ตอนที่ 638
สถานการณ์เปลี่ยนปรมาจารย์มีโทสะ
“อาสวรรค์, ข้าคงไม่ได้เข้าใจผิดไปนะ ผู้พิทักษ์เกียรติสำนักเซียวเหยาทั้งสิบเหล่านี้ ต่างก็สามารถสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนแถบนี้ ด้วยการกระทืบเท้าลงไปเพียงแค่ครั้งเดียว และพวกท่านทั้งหมด…ต่างก็เป็นหนี้บุญคุณของตระกูลจาง!”
“ปรมาจารย์ตระกูลจางที่ตายไป อยู่แค่ขั้นต้นสร้างแกนลมปราณเท่านั้น ทำไมบุคคลจากสำนักเซียวเหยาเหล่านี้ถึงได้เป็นหนี้บุญคุณมัน?”
กลุ่มฝูงชนส่งเสียงพูดคุยกันอื้ออึง และตระกูลจางก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“หรือว่าท่านปรมาจารย์…มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากในตอนนั้น?” จางเหวินฟางคิด มีท่าทางงุนงงอยู่เล็กน้อย นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ถูกพูดขึ้นมาในตระกูล ในความทรงจำของนาง ก่อนที่ท่านปรมาจารย์จะตายไป ถึงแม้ว่าท่านจะมีสหายอยู่บ้าง แต่ก็น้อยมากที่จะจริงใจต่อท่าน นอกจากนี้ ท่านยังได้ตายไปนานแล้ว ทำให้ความรู้สึกของสหายต่างๆ ได้จางหายไปนานแล้ว
ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ตระกูลจางก็คงไม่ถูกต้อนเข้าไปในมุมอับเหมือนที่ผ่านมา ต้องอพยพออกมาจากเกาะของตัวเอง มายังที่แห่งนี้อย่างไม่มีทางเลือก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ ก็เป็นเรื่องจริง ทำให้จางเหวินฟางเริ่มรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น
เสียงหอบหายใจได้ยินออกมาจากกลุ่มฝูงชนที่อยู่ในแถว ใบหน้าพวกมันเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและประหลาดใจ สายตาทุกคู่ในบริเวณนั้น ต่างก็จ้องนิ่งไปยังสมาชิกตระกูลจางโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่กล้าแสดงความอิจฉาให้ปรากฏออกมาบนใบหน้า แต่ความรู้สึกเช่นนั้นก็เต็มอยู่ในจิตใจพวกมัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลสวี่ ซึ่งมีใบหน้าซีดขาว และจิตใจก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกมันจะคาดคิดได้อย่างไรว่า กลุ่มคนที่พวกมันเพิ่งจะดูถูกและรู้สึกอับอาย ตระกูลจางที่ตกต่ำไร้ความหวังใดๆ จะมีความรุ่งเรืองเช่นนั้นเมื่อในอดีตที่ผ่านมา?
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเสี่ยวเม่ย (น้องสาว) ถึงได้ตัดความสัมพันธ์กับตระกูล เพื่อแต่งเข้าไปในตระกูลจาง” บุรุษจากตระกูลสวี่ครุ่นคิด ”ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้…” เมื่อมันเข้าใจเรื่องราวได้ใหม่ ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สำหรับตระกูลอื่นๆ จากทะเลชั้นนอก ซึ่งเคยมีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลจาง ตอนนี้พวกมันหวาดกลัวจนแทบบ้าและหอบหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ไม่เพียงแต่จิตใจพวกมันจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พวกมันยังเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรงอีกด้วย
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตระกูลจางมีความสัมพันธ์ที่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้น…ทำไมก่อนหน้านี้พวกมันถึงไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย? ซึ่งจะทำให้คนในทะเลชั้นนอกไม่กล้าจะไปยุ่งกับพวกมัน”
