Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 636

ตอนที่ 636

ถ้าเจ้าจากไป ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา

ท่าเทียบเรือยื่นออกไปในชายหาด และดูเหมือนจะค่อนข้างเรียบง่าย แต่ก็มีบรรยากาศที่คึกคักจอแจ มีศิษย์ที่อยู่ในชุดเครื่องแบบเดียวกัน กำลังเดินตรงไปยังเรือลำนั้นเรือลำนี้อยู่มากมายนับไม่ถ้วน

ศิษย์ทั้งหลายเหล่านี้อายุยังไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นรวบรวมลมปราณ มีศิษย์ขั้นพื้นฐานลมปราณเดินลาดตระเวนผ่านไปมาอยู่เป็นระยะ

พวกมันไม่ได้มีสีหน้าที่เย่อหยิ่ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าลึกๆ ลงไปในจิตใจ พวกมันได้ถือว่าตนเองสูงส่งอยู่เหนือผู้ใด ความรู้สึกนี้ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็สามารถรับรู้ได้ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พวกมันก็ยังปฏิบัติต่อแขกทั้งหลายด้วยความสุภาพเป็นอย่างยิ่ง

ที่ด้านข้างห่างไกลออกไปของท่าเทียบเรือ มีรถม้าเรียงแถวเป็นแนวยาว ม้าที่ลากรถนั้นมีรูปร่างแปลกๆ พวกมันไม่ได้มีสี่ขา แต่เป็นหกขา และยังมีเขางอกออกมาจากศีรษะของมันด้วยเช่นกัน พวกมันดูคล้ายกับม้า แต่ก็ถูกปกคลุมด้วยเส้นยาวๆ ที่คล้ายหนวดด้วยเช่นกัน

นี่ก็คือสัตว์ป่าที่พบเห็นได้ในทะเลเทียนเหอเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งสามารถฝึกให้เชื่องได้อย่างง่ายดาย พวกมันถูกเรียกว่าอาชาสวรรค์

ที่อยู่ห่างออกไปไกล มองเห็นเจดีย์สูงสามหลัง มีประกายแสงไฟอยู่ภายใน ทำให้มองเห็นเจดีย์ทั้งสามได้จากที่ห่างไกลออกไปในทะเล

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังเจดีย์ทั้งสาม ก็สังเกตเห็นว่าที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในเจดีย์แต่ละหลังเป็นผู้ฝึกตน ทั้งหมดเป็นบุรุษวัยกลางคน หนึ่งมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นกลางสร้างแกนลมปราณ คนอื่นๆ อยู่ที่ขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ

เห็นได้ชัดว่า พวกมันอยู่ที่นั่นเพื่อคอยคุ้มกันพื้นที่บริเวณนั้น ป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายใดๆ ขึ้น

ท่าเทียบเรือและชายหาดแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นทางเข้าออกที่มีอยู่ของเกาะศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ถึงแม้ว่าค่อนข้างจะมีกลุ่มคนมากมายอยู่ในที่แห่งนี้ก็ตามที ดังนั้นถึงแม้จะเป็นยามสนธยา แต่ก็ยังคงมีเสียงดังอึกทึกวุ่นวายเต็มอยู่ในอากาศ

ขณะที่กลุ่มของเมิ่งฮ่าวเทียบท่า เขามองเห็นเรืออย่างน้อยก็สิบกว่าลำมาถึง ตรงไปยังตำแหน่งต่างๆ ของท่าเทียบเรือ

ไม่มีใครเข้าไปใกล้เรือเหล่านั้นเพื่อมาคอยต้อนรับ นี่ก็คือเกาะศักดิ์สิทธิ์ และสำนักเซียวเหยาก็เป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงแหวนที่สี่ ถึงแม้คนที่มาจะมีชื่อเสียงไม่เลว แต่พวกมันก็ไม่ส่งศิษย์เพื่อมาต้อนรับตระกูลเล็กๆ จากทะเลชั้นนอก

แน่นอนว่าต้องรวมถึงตระกูลจางด้วยเช่นกัน ตลอดช่วงเวลาที่สำนักเซียวเหยากำลังคัดเลือกศิษย์ใหม่อยู่นี้ ตระกูลมากมายจากทะเลชั้นนอกก็จะมายังที่แห่งนี้ด้วย อันที่จริงตอนนี้ก็มีเรือนับร้อยมาจอดเทียบท่าอยู่ และนี่ก็เป็นแค่ด้านเดียวของเกาะเท่านั้น ถ้านับท่าเทียบเรือที่อยู่บนด้านอื่นๆ ของเกาะ จำนวนเรือก็คงจะเกินกว่าหนึ่งพันลำ

