ตอนที่ 639
ความฉลาดที่เหนือชั้นของเหลาจู่
“เจ้าสารเลวน้อย! เจ้าต้องการอะไร? เจ้ากำลังจะทำอันใด!?” ปรมาจารย์เอกะเทวะกำมือเป็นหมัดจนแน่น จากนั้นก็ต่อยลงไปบนพื้น เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในราชวัง ทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือน อันที่จริง ก็เกิดเป็นคลื่นม้วนตัวออกไปทั่วทั้งพื้นผิวของน้ำทะเล ที่อยู่รอบๆ เกาะแห่งนี้ด้วย
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่น ใช่หรือไม่, เจ้าสารเลวน้อย!” ปรมาจารย์เอกะเทวะแทบจะพ่นควันออกมา ”ข้ากระทำด้วยเจตนาดี! ช่วยเจ้าทำเรื่องราวให้เรียบร้อย แต่เจ้าก็ปฏิเสธมัน!?!?” เสียงมันดังก้องไปมาอยู่ภายในราชวัง แต่ก็ไม่ได้ดังออกไปยังด้านนอก ตอนนี้มันกระวนกระวายใจจนถึงที่สุด และแทบจะเดือดดาลขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
“เจ้าพยายามจะทำให้เหลาจู่คลุ้มคลั่งจริงๆ? สารเลว! เหลาจู่ไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ข้าจะนำสำนักเซียวเหยาจากไป เมื่อเหลาจู่ไม่อาจจะตอแยเจ้าได้ ก็แค่หลบหนีไปเท่านั้น!” ปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังจะทำตามคำพูดของมัน แต่ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะคิดได้ถึงเรื่องราวบางอย่าง
“ไม่ถูกต้อง!” ท่าทางสงสัยจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามัน
“เจ้าสารเลวน้อยนั่นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง ในตอนนี้ มันยังคงไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ถ้าข้าปรากฏกายขึ้น ความลับก็จะถูกเปิดเผยออกมา ถ้ามันพบว่าข้ากำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในทะเลเทียนเหอ…” ทันใดนั้น ดวงตาปรมาจารย์เอกะเทวะก็แวบขึ้น
“อืมมม เหลาจู่เป็นผู้ที่ฉลาด, ศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งใหญ่ แล้วข้าจะถูกหลอกได้อย่างไรกัน?” เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะเต็มไปด้วยการดูถูก ”เห็นได้ชัดว่าเจ้าสารเลวน้อยไม่รู้เรื่อง ดังนั้นข้าจะไม่เปิดเผยตัวเองออกไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่อดทนต่อไป…ดังนั้นต่อให้มันเลือกอาจารย์ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด! มันไม่ยอมรับอาจารย์วิญญาณแรกก่อตั้งหนึ่งคน? แล้วถ้าเป็นกลุ่มล่ะ!? ข้าไม่เชื่อว่ามันจะปฏิเสธ!” อีกครั้งที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของมัน กระจายออกไปทั่วทั้งสำนักเซียวเหยา
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ด้านนอกประตูหลักของสำนักเซียวเหยา คำพูดของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไป ทำให้จางเหวินฟางอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ หนานเอ๋อร์มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่เบิกกว้างชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวขึ้นในทันทีด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กที่ดังฟังชัด
“ข้าไม่ยอมรับ…”
จิตใจของเจ้าหุบเขาสามเต้นรัวขึ้นมาในทันที มันจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความเกลียดชัง กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา แต่ทันใดนั้นเอง แปดกระแสของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งตรงมา
เริ่มมองเห็นแปดเงาร่างอยู่ในกลางอากาศ ถึงแม้ว่าจะมองเห็นใบหน้าของพวกมันได้อย่างเลือนลาง แต่ระลอกคลื่นของพื้นฐานฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งก็ค่อนข้างจะชัดเจน ทั่วทั้งสำนักเซียวเหยาสั่นสะท้าน ท้องฟ้าแวบขึ้นด้วยแสงหลากสี สายลมและกลุ่มเมฆม้วนตัวไปมาอย่างวุ่นวาย ลำแสงอันเจิดจ้าสาดประกายออกไปในทั่วทุกทิศทาง
ทำให้ศิษย์มากมายนับไม่ถ้วน เข้ามาใกล้บริเวณนี้ในทันที สำหรับศิษย์สำนักเซียวเหยาที่อยู่ตรงประตูหลักก่อนหน้านี้ สีหน้าพวกมันเปลี่ยนไป ทั้งหมดเริ่มคุกเข่าลงไปโขกศีรษะ
สมาชิกตระกูลแห่งทะเลชั้นนอก ที่ยืนเข้าแถวอยู่เริ่มหอบหายใจออกมา พวกมันมองไปยังภาพที่เห็นด้วยความตื่นตระหนก จิตใจสั่นสะท้าน
“เจ้าหุบเขาทั้งเก้า มาอยู่ที่นี่แล้วทั้งหมด!”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? อย่าบอกข้านะว่า…พวกท่านทั้งหมดต่างก็เป็นสหายกับตระกูลจาง?”
