึงแม้ว่าเขายังไม่อาจจะใช้มันได้ถึงระดับแรก แต่จากข้อมูลเบื้องต้น ก็เพียงพอที่จะแปลงกายเนื้อของเขา ให้มีร่างที่แข็งแกร่งคล้ายกับเป็นภูเขาที่ด้านนอกได้

นั่นจะทำให้พลังของกายเนื้อเขาแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเป็นหลายเท่า

“ถ้าฝึกฝนมันจนถึงจุดสูงสุด ข้าก็สามารถแยกวิญญาณของภูเขา และจากนั้นก็แปลงเจตจำนงของมัน และทำให้พลังอันมากมายของภูเขาตกลงมาได้!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความพึงพอใจ สามารถกล่าวได้ว่า การเดินทางเข้าไปในเจดีย์เซียนอสูร ได้ผลักดันให้โชคชะตาของเขาพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด

ยังมีวิชาเวทอื่นๆ อีก, เวทป้องกัน และวิธีการอันมากมายต่างๆ ซึ่งเขาได้เก็บรวบรวมไว้ ตอนนี้วิชาทั้งหมดนี้คงอยู่ในจิตใจ แต่ถ้าเขายังไม่อาจจะรู้แจ้งมันได้ เมื่อไหร่ที่ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ วิชาเหล่านั้นก็จะหายไป

เมิ่งฮ่าวพยายามที่จะประทับข้อมูลทั้งหมดลงไปในแผ่นหยก แต่ก็พบว่าไม่อาจจะทำได้ และต้องล้มเลิกไปในที่สุด

“ซานไห่จิง…แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะได้มาครอบครอง” เขาคิด แสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นในดวงตา ขณะที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เลิกสนใจมัน แต่ภายในจิตใจ เขายังคงจำเสียงที่ได้ยินตอนอยู่ในชั้นที่แปดสิบได้

เวลาครึ่งเดือนผ่านไป เมิ่งฮ่าวนั่งเข้าฌาณอยู่ในถ้ำแห่งเซียน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวทแห่งเต๋าเหล่านั้น

สวี่ชิงออกมาจากการเข้าฌาณเป็นบางครั้ง คนทั้งสองเพียงแค่มองตากันไปมา และส่งยิ้มให้กัน พวกเขารู้ว่าเวลาในที่แห่งนี้มีจำกัด จึงจำเป็นต้องใช้ทุกช่วงเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับเวทแห่งเต๋าต่างๆ เวลาสำหรับการพูดคุยจึงมีน้อยมาก

สุดท้ายในตอนเช้าของวันหนึ่ง เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียน ศึกษายอดเขาสี่ ภายในจิตใจ ความรู้แจ้งแห่งเวทกลืนภูเขาได้ประทับอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว ระดับแรกของเวทนี้แทบจะถูกฝึกได้เสร็จสมบูรณ์ ในตอนที่มีใครบางคนเดินทางมา ถึงแม้จะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่เขาก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย

เป็นศิษย์หลักสตรีจากยอดเขาอื่น นางเป็นหญิงสาวที่น่ารัก พร้อมด้วยดวงตาที่สดใสเป็นประกาย เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ขณะที่เข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว นางก็ตกเป็นเป้าสนใจของศิษย์ยอดเขาสี่คนอื่นๆ

สิ่งที่พวกมันมองเห็นก็คือหญิงสาวเยาว์วัย สองแก้มเป็นสีชมพู เห็นได้ชัดว่านางได้รวบรวมความกล้าหาญจนเอาชนะความเอียงอายได้ในที่สุด มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวและกล่าวอย่างเอียงอายว่า “จิ่วซือเกอเกอ (พี่จิ่วซือ) ข้ามีคำถามเกี่ยวกับการฝึกตนอยู่สองสามข้อ หวังว่าท่านจะช่วยข้าได้”

กิริยาท่าทางของนาง, เสียงของนาง และรูปร่างหน้าตาของนาง ได้กลายเป็นเสน่ห์อันน่าตกใจ ใครก็ตามที่มองมายังนาง ก็จะรู้สึกว่าจิตใจพวกมันกำลังเต้นรัวด้วยความกระตือรือร้น มีศิษย์ของยอดเขาสี่อยู่ไม่น้อย ที่กำลังมองมายังนาง และดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็คิดว่านางช่างมหัศจรรย์จนแทบจะเหมือนกับเป็นเทพธิดาจากสวรรค์

ใบหน้านางมีความงดงามเช่นเดียวกับร่างกาย มีผิวพรรณที่ละเอียดอ่อน จนดูเหมือนว่าแม้แต่สายลม ก็อาจจะทำให้ผิวอันละเอียดอ่อนนั้นเสียหายไปได้ มีใบหน้าที่พิสุทธิ์สดใส แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเสน่ห์ตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ทำให้แม้แต่คำว่า ‘งดงามเหนือธรรมดา’ ก็ยังไม่อาจจะใช้มาอธิบายนางได้

เมิ่งฮ่าวจำนางได้ในทันที เมื่อได้ยินนางพูด ขนทั่วร่างเขาก็ลุกตั้งชี้ชันขึ้นมาในทันใด ตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ว่าง”

นางดูบอบบางและมีเสน่ห์ ราวกับว่าแค่ออกแรงผลักเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้นางล้มลงไปได้ นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากำลังรวบรวมความกล้าอยู่ ใครก็ตามที่มองมา คงจะรู้สึกว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ที่ปฏิเสธคำร้องขอจากนาง

เมิ่งฮ่าวกำลังจะทำอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น ก็สังเกตเห็นแววตาอันดุร้ายแวบขึ้นมาในดวงตาของหญิงสาวเยาว์วัยนางนี้ เขากระแอมไอออกมาเบาๆ ลุกขึ้นมายืน และจากนั้นก็เดินนำหน้าไป

หญิงสาวเยาว์วัยนางนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นจื่อเซียง นางก้มหน้าเดินตามเมิ่งฮ่าวไปยังที่ห่างไกล ท่ามกลางเสียงพึมพำด้วยความอิจฉาจากศิษย์ยอดเขาสี่คนอื่นๆ

ขณะที่คนทั้งสองเดินไปด้วยกัน ศิษย์สำนักเซียนอสูรทั้งหมด ที่มองเห็นคนทั้งสอง ก็จ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง จิตใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ

“ศิษย์หญิงสาวได้ตกอยู่ในกำมือมันอีกคนแล้ว!”

“บัดซบ! นี่มันกี่คนแล้ว? เมื่อไหร่จะถึงทีข้าที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้นบ้าง?!”

ในที่สุดคนทั้งสองก็บรรลุถึงบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขาสอง ขณะที่เมิ่งฮ่าวหันไปมองยังจื่อเซียงอย่างหมดความอดทน

“บอกมา ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”

“พูดตามตรง” นางกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา “ท่านเป็นบุรุษ และรู้ดีว่าเป็นหนี้ข้าอยู่ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้มากที่สุดก็คือ ท่านได้พบเห็นอะไรในชั้นที่แปดสิบ จนทำให้เสียงของราชันหลี่ดังออกมา เพื่อประทานเวทแห่งเต๋าให้แก่ท่าน!?” ถึงแม้นางจะกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคำพูดของนางเคร่งเครียดจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ม่านตาเขาก็หดเล็กลง มองไปยังจื่อเซียง ด้วยจิตใจที่เต้นรัว

“นั่นคือ…เสียงของราชันหลี่?” เขาคิด

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!