นอกจากจะมีกลุ่มคนที่มาเพื่อเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยาแล้ว ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่มาเพื่อทำการค้า เกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่อันกว้างใหญ่ และเมืองของผู้ฝึกตนก็มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง

อันที่จริง ก็มีวัตถุดิบของผู้ฝึกตนบางอย่าง ที่หาได้จากเกาะศักดิ์สิทธิ์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ลมทะเลพัดโชยผ่านใบหน้า นำกลิ่นฉุนของน้ำเค็มและชีวิตแห่งท้องทะเลมาด้วย เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่ยืนอยู่ที่นั่นบนท่าเทียบเรือ มองไปยังเงาของภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปของเกาะศักดิ์สิทธิ์

สมาชิกตระกูลจาง ภายใต้การนำของจางเหวินฟาง กำลังเตรียมตัวจะขึ้นฝั่ง กลุ่มเด็กๆ มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกทั้งกังวลใจและอยากรู้อยากเห็น ลึกลงไปในดวงตาพวกมัน มองเห็นถึงความคาดหวังอยู่ด้วยเช่นกัน

หนานเอ๋อร์จับมือมารดาไว้แน่น ขณะที่มองไปรอบๆ มีท่าทางตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย

ขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณของตระกูลจาง กำลังเข้าไปจ่ายเงินตามธรรมเนียมปฏิบัติกับศิษย์สำนักเซียวเหยา จางเหวินฟางก็หันหน้ามายังเมิ่งฮ่าวและโค้งตัวลงให้กับเขา นางกล่าวเสียงแผ่วเบาด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ”ผู้อาวุโส, นี่ก็คือเกาะศักดิ์สิทธิ์ ใครก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสร้างแกนลมปราณ ถูกห้ามบินในที่แห่งนี้ ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องเดินทางไปโดยรถม้า…”

เมิ่งฮ่าวพยักหน้า แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมา ไม่นานนักสมาชิกตระกูลจางก็จ่ายเงินกับศิษย์สำนักเซียวเหยาเรียบร้อย จากนั้นก็นำกลุ่มคนทั้งหมดตรงไปยังรถม้าสามคัน

นี่เป็นครั้งแรกของเด็กๆ รวมทั้งหนานเอ๋อร์ ที่ได้เห็นอาชาสวรรค์ พวกมันมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง อยากจะเข้าไปใกล้แต่ก็หวาดกลัวด้วยเช่นกัน นี่ก็เป็นครั้งแรกของเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน ที่ได้เห็นสัตว์ป่าเช่นนี้ จึงต้องมองไปเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้

ในตอนนี้เองที่มีผู้ฝึกตนบางคน เดินออกมาจากดาดฟ้าเรือของเรือลำใหม่ ที่เข้ามาเทียบท่าตรงจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป พวกมันสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส และผู้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้ามีอายุประมาณสามสิบปี มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ธรรมดา พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่ที่ขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่พื้นฐานลมปราณ มีผู้ติดตามสี่ถึงห้าคนเป็นผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ซึ่งเดินนำเด็กๆ เจ็ดถึงแปดคนมาด้วย คนกลุ่มนี้มองมายังเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ ขณะที่พวกมันใกล้เข้ามา

บุรุษวัยสามสิบปีที่อยู่ตำแหน่งผู้นำ ทันใดนั้นก็ส่งเสียงร้องอุทานออกมา มันหยุดนิ่งลง มองไปยังจางเหวินฟาง นางก็มองเห็นมันด้วยเช่นเดียวกัน และสีหน้าก็เปลี่ยนไป

“เหวินฟาง!” บุรุษผู้นั้นกล่าวขึ้นช้าๆ เห็นได้ชัดว่าจดจำนางได้

นางเม้มริมฝีปาก ความรู้สึกอันซับซ้อนปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่นางประสานมือโค้งตัวลงให้กับมัน