สมาชิกตระกูลจางยืนตัวสั่นสะท้านอยู่ที่นั่น เต็มไปด้วยความงุนงง และหวาดกลัวด้วยเช่นกัน เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นนี้
ความเงียบราวความตายปกคลุมไปทั่ว เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป ดวงตาสาดประกาย ถึงแม้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่ก็มีระลอกคลื่นแปลกๆ กระจายออกมาจากร่างพวกมัน ด้วยพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าว ทำให้เขาสัมผัสมันได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าพวกมันคืออะไร
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาว่าพวกมันเป็นเจ้าแห่งหุบเขาในสำนัก พวกมันก็ต้องมีความลับบางอย่างที่จะช่วยเพิ่มระดับความสูงส่งของพวกมัน ซึ่งเมิ่งฮ่าวเข้าใจดี
“เด็กผู้นี้มีโชคชะตาที่เชื่อมต่อกับสำนักเซียวเหยา!” เสียงเก่าแก่โบราณดังออกมาจากหนึ่งในแปดลำแสงของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่สูงขึ้นไปในกลางอากาศ เสียงนั้นดังก้องออกไปทั่วทั้งสำนักเซียวเหยา
“หลังจากที่พูดคุยกัน พวกเราเจ้าหุบเขาอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้า ยอมรับให้เด็กผู้นี้เป็นศิษย์ผู้สืบทอด! มันจะเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยาในฐานะศิษย์หลัก!”
เสียงนั้นดังก้องไปมาอยู่ในหูของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น สมาชิกของตระกูลอื่นๆ จากทะเลชั้นนอกมองไป หอบหายใจด้วยความวิตกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างมากได้เกิดขึ้น จนถึงจุดที่ไม่อาจจะลืมวันนี้ไปได้ ตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกมัน
ศิษย์สำนักเซียวเหยาต่างก็ตกตะลึงโดยสิ้นเชิง พวกมันทั้งหมดเริ่มมองไปยังเด็กชายที่ถูกอุ้มอยู่ในวงแขนของเจ้าหุบเขาสาม
คงต้องเน้นย้ำว่า ภายในสำนักเซียวเหยา มีศิษย์หลักเพียงแค่สามคนเท่านั้น! แต่ในตอนนี้ก็มีเป็นสี่คน!
ต่อจากนั้นความเงียบก็ปกคลุมไปทั่ว หลังจากนั้นเสียงขนาดใหญ่ก็ได้ยินมา เสียงนั้นทำให้เสียงของกลุ่มคนที่อยู่ในแถว มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อและตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ ในที่สุดก็กระจายออกไปทั่วทั้งทะเลชั้นนอก รวมทั้งวงแหวนที่สี่ ตลอดทั้งหลายปีที่ผ่านมา เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสำนักเซียวเหยา เจ้าแห่งหุบเขาทั้งเก้าต่างก็ยอมรับคนผู้เดียวเป็นศิษย์ผู้สืบทอดร่วมกัน! คนผู้นั้นเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับตระกูลจาง พวกมันเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นทะเลชั้นนอกหรือวงแหวนที่สี่ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันและสำนักเซียวเหยา จึงไม่มีใครกล้าที่จะมาหาเรื่องพวกมันอีก ไม่นานนักคำพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็กระจายออกไปทั่วทุกที่
ตระกูลจางถูกลิขิตให้มีชื่อเสียงโด่งดังกระจายไปทั่ว
จางเหวินฟางหอบหายใจ ในสิ่งที่ได้รับมาอย่างไม่เคยจะคาดคิดนี้ ทำให้ร่างนางสั่นสะท้านร้องไห้ออกมาด้วยความยินดี สมาชิกตระกูลจางที่อยู่รอบๆ ตัวนาง ก็ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา เมื่อสังเกตเห็นหนานเอ๋อร์กำลังมองกลับมาที่เขาอีกครั้ง เขาก็พยักหน้าให้
หนานเอ๋อร์รวบรวมความกล้าหาญ จากนั้นก็พูดออกมาอย่างชัดเจน ”หนานเอ๋อร์ยอมรับท่านปู่ผู้อาวุโสเป็นอาจารย์!”
