ตอนที่ 646
ข้าจะมอบโชคบางอย่างให้กับเจ้า!
เพื่อที่จะให้การกระทำนั้นดูสมจริง ปรมาจารย์เอกะเทวะได้ส่งพลังอันน่าเหลือเชื่อของมันเข้าไปในเสียงแผดร้อง ทุกคนที่อยู่บนเกาะ รวมทั้งผู้ฝึกตนของสำนักเซียวเหยา ต่างก็ได้ยินคำพูดของมันอย่างชัดเจน
สีหน้าพวกมันทั้งหมดเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน ผู้คนที่อยู่ใกล้กับสนามรบไม่กล้าจะเข้ามาใกล้มากนัก สีหน้าพวกมันตกตะลึง และกำลังหอบหายใจออกมา
“เมิ่งฮ่าว? นั่นคือใคร? ดูเหมือนว่ามันจะมีความสำคัญต่อสำนักเซียวเหยาเป็นอย่างยิ่ง!”
“มันเป็นคนแบบไหนกันแน่ จึงทำให้ท่านปรมาจารย์ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้อง? มันต้องเป็นความหวังของสำนักเซียวเหยาทั้งหมด! มันจะตายไปไม่ได้!”
“เมิ่งฮ่าว? ข้าจำได้แล้ว! มันเป็นศิษย์สายในของสำนักเอกะเทวะ! ท่านปรมาจารย์พูดถูกแล้ว! มันมีตำแหน่งสูงมากที่สุดในสำนักของพวกเรารองจากท่านปรมาจารย์!” ผู้ฝึกตนที่กำลังประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ยอมรับคำพูดของปรมาจารย์เอกะเทวะอยู่ภายในใจ จดจำจารึกไว้ตลอดไป
อันที่จริง คำพูดของปรมาจารย์เอกะเทวะ ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง จนแม้แต่มันก็เริ่มเชื่อคำพูดเหล่านั้น หยดน้ำตาปรากฏขึ้นในดวงตาขณะที่มันแผดร้องออกไป ในตอนนี้เองที่ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังหยุดอยู่กลางอากาศ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
“ทำไมเจ้าถึงได้ไล่ล่ามัน?” ปรมาจารย์เอกะเทวะกล่าว กระพริบตาปริบๆ ตอนนี้มันอยู่ห่างไกลออกไปจากปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังมาก และได้สอดแทรกตัวเองไปอยู่ระหว่างกลางเมิ่งฮ่าว จ้องมองไปด้วยโทสะ “สังหารข้า และเจ้าก็สามารถผ่านไปได้!”
ตอนนี้ปรมาจารย์เอกะเทวะจมอยู่ในการละเล่นนี้โดยสิ้นเชิง สำหรับมันจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าค่อนข้างสนุกนัก และเมื่อมันพูดออกมา น้ำเสียงก็ดังออกไปด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อ
“ถ้ามีข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครมาทำร้ายเมิ่งฮ่าวได้!” ปรมาจารย์เอกะเทวะแผดร้องออกมา แน่นอนว่าภายในใจ มันกำลังหัวเราะ มันอยากจะให้ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังจัดการเมิ่งฮ่าวไปอย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไปยุ่งวุ่นวายกับเจ้าสารเลวน้อยนี้ ในที่สุดมันก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ไม่มีความตั้งใจจะไล่ตามเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป จากมุมมองของมัน เมิ่งฮ่าวไม่มีทางจะหลบหนีจากไปได้ มันสามารถไล่ตามเขาไปทันไม่เร็วก็ช้า แต่สัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหน้ามันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก
อันที่จริง มันเป็นสิ่งที่หายากจนทำให้ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ไม่ต้องการจะให้มันหลุดมือไป!
“ช่างเป็นสัตว์อสูรที่จงรักภักดีอย่างน่าเหลือเชื่ออะไรเช่นนี้” มันกล่าวช้าๆ “ในชีวิตของข้า ข้าไม่เคยพบเห็นสิ่งใดๆ เช่นนี้มาก่อน!” ความชื่นชมยกย่องในดวงตามันเริ่มรุนแรงมากขึ้น ขณะที่มองไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะ พยักหน้าและยิ้มให้ “สำหรับสัตว์อสูรเช่นนี้ การไปติดตามเด็กน้อยนั่นช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง เต่าอสูร ข้าคือปรมาจารย์ตระกูลหวังรุ่นที่สิบ เจ้ายินดีที่จะเป็นผู้ติดตามข้าหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลหวัง!”
“วันที่ข้าสำเร็จกลายเป็นเซียน ข้าจะนำเจ้าขึ้นไปในสวรรค์พร้อมกับข้า!”