“เกอ (พี่ชาย)”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สีหน้าของสมาชิกตระกูลจางที่เหลืออยู่ต่างก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านหลังบุรุษที่มีอายุสามสิบปีนั้น ดูเหมือนพวกมันทุกคนต่างก็คิดในเรื่องเดียวกัน ขณะที่มองไป

บุรุษอายุสามสิบปียืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ สายตาคมกริบราวกับใบมีด เมื่อมันเห็นหนานเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่นกำลังจับมือจางเหวินฟางไว้ มันก็ขมวดคิ้ว

จางเหวินฟางกัดริมฝีปาก ในที่สุดก็ก้มหน้าลง และกล่าวกับบุตรชาย ”หนานเอ๋อร์ นี่ก็คือท่านลุงของเจ้า”

“ท่านลุง สบายดี?” หนานเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงแหลมเล็กดังฟังชัด ใบหน้ามีแววหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

บุรุษวัยสามสิบปีแค่นเสียงเย็นชาออกมา

“เหวินฟาง” มันกล่าวราบเรียบ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สุภาพเป็นอย่างยิ่ง “ท่านพ่อยังคงมีโทสะเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ถ้าเจ้ายังมีจิตใจ ก็ให้กลับบ้านไป ข้าจะช่วยพูดกับท่านพ่อให้ อย่าได้สร้างความอับอายอยู่ที่ด้านนอกเช่นนี้ต่อไป!”

“สำหรับเด็กผู้นี้…อย่าให้มันเรียกข้าว่าท่านลุง เจ้านำมันมาที่นี่เพื่อจะให้มันเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยา? เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปในตอนที่ยังเยาว์วัย ตอนนี้ก็ให้บุตรชายทำเช่นเดียวกัน เจ้าช่างทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวังนัก” กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังมันเริ่มหัวเราะหึๆ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กๆ ที่มองเห็นแววตารังเกียจดูถูกอยู่ภายในดวงตาของพวกมัน

หนานเอ๋อร์ตัวสั่นสะท้าน และมีท่าทางหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม ทันใดนั้นจางเหวินฟางก็จ้องนิ่งไปยังพี่ชาย สูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง กล่าวว่า ”ข้าตัดความสัมพันธ์กับพวกท่านไปแล้วเมื่อปีนั้น”

“สวี่เหวินฟาง!” บุรุษผู้นั้นรองคำรามออกมา ดวงตาเบิกกว้าง

“สวี่เหวินเต๋อ ข้าคือผู้นำตระกูล จางเหวินฟางแห่งตระกูลจาง” นางตอบโต้กลับไปเสียงราบเรียบ ”ท่านไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะมาพูดจากับข้า” ด้วยเช่นนั้น นางก็ฉุดดึงแขนบุตรชายให้เข้าไปในรถม้า

สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลจาง จ้องมองไปยังสมาชิกตระกูลสวี่ด้วยความรู้สึกที่เป็นปรปักษ์ จากนั้นก็เริ่มเข้าไปในรถม้า สำหรับเมิ่งฮ่าว เขามีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา และไม่พูดจาใดๆ อันที่จริง เขาได้ไปนั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าของรถม้าคันหนึ่งมาตั้งแต่แรกแล้ว

ไม่มีใครกล้าที่จะไปบอกให้เขาไปนั่งที่อื่น พวกมันทั้งหมดก้มหน้าลงไม่พูดจา ขณะที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ

“เจี้ยนเหริน!” สวี่เหวินเต๋อกล่าวเสียงเย็นชา เสียงของมันดังพอที่จะทำให้สมาชิกตระกูลจางทั้งหมดในรถม้าได้ยิน ”ข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้า แต่เจ้าก็ปฏิเสธมัน? ตระกูลพวกเรารู้สึกละอายใจก็เนื่องมาจากเจ้า และตอนนี้เจ้าก็ยังกล้าที่จะนำบุตรสารเลวนั่นมาที่นี่ เพื่อเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยา!?”

“เมื่อเจ้ายืนกรานที่จะนำเจ้าสารเลวน้อยตระกูลจางมาเสียหน้าที่นี่ ข้าก็จะคอยดูว่ามันจะไปได้ไกลมากแค่ไหนในการแข่งขันครั้งนี้!”