เสียงของมันไม่ได้ดังมากนัก แต่ทันทีที่พูดออกไป ทุกคนไม่ว่าศิษย์สำนักเซียวเหยา หรือสมาชิกตระกูลจากทะเลชั้นนอก ต่างก็รู้ขึ้นในทันทีว่าตอนนี้ เด็กผู้นี้…แตกต่างไปจากพวกมันโดยสิ้นเชิงแล้ว!
ด้วยการมีเจ้าแห่งหุบเขาทั้งเก้าเป็นอาจารย์ มันก็จะกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในสำนักเซียวเหยาแห่งนี้ อันที่จริง ตราบเท่าที่พรสวรรค์ของมันไม่ได้เลวร้ายอย่างถึงที่สุด ก็มั่นใจได้ว่ามันต้องบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณได้อย่างแน่นอน!
นับจากนี้ไป ตระกูลจางจะคล้ายกับเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้าในท้องฟ้า ทุกคนที่เคยดูถูกพวกมัน ก็จะต้องก้มศีรษะให้ด้วยความนอบน้อม ใครก็ตามที่เคยมีข้อพิพาทกับพวกมันเมื่อในอดีต ก็ได้แต่หวาดวิตกอยู่ในความหวาดกลัว และส่งของกำนัลมาให้มากมายเพื่อขอโทษ
ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับพวกมัน ต้องถูกบีบบังคับให้หลบหนีออกไปจากทะเลชั้นนอกในทันที มิเช่นนั้นพวกมันก็อาจจะไร้ที่ยืนอยู่ในทะเลชั้นนอกทั้งหมด
ตระกูลจางเหมือนกับเป็นมัจฉาที่พุ่งทะยานข้ามประตูมังกร จนได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ นี่ก็คือผลการประเมินสุดท้ายของทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้
หยดน้ำตาไหลลงมาจากใบหน้าจางเหวินฟาง ความยินดีในจิตใจ ทำให้รอยยิ้มอันสดใสที่นางเคยมีมาก่อน ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง ”ฟูจิน (สามี), วิญญาณท่านกำลังมองดูเรื่องราวทั้งหมดนี้มาจากปรภพอยู่หรือไม่…?”
สมาชิกตระกูลจางคนอื่นๆ มองมาด้วยความยินดีแทบคลุ้มคลั่ง ราวกับว่าพวกมันได้เห็นความเป็นไปได้อันมากมายนับไม่ถ้วน กำลังเปิดขึ้นเพื่ออนาคตของพวกมันในตอนนี้ พวกมันคิดย้อนกลับไปในอดีต จากนั้นก็พิจารณาถึงอนาคต และดูเหมือนจะมีความรู้แจ้งใหม่ๆ ความเข้าใจใหม่นี้ ทำให้พวกมันบรรลุถึงขอบเขตที่สูงมากขึ้นไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่รู้สึกตื่นเต้นมากที่สุด ไม่ใช่กลุ่มคนเหล่านั้น ไม่ใช่สมาชิกของตระกูลจาง แต่เป็นปรมาจารย์เอกะเทวะที่อยู่ภายในราชวัง มันตื่นเต้นจนร่างกายสั่นสะท้าน ขณะที่เดินไปมาอยู่ในราชวัง มองไปยังกู๋อี่ติงซานอวี่ ด้วยสีหน้าดูถูก
แน่นอนว่ามันไม่สนใจว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลจาง ความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าปรากฏขึ้นในดวงตา ขณะที่มันมองออกไปยังสำนักเซียวเหยาและเมิ่งฮ่าว มันคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะทำให้เมิ่งฮ่าวออกไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อไป เจ้าสารเลวน้อย ทำไมยังไม่ไปอีก? ฮา ฮา ฮา! ไสหัวไปให้ไว! อย่าได้มาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก!” ปรมาจารย์เอกะเทวะคิดไปว่า ถ้าเมิ่งฮ่าวจากไปโดยไร้ข้อสงสัย มันก็จะสามารถมีชีวิตที่เป็นอิสระไร้กังวลใดๆ เมื่อมันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แทบจะราวกับว่ามันได้ทำการแก้แค้นเรื่องบางอย่างได้ ยิ่งมันคิดว่าเมิ่งฮ่าวกำลังจากไปมากเท่าใด มันก็ยิ่งรู้สึกเต็มไปด้วยความมุ่งหวังมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้ ทั่วทั้งสำนักเซียนเหยาตกอยู่ในความโกลาหล เมิ่งฮ่าวกำลังหัวเราะอยู่พร้อมกับดวงตาที่สาดประกาย จากนั้นสีหน้าก็กลับเป็นปกติเหมือนเดิม ขณะที่มองไปยังจางเหวินฟางและคนอื่นๆ