จางเหวินฟางชำเลืองมองไปยังสมาชิกของตระกูลบางคนโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่พวกมันมองเห็นทั้งหมดนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นเพราะข้า?” เมิ่งฮ่าวคิด เขาต้องคิดเช่นนี้ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่คิดเช่นนี้ดวงตาก็สาดประกาย มองออกไปยังผู้พิทักษ์เกียรติแห่งสำนักเซียวเหยา ถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่าพวกมันกำลังคิดอะไรกันอยู่ แต่ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็หดเล็กลง
“ทายาทของท่านผู้มีคุณ โปรดรับการคารวะจากพวกเราด้วย!” ด้วยเช่นนั้น ผู้พิทักษ์เกียรติแห่งสำนักเซียวเหยา ต่างก็ประสานมือและเริ่มโค้งตัวลงด้วยความตื่นเต้น พวกที่อายุมากบางคน ยังได้มีหยดน้ำตาไหลลงมาจากใบหน้าอีกด้วย ความรู้สึกยินดีของพวกมันดูเหมือนสุดที่จะพรรณนาออกมาได้
สมาชิกตระกูลจางจมอยู่ในการแสดงออกที่ซาบซึ้งในบุญคุณอย่างไม่คาดคิด และยังได้พยายามที่จะหดตัวหลบไปด้านหลัง จางเหวินฟางไม่รู้ว่าต้องกล่าวอะไรดี แต่จิตใจนางก็เต็มไปด้วยความยินดี ซึ่งไม่อาจจะสะกดข่มไว้ได้ เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ”ความขมเลยผ่าน ความหวานเริ่มขึ้น” หยดน้ำตาเริ่มไหลลงมาจากใบหน้านาง
จากวันที่นางแต่งเข้าไปในตระกูลจางจนกระทั่งถึงตอนนี้ นางไม่เคยจะพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ในที่สุดนางก็เลิกคิ้วมองไปยังกลุ่มคนทั้งหมด ของตระกูลสวี่ซึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไป จิตใจนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แตกต่างไปจากศิษย์สำนักเซียวเหยาบางคนที่อยู่เบื้องหน้านาง
ผู้พิทักษ์เกียรติทั้งสิบเริ่มกล่าวกันทีละคน
“เด็กผู้นี้จะเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยา?”
“ทำไมต้องมาเข้าแถว? พวกเรารอคอยทายาทของเอินกง (ท่านผู้มีพระคุณ) มาเข้าสังกัดสำนักอยู่นานแล้ว! พวกเราสามารถรับท่านให้เป็นศิษย์สายในได้ในทันที!”
“ใช่แล้ว! ท่านก็คือศิษย์สายใน!”
พวกมันช่างตัดสินใจกันได้อย่างรวดเร็วนัก
ภาพที่เห็นนี้ทำให้ตระกูลอื่นๆ แห่งทะเลชั้นนอก ที่กำลังเข้าแถวรออยู่เต็มไปด้วยความอิจฉา ตระกูลใดๆ ก็ตาม ต่างก็หวังว่าเด็กๆ ของพวกมันจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ด้วยเช่นกัน ใครจะไม่ต้องการถูกเชื้อเชิญให้เข้าสังกัดสำนักด้วยความเคารพนับถือเช่นนั้น?
เวลาเดียวกันนั้น ในราชวังของเกาะศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของปรมาจารย์เอกะเทวะปกคลุมไปด้วยรอยยิ้มอันอิ่มเอมใจ มันลุกขึ้นมายืนและเริ่มเดินไปมา ปล่อยให้กู๋อี่ติงซานอวี่ไร้ทางเลือกนอกจากต้องมองมาอย่างทำอะไรไม่ได้
“เหลาจู่ฉลาดสุดๆ อีกแล้ว” มันกล่าว “ฮา ฮา ฮา! ตอนนี้เจ้าสารเลวน้อยไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปอีก มันต้องจากไปในทันที, เจ้าเด็กน้อย! ไสหัวไปได้แล้ว!” ขณะที่ปรมาจารย์เอกะเทวะครุ่นคิดด้วยความภาคภูมิใจ มันก็เริ่มหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้น สีหน้ามันทันใดนั้นก็สลดลง มันส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปอีกครั้ง
ขณะที่กลุ่มผู้พิทักษ์เกียรติกำลังพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น ในการที่จะยอมรับหนานเอ๋อร์เป็นศิษย์สายใน เสียงอันเย็นชาที่คล้ายกับเป็นเสียงฟ้าผ่า ทันใดนั้นก็เต็มอยู่ในสำนักเซียวเหยา เสียงนั้นทำให้จิตใจของคนทั้งหมดสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที
“วุ่นวายอะไรกัน!?” เสียงอันเย็นชานั้นดังก้องออกมาจากเทือกเขา ที่เป็นของชายชราผู้นั้น “การคัดเลือกศิษย์ใหม่เป็นเรื่องสำคัญของสำนัก แต่พวกเจ้าก็มาส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย! ช่างไร้มารยาทนัก!”