ผู้ฝึกตนตระกูลจางกำหมัดแน่น จางเหวินฟางที่นั่งอยู่ในรถม้ามีใบหน้าซีดขาว โอบแขนไปกอดอยู่รอบๆ ตัวหนานเอ๋อร์ ยากที่จะบอกได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่หยดน้ำตาก็กำลังไหลลงมาจากใบหน้านาง

“อย่าร้องไห้, ท่านแม่” หนานเอ๋อร์กล่าว ปาดเช็ดหยดน้ำตาออกไปจากใบหน้าของมารดา ”ข้าจะเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยาให้จงได้!” มันกล่าวยืนยันด้วยเสียงแผ่วเบา

เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่บนเบาะนั่งของรถม้า ขณะที่อาชาสวรรค์วิ่งไปเส้นทางบนถนน เขามองขึ้นไปยังกลุ่มดาวบนท้องฟ้าด้านบน และได้ยินสิ่งที่หนานเอ๋อร์กล่าวอยู่ภายในรถม้าด้วยเช่นกัน

“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ” เมิ่งฮ่าวพึมพำพร้อมกับส่ายหน้า จากประสบการณ์ของเขา เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจถึงสถานการณ์ของตระกูลจาง เห็นได้ชัดว่ามีการแต่งงานที่ไม่ได้รับการยินยอม หลังจากที่สามีตายไป ตระกูลก็เริ่มตกต่ำลง ทิ้งให้ภรรยารับผิดชอบหน้าที่ของสามี ในการเป็นผู้นำตระกูล

อาชาสวรรค์วิ่งไปตลอดทั้งยามราตรี เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน เมืองก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า แม้จะอยู่ในที่ห่างไกล ก็ยังมองเห็นความตระหง่านและงดงามของเมืองนี้ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ แต่เมืองนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคักจอแจ กลุ่มคนเดินไปมา เสียงพูดคุยด้วยความตื่นเต้นเต็มอยู่ในอากาศ

สูงขึ้นไปในอากาศ มองเห็นลำแสงหลากสีบินไปมาอยู่เป็นระยะ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ

เมิ่งฮ่าวมองไปยังทุกสรรพสิ่ง และทันใดนั้นก็รู้สึกว่า มีบางสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับสำนักเซียวเหยานี้ เขาไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ก็มีบางสิ่งเกี่ยวกับเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้ ที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

เมื่อตรวจสอบดูอย่างละเอียด เขาก็มั่นใจว่าไม่เคยเห็นสถานที่แห่งนี้มาก่อน แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่หลายครั้ง เขาก็ไม่อาจจะตัดสินใจได้ว่า อะไรที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย พวกเขาผ่านเข้าไปในเมืองตรงประตูฝั่งตะวันออก และในที่สุดก็ไปถึงโรงเตี๊ยม จางเหวินฟางนำเมิ่งฮ่าวไปยังห้องพักที่หรูหราด้วยความเคารพ และจากนั้นก็เตรียมตัวจะไปจัดการห้องพักให้กับทุกคน

นางไม่มั่นใจถึงสิ่งที่เมิ่งฮ่าวกำลังคิดอยู่ และไม่แน่ใจว่าเขาจะยังคงช่วยพิทักษ์คุ้มกันพวกนางอยู่หรือไม่ ก่อนที่จะจากไป นางลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ก้มหน้าถามขึ้น ”ผู้อาวุโส, ยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนที่สำนักเซียวเหยาจะเริ่มรับสมัครศิษย์ใหม่อย่างเป็นทางการ…”

เมิ่งฮ่าวพยักหน้า แต่ก็ไม่กล่าวตอบ จางเหวินฟางจากไปด้วยความเคารพ

ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ เมิ่งฮ่าวเปิดหน้าต่างห้อง และมองออกไปยังกลุ่มคนที่เดินไปมาอยู่บนท้องถนนด้านล่าง มีมนุษย์ธรรมดาอยู่ไม่น้อย ปะปนอยู่กับผู้ฝึกตน แสงของตะวันยามเช้าสาดส่องให้แสงสว่างแก่ทุกสรรพสิ่ง

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ และหลับตาลง ล้อมรอบไปด้วยเสียงที่คึกคักจอแจของเมือง