จากแววตาของเขา ดูเหมือนว่าเขายังคงกังวลใจต่อสมาชิกตระกูลฟาง เห็นได้ชัดว่ากำลังเป็นห่วงต่อความปลอดภัยของพวกมันในวันข้างหน้า
ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ ไม่อาจจะอ่านสีหน้าของเขาได้ แต่ปรมาจารย์เอกะเทวะที่เพ่งมองไปยังเมิ่งฮ่าวอยู่ตลอดเวลา มันก็รู้สึกได้ในทันที โดยไม่ลังเล มันส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในเจ้าแห่งหุบเขาทั้งเก้าในทันใด
แทบจะราวกับว่าพวกมันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวกำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าแห่งหุบเขาทั้งเก้าเริ่มพูดขึ้นในทันที
“สมาชิกของตระกูลจางก็คือสหายสนิทของสำนักเซียวเหยา พวกเจ้าสามารถอยู่ในเกาะศักดิ์สิทธิ์ในอาณาเขตของตนเอง ซึ่งจะเป็นของพวกเจ้าตลอดไป”
ทันใดนั้น คลื่นแห่งความอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง ก็เต็มอยู่ในจิตใจของสมาชิกตระกูลต่างๆ จากทะเลชั้นนอก นอกจากนี้ หนึ่งในเหตุผลที่พวกมันหวังว่าจะเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยา ไม่เพียงแต่จะเพื่อโอกาสของสมาชิกเพียงคนเดียวของตระกูลเท่านั้น แต่เพื่อให้ทั้งตระกูลมีโอกาสที่จะย้ายมาอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้
จะเป็นเกียรติและมีตำแหน่งที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลก็ไม่จำเป็นต้องกังวลต่อเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกต่อไป สำนักเซียวเหยาจะเป็นผู้คุ้มกันที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดของพวกมัน
ตอนนี้ ทุกคนที่ก่อนหน้านี้เคยดูถูกดูแคลนตระกูลจาง ซึ่งได้รับความโชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนั้น ต่างก็มีความคิดที่ซับซ้อนแตกต่างกันเต็มอยู่ในจิตใจ ทันใดนั้นทุกคนต่างก็ตัดสินใจว่า จะทุ่มสุดตัวเพื่อให้กลายเป็นสหายกับตระกูลจางให้จงได้
สำหรับตระกูลสวี่ จิตใจพวกมันเริ่มหนักอึ้งด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรง พวกมันกังวลว่าจะถูกตอบโต้จากตระกูลจาง ซึ่งจะกลายเป็นมหันตภัยอันยิ่งใหญ่ ที่พวกมันไม่อาจจะต้านทานไว้ได้
เรื่องราวที่ศิษย์ได้กลายเป็นผู้สืบทอดของอาจารย์ได้ข้อสรุปแล้วในตอนนี้ กลุ่มฝูงชนของตระกูลต่างๆ เฝ้ารอคอยต่อไป เพื่อพยายามจะเข้าสังกัดสำนัก ขณะที่ตระกูลจาง ซึ่งเป็นที่อิจฉาของคนทั้งหมด ถูกนำทางไปด้วยความเคารพโดยศิษย์สำนักเซียวเหยา สำหรับเมิ่งฮ่าว, ปรมาจารย์เอกะเทวะมองไปด้วยความคาดหวังอย่างกระตือรือร้นว่า ในที่สุดเขาก็จะแยกตัวออกไปจากตระกูลจาง
หนานเอ๋อร์มองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง โบกมือให้ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่ต้องการจะแยกจาก
เมิ่งฮ่าวยื่นมือออกไปลูบศีรษะเด็กชาย จากนั้นก็พึมพำอยู่ชั่วครู่ และตบไปที่ถุงสมบัติเพื่อหยิบเอาขวดยาออกมา พร้อมด้วยอาวุธเวทอีกเล็กน้อย เขายื่นส่งให้กับหนานเอ๋อร์ไปทั้งหมด