ทันทีที่ใบหน้าอันเคร่งขรึมของชายชราปรากฏขึ้น ระลอกคลื่นของพื้นฐานฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งก็กระจายออกมา ทุกคนเริ่มกังวลใจขึ้นในทันที
“นั่น…นั่นคือเจ้าหุบเขาสาม!”
“เจ้าหุบเขาผู้ยิ่งใหญ่มาด้วยตนเอง! อย่าบอกข้านะว่าท่านก็เป็นสหายกับตระกูลจางด้วยเช่นกัน?” กลุ่มฝูงชนที่อยู่ในแถว รวมทั้งศิษย์สำนักเซียวเหยา ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เอกะเทวะ ต่างก็แอบคาดเดาเช่นเดียวกันอยู่ภายในใจ
“ถึงแม้พวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นสหายเก่ากับตระกูลนี้” ชายชรากล่าวเสียงราบเรียบ “แต่สำนักก็ยังมีกฎเกณฑ์อยู่ และกฎเกณฑ์เหล่านั้นก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้” สีหน้ามันไม่ได้ดูกราดเกรี้ยว แต่ทรงพลัง คำพูดของมันทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นตกตะลึงในทันที
“ในสำนักเซียวเหยา” มันกล่าวต่อ “ไม่อะไรที่จะสำคัญไปกว่ากฎเกณฑ์ ใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าสังกัดสำนัก ต้องกระทำตามกฎ” สายตาที่เย็นชาราวน้ำแข็งของมัน ตกกระทบไปยังสมาชิกของตระกูลจาง “พวกเจ้าทั้งหมด กลับไปยังที่เดิมในแถว หลังจากเวลาผ่านไป พวกเจ้าก็จะมาถึงตำแหน่งนี้เอง”
ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนจากตระกูลต่างๆ ที่อยู่ในแถวรู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา พวกมันรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่ยุติธรรม แต่ก็ไม่กล้าจะส่งเสียงคัดค้านขึ้นมาได้ ตอนนี้เมื่อพวกมันได้เห็นเจ้าหุบเขาแห่งสำนักเซียวเหยาจัดการได้อย่างยุติธรรม พวกมันก็รู้สึกว่าข่าวลือเกี่ยวกับสำนักนี้เป็นเรื่องจริง ช่างเป็นสำนักที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ได้เคร่งคัดอย่างแท้จริง
ใบหน้าจางเหวินฟางซีดขาว นางก้มศีรษะลงและปฏิบัติตามในทันที ความรู้สึกยินดีกลับกลายเป็นความละอายใจโดยสิ้นเชิง แต่นางก็เกรงว่าจะทำให้ผู้พิทักษ์เกียรติแห่งสำนักเซียวเหยา ซึ่งเป็นสหายกับตระกูลเกิดปัญหา ดังนั้นนางจึงยอมรับในทันที จับมือหนานเอ๋อร์ ซึ่งกำลังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวไว้ เริ่มเดินกลับไปยังแถวหลังสุด พร้อมกับสมาชิกร่วมตระกูล
ตระกูลสวี่เบิกบานใจขึ้นมาในทันที เมื่อได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ พวกมันไม่พูดอะไรออกมา แต่แววตาที่ดูถูกเยาะเย้ยในดวงตาพวกมันก็ไม่อาจจะปกปิดไว้ได้
“สำหรับพวกเจ้าทั้งหมด” ชายชรากล่าวต่อด้วยสายตาอันเย็นชา “พวกเจ้าเป็นผู้พิทักษ์เกียรติแห่งสำนักเซียวเหยา การกระทำของพวกเจ้าเมื่อครู่นี้ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง! พวกเจ้าทั้งหมดต้องถูกลงโทษโดยการถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน!” คำพูดของมันดังก้องออกมา เต็มไปด้วยความรู้สึกที่องอาจและทรงอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ชายชรากล่าวคำนี้ออกมา ทันใดนั้นมันก็ได้ยินเสียงอันกราดเกรี้ยวดังก้องอยู่ในหู “ข้าจะลงโทษเจ้า, ท่านย่ามันเถอะ!”