“ทำไมถึงดูเหมือนว่าข้าคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้นัก?” เมิ่งฮ่าวคิดขึ้นมาอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ จะทำให้สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนตัดวิญญาณครั้งแรกได้ แต่ก็ยังไม่อาจจะตรวจจับกระแสของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ที่หมุนวนอยู่ใต้เท้าเขาด้วยความระมัดระวังได้

เจ้าของกระแสสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ แน่นอนว่าก็คือปรมาจารย์เอกะเทวะ ซึ่งนั่งอยู่ในราชวังของมันด้วยความหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม

“ท่านย่ามันเถอะ! เจ้าสารเลวน้อยมาอยู่ที่นี่แล้ว กลายเป็นว่ามันกำลังคุ้มกันใครบางคน ที่ต้องการจะมาเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยา!!” ปรมาจารย์เอกะเทวะ รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ถ้ามันรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น มันก็คงจะยกเลิกการคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักเซียวเหยาไปแล้ว

ด้วยวิธีนี้ มันก็คงจะป้องกันไม่ให้เมิ่งฮ่าวเดินทางเข้ามาได้โดยสิ้นเชิง

“ข้าปล่อยให้มันยืนอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถ้ามันยังอยู่ เหลาจู่ก็ไม่อาจจะนอนหลับได้สนิท ข้าต้องทำให้มันจากไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…บัดซบ, ยังมีเวลาอีกตั้งสิบวันกว่าที่การรับสมัครจะเริ่มขึ้น? ไม่, นั่นไม่น่าจะได้ผล พวกเราต้องเริ่มพรุ่งนี้…ท่านย่ามันเถอะ! เริ่มตอนนี้เลยดีกว่า!!”

ด้วยเช่นนั้นมันจึงยกมือขึ้นมา ทำให้แผ่นหยกปรากฏขึ้น ทันใดนั้น เปลวไฟก็ปรากฏขึ้นมาบนพื้นผิวของแผ่นหยก และลอยขึ้นไปในอากาศ

กลายเป็นลำแสงอันน่าตกใจ กระจายตรงไปยังสำนักเซียวเหยา

สำนักเซียวเหยาตั้งอยู่ในเขตตะวันออกของเกาะศักดิ์สิทธิ์ อยู่บนเทือกเขาที่ยืดยาวออกไปอย่างไร้ขอบเขต ที่นั่นมองเห็นหุบเขาอันกว้างใหญ่เก้าแห่ง กระจายออกไปเป็นรูปของวงแหวนที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูโอ่อ่าเกรียงไกร แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่แปลกๆ อยู่ ภายในของเก้าหุบเขามีอาคารราชวังที่ตกแต่งอย่างหรูหรานับไม่ถ้วน ทุกสิ่งทุกอย่างดูหรูหราฟุ่มเฟือย

แผ่นหยกผ่านเข้าไปในเก้าหุบเขา และวิหารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่นั่นในทันที ไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของชายชราซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ที่นั่น

ทันทีที่ชายชรามองเห็นแผ่นหยก แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง มันรีบคว้าจับไปที่แผ่นหยกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมอบตัวลงไปบนพื้น และชูแผ่นหยกขึ้นสูงเหนือศีรษะ ทันใดนั้น เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะก็ได้ยินมา

“เริ่มคัดเลือกศิษย์ทันที!”

เพียงแค่หกคำ แต่ขณะที่หกคำนี้ดังก้องออกไปทั่วทั้งสำนักเซียวเหยา และหุบเขาลึกอื่นๆ ลำแสงหลากสีก็พุ่งออกมารวมตัวกัน อยู่ที่วิหารหลักของหุบเขาที่เก้าในทันที

กลุ่มคนเหล่านี้เป็นหัวหน้าสำนักของสำนักรองอื่นๆ จากหุบเขาต่างๆ พื้นฐานฝึกตนของพวกมันไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนบางคนในกลุ่มพวกมัน เป็นคนที่เมิ่งฮ่าวเคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนเมื่อในอดีต

ต่อมาไม่นาน เสียงระฆังก็ได้ยินไปทั่วทั้งสำนักเซียวเหยา ศิษย์สำนักเซียวเหยานับร้อยบินออกไปทั่วทุกทิศทาง ถึงเวลาที่จะไปแจ้งต่อตระกูลต่างๆ ที่เป็นแขกมาเยือนว่า การคัดเลือกศิษย์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!