“ตั้งใจฝึกฝนให้ดี” เมิ่งฮ่าวกล่าว ”บางทีอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ พวกเราอาจจะได้พบกันอีก” ด้วยเช่นนั้น เขาตบไปที่ไหล่หนานเอ๋อร์ จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปยังที่ห่างไกล
จางเหวินฟางมองเมิ่งฮ่าวเดินจากไป และจากนั้นก็มองไปยังของกำนัลที่เขาให้กับหนานเอ๋อร์ ดวงตานางเต็มไปด้วยความขอบคุณอย่างลึกล้ำ นางคุกเข่าลงไปและโขกศีรษะให้กับเขาด้วยความเคารพ
บางทีอาจจะตราบชั่วนิรันดร์ พวกมันก็ไม่มีทางจะรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมหนานเอ๋อร์ถึงได้ถูกยอมรับในฐานะศิษย์ผู้สืบทอด
เมิ่งฮ่าวเดินทางจากไป
ภายใต้สายตาที่มุ่งหวังของปรมาจารย์เอกะเทวะ เขาออกจากเทือกเขาของสำนักเซียวเหยา ทันทีที่เกิดขึ้นเช่นนั้น ปรมาจารย์เอกะเทวะก็ยิ้มออกมา และรู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะส่งเสียงกู่ร้องออกมา
มันรู้สึกมีความสุขขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคิดไปถึงความฉลาดที่เหนือชั้นของมัน ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มองไป ต่างก็ทำให้มันเต็มไปด้วยความสุข มันหยีตาลงอย่างอิ่มเอมใจ ขณะที่มองดูเมิ่งฮ่าวจากไปไกล, ไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางรอยยิ้มทั้งหมดของมัน ทันใดนั้นมันก็อ้าปากค้าง
นั่นเป็นเพราะว่า ขณะที่เมิ่งฮ่าวกลายเป็นลำแสงพุ่งผ่านอากาศไป ทันใดนั้นเขาก็หยุดลงและมองลงไป ที่ด้านล่างซึ่งอยู่ห่างออกไปจากสำนักเซียวเหยาไม่มากนัก เป็นหนึ่งในเมืองของผู้ฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะศักดิ์สิทธิ์!
“หือ? ไปสิ, ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก?” ปรมาจารย์เอกะเทวะกล่าว จ้องมองไป “เจ้ารออะไรอยู่, หือ?”
เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่กลางอากาศ เอามือลูบจมูก ยากที่จะบอกได้ว่าเขามีจุดประสงค์หรือเจตนาใด…เขาเริ่มพึมพำกับตัวเอง
“ก่อนที่จะจากไป ข้าจำเป็นต้องไปซื้อหาสิ่งของบางอย่าง บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเมืองผู้ฝึกตนเช่นนี้ในทะเลเทียนเหอ”
“นอกจากนี้ ผู้ฝึกตนสำนักเซียวเหยาเหล่านั้นต่างก็เป็นคนดี ราคาสิ่งของในที่แห่งนี้ถึงจะไม่ต่ำมาก ก็คงไม่สูงมากเกินไปอย่างแน่นอน ถ้าสูงมากไป ข้าก็จำเป็นต้องอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้ให้นานขึ้นไปอีก” เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมาเบาๆ จากนั้นก็บินตรงไปยังเมืองแห่งนั้น
ปรมาจารย์เอกะเทวะมองไปด้วยความงุนงง ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งลงไปในเมือง มันอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ก็ไร้น้ำตา แทบจะบ้าคลั่งได้ทุกเมื่อ มันเริ่มหอบหายใจและเดินไปมาอยู่ในราชวังเป็นรูปวงกลม กัดฟันแน่น
“ข้าทำได้ไปมากกว่าครึ่งแล้ว ถ้าข้าพยายามต่อไป มันก็ต้องสำเร็จอย่างแน่นอน! ข้าต้องอดทน! ไม่มีหินลมปราณ? เจ้าสารเลวน้อย, ข้าจะให้เจ้า!”
“เพื่อให้เจ้าจากไป จะให้ข้าทำอะไรก็ได้!”