เสียงกราดเกรี้ยวนั้นราวกับเป็นเสียงฟ้าผ่า ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่ได้ยิน แต่ทันทีที่เสียงอันทรงพลังนั้นดังก้องอยู่ในจิตใจ สีหน้ามันก็สลดลง
เป็นเรื่องปกติที่มันจะรู้ว่าใครกำลังพูดอยู่
“ทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของเหลาจู่!” ปรมาจารย์เอกะเทวะเอะอะโวยวายด้วยความเกรี้ยวกราด “ท่านย่ามันเถอะ! เจ้าทำลายแผนการใหญ่ของข้าไปจนหมดสิ้น! ข้าจะถลกหนังของเจ้า!” ดูเหมือนว่ามันจะกราดเกรี้ยวอย่างแท้จริง
เมื่อเป้าหมายที่มันพยายามมาอย่างหนัก กำลังจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ต้องถูกทำลายลงด้วยการแทรกแซงเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะมีความหวาดกลัว มันกลัวว่าเมิ่งฮ่าวจะรู้ว่ามีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้น ทำให้มันมีโทสะจนอยากจะตบชายชราผู้นี้ให้ตายไปในทันที
เมื่อเจ้าแห่งหุบเขาสามรับรู้ได้ถึงความเกรี้ยดกราด และรังสีสังหารของปรมาจารย์เอกะเทวะ มันก็เริ่มสั่นสะท้าน ทันใดนั้น มันก็มองไปยังตระกูลจาง ที่กำลังถอยกลับไปยังแถวด้านหลัง จิตใจมันเริ่มเข้าใจแจ่มชัดขึ้น
“รอก่อน!” มันร้องตะโกนขึ้น เร่งเดินตรงไปในทันที
“พวกเจ้าเป็นคนจากตระกูลจาง?” มันถามขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มองเห็นหยดน้ำตากำลังเอ่อล้นมาจากหางตา เสียงของมันทำให้ตระกูลอื่นๆ แห่งทะเลชั้นนอก ที่อยู่ในแถวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงในทันที พวกมันไม่อาจจะหยุดคิดได้ว่า กำลังเกิดอะไรขึ้น…
ไม่เพียงแต่พวกมันเท่านั้นที่จะประหลาดใจ ศิษย์สำนักเซียวเหยาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมด ต่างก็มีสีหน้างุนงง เหตุการณ์ในวันนี้ช่าง…แปลกเป็นอย่างมาก จนพวกมันยากจะเข้าใจได้
สำหรับสมาชิกตระกูลจาง พวกมันหยุดชะงักนิ่ง จากนั้นก็หันไปมองยังชายชราซึ่งกำลังรีบเดินมาอย่างรวดเร็ว
จางเหวินฟางมองไปยังมัน และลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะกล่าวตอบอย่างเงียบๆ “ผู้อาวุโส…พวกเรา…พวกเราคือตระกูลจางจากทะเลชั้นนอก”
“ก็คือตระกูลจางนั่นเอง!!” ชายชรากล่าว กระทืบเท้าทำให้ยอดเขาที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นสั่นสะเทือน พื้นดินสั่นไหวไปมา
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าเอง” มันกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ข้างใน เมื่อรับรู้ว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น ข้าก็ออกมา แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นพวกท่าน! ไอ้หยา! ข้าคงต้องตำหนิตนเองเท่านั้น!” ด้วยเช่นนั้น ชายชราก็หัวเราะด้วยความโศกเศร้า จากสีหน้าของมัน ดูเหมือนว่ามันกำลังคิดไปถึงเรื่องราวเก่าๆ เมื่อในอดีต
“ข้าไม่เคยลืมเลยว่า ปรมาจารย์ตระกูลจางได้ให้ความเมตตาต่อข้าในปีนั้นอย่างไร ท่านยังได้ช่วยชีวิตข้าไว้ถึงหกครั้ง! ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ข้าก็คงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ทายาทของสหายเก่าอยู่ที่นี่แล้ว อา, ทายาทของสหายเก่าอยู่ที่นี่แล้ว” มันถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ขณะที่คำพูดดังก้องออกไป ทุกคนตกตะลึงในทันที
โดยเฉพาะตระกูลสวี่ พวกมันมองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง สูดลมหายใจอย่างหนักหน่วง จิตใจสั่นสะท้าน พวกมันไม่เคยจะคาดคิดเลยว่า ตระกูลจางจะมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งเช่นนี้ จนทำให้หนึ่งในเจ้าหุบเขาทั้งเก้าของสำนักเซียวเหยา ต้องเป็นหนี้บุญคุณตระกูลจาง
“ตอนนี้เมื่อทายาทของท่านได้มายังสำนักเซียวเหยา ต่อให้ข้าต้องแหกกฎ ข้าก็จะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง” ชายชรากล่าวอย่างเฉียบขาด “ข้าจะไม่ปล่อยให้ทายาทของตระกูลจาง ต้องมาอับอายอยู่ที่นี่!” สายตามันกวาดมองไปมา และสมาชิกของตระกูลอื่นๆ แห่งทะเลชั้นนอกก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องก้มศีรษะลง ภายในใจ พวกมันสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง
ดวงตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ถึงแม้เขาจะสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย แต่จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เขาไม่อาจจะมองทะลุถึงสิ่งแปลกๆ ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร?
“น่าสนใจนัก” เมิ่งฮ่าวคิด “เท่าที่ข้าจำได้ มีแต่เจ้าบัดซบชราเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ชอบจัดการเรื่องราวจนไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ขึ้นมาได้”
จางเหวินฟางกำลังสั่นสะท้านอยู่ในตอนนี้ ความดีใจและประหลาดใจ ทำให้นางแทบจะรับไว้ไม่ได้ ตอนนี้ความสับสน ความงุนงงของนาง แทบจะถึงจุดสูงสุด นางกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา แต่ทันใดนั้น เจ้าหุบเขาสามก็เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว และจากนั้นก็อุ้มหนานเอ๋อร์อยู่ในวงแขน
“หน้าตาคล้ายกันมาก!” มันกล่าว “หน้าตาช่างคล้ายคลึงกันจริงๆ! เพียงมองแค่แวบเดียว ก็ทำให้ข้าต้องคิดไปถึงปรมาจารย์ตระกูลจางขึ้นอย่างช่วยไม่ได้”
“เด็กน้อย เจ้ายินดีที่จะยอมรับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”
ในตอนนี้ ผู้ที่กังวลใจมากที่สุดก็คือปรมาจารย์เอกะเทวะ ซึ่งกำลังหอบหายใจอยู่ในราชวังของมัน ขณะที่มองไปยังภาพที่ด้านล่าง มันกำลังลุ้นที่จะได้ยินเสียงยอมรับของหนานเอ๋อร์
“ยอมรับเร็วเข้า, เด็กน้อย!” มันพึมพำ “เร็วๆ หน่อย! ข้าขอร้อง ก็แค่ยอมรับ…เหลาจู่ให้สัญญาว่า ถ้าเจ้ายอมรับ นับจากนี้ไป ข้าจะดูแลเอาใจใส่เจ้าเป็นอย่างดีในสำนักเอกะเทวะ เอ่อ, ไม่ใช่ ข้าหมายถึงสำนักเซียวเหยาแห่งนี้!” อย่างไรก็ตาม มันไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดๆ ให้เด่นชัด จนทำให้เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเหล่านี้
หนานเอ๋อร์กังวลใจและหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ใบหน้าซีดขาว โดยไม่ต้องขบคิดใดๆ มันหันหน้ากลับไปมองยังมารดา และด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็มองไปยังเมิ่งฮ่าว
ถ้ามันไม่ได้มองไปยังเมิ่งฮ่าว เขาก็คงจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยกำลังสับสนทำอะไรไม่ถูก มองมาที่เขาอย่างที่ไม่อาจจะตัดสินใจได้ เมิ่งฮ่าวก็ได้แต่ยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และจากนั้นก็กล่าวขึ้นตามสบาย “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นนี้ เมื่อพิจารณาถึงพรสวรรค์ของหนานเอ๋อร์ ข้าคิดว่ามันน่าจะมีตำแหน่งในสำนักที่ดีกว่านี้”
เมื่อปรมาจารย์เอกะเทวะได้ยินเช่นนี้ โลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปากมันราวกับเป็นบ่อน้ำพุ มันเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงแผดร้องด้วยความไม่พอใจออกมา
——————–
苦尽甘来 (ขู่จิ้นกานหลาย) = ความขมเลยผ่าน ความหวานเริ่มขึ้น หมายถึง ต้นร้ายปลายดี