เมิ่งฮ่าวกำลังจะกดลงไปบนเครื่องรางนำโชค แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง เขาก็หยุดชะงักและมองกลับไป เมื่อได้เห็นภาพนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์เอกะเทวะที่กำลังสั่นสะท้าน เขาก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ
เขารู้จักปรมาจารย์เอกะเทวะเป็นอย่างดี และสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของมันก็คืออิสระ เพื่อที่จะกำจัดเมิ่งฮ่าว ปรมาจารย์เอกะเทวะอาจจะสามารถลืมเรื่องอื่นๆ ไปได้ แต่สำหรับอิสระของมัน…การพูดจาเช่นนั้นก็ราวกับจะทำให้ปรมาจารย์เอกะเทวะเกิดการต่อต้านขึ้นมา
“ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเหตุการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้” เมิ่งฮ่าวคิด “แต่ก็ดี แสดงให้มันสมจริงกว่านี้อีกเล็กน้อย เจ้าเต่าชรา ข้าอยากเห็นมากกว่านี้!”
ปรมาจารย์เอกะเทวะจ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างชั่วขณะ และจากนั้นจิตใจมันก็เริ่มเต้นรัว รู้สึกราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกมา ความบ้าคลั่งทันใดนั้นก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ
“เจ้าพูดเรื่องอันใด? เรียกข้าว่าอะไร?” มันแทบไม่อยากจะเชื่อว่า มีใครบางคนพยายามที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสัตว์ที่คอยเฝ้ายาม อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่สองที่มันได้พบกับความอัปยศเช่นนี้ ตั้งแต่ที่มันเติบโตขึ้นมา
ครั้งแรกเกิดขึ้นจากเงื้อมมือของพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร
สำหรับปรมาจารย์เอกะเทวะแล้ว ระดับของความขุ่นเคืองนี้ เกินกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้ ร่างกายมันเริ่มสั่นสะท้าน และบิดเบือนไป แต่ก็เนื่องมาจากสติสัมปชัญญะที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ทำให้มันสามารถสะกดข่มโทสะนี้ลงไปได้
“เจ้าไม่ยินดี, เต่าอสูรน้อย?” ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังกล่าว สีหน้ามันสลดลง มันได้เสนอโอกาสที่หาได้ยากยิ่งให้กับเต่าอสูรตัวนี้ กล่าวกันโดยทั่วไป ด้วยนิสัยของมันแล้ว ก็คงจะสังหารเต่าอสูรตัวนี้ไปในทันที
“สารเลว! เจ้าสิเป็นเต่าอสูร!” ปรมาจารย์เอกะเทวะมีโทสะจนต้องแผดร้องออกมา “ทุกคนในตระกูลหวังของเจ้า ต่างก็เป็นเต่าอสูร และเจ้าก็เป็นลูกเต่าสารเลว! เจ้าบังอาจจะให้ข้าเป็นผู้คุ้มกันของเจ้า!?!?” ก่อนหน้านี้ มันได้พยายามเตือนตัวเองให้อดทนอีกสักเล็กน้อย สิ่งที่มันต้องทำทั้งหมดก็คืออดทน และจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีเอง
แต่ในตอนนี้ ร่างมันเริ่มเลือนลางลงอย่างน่าเหลือเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างจริงของมันก็สั่นสะท้านอยู่เล็กน้อย ทำให้คลื่นยักษ์พลุ่งพล่านปั่นป่วนอยู่บนท้องทะเล ตามมาด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง
“ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้” ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ถ้าเจ้ายินยอมก็ดี ถ้าเจ้าไม่ยินดีก็ไม่เป็นไร เมื่อข้าตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงมันได้ ข้าจะประทับเวทผนึกไว้บนร่างเจ้า และนับจากนี้ไป เจ้าก็จะเป็นเต่าอสูรของตระกูลหวัง!” เห็นได้ชัดว่า มันรู้สึกว่าคำพูดของมันก็คือเจตจำนงแห่งสวรรค์ ราวกับเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจจะถูกทำลายลงไปได้
เมิ่งฮ่าวกำลังดีใจเป็นอย่างยิ่ง และแทบจะเริ่มหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา เขารู้ว่าตอนนี้ สามารถจากไปได้ทุกเมื่อถ้าเขาต้องการ แต่ถ้าปรมาจารย์เอกะเทวะไม่อาจจะอดทนได้ เมิ่งฮ่าวก็ยอมที่จะเสี่ยงอันตรายสักเล็กน้อย เพื่อที่จะได้เห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังกล่าวขึ้น มันก็ยกมือขวาขยับร่ายเวท ทันใดนั้นสัญลักษณ์เวทผนึกนับพันก็ปรากฏขึ้นในกลางอากาศ พวกมันหมุนวนอยู่รอบๆ ในบริเวณนั้นเพื่อก่อตัวเป็นร่างแหขนาดใหญ่ ซึ่งจากนั้นก็พุ่งตรงไปยังภาพลวงตาที่เป็นร่างเต่าของปรมาจารย์เอกะเทวะ
ร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะเลือนลางลง แต่ก็ยังคงมองเห็นโทสะของมันได้ เสียงหอบหายใจของมันราวกับเป็นเสียงระเบิด และความโกรธเกรี้ยวของมัน…ในที่สุดก็บรรลุถึงจุดที่ระเบิดออกมา!
ดวงตามันเบิกกว้าง ก่อนหน้านี้ มันพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อสะกดข่มเพลิงโทสะไว้ แต่ตอนนี้มันไม่อาจจะสะกดข่มไว้ได้แม้แต่น้อยนิด ในชั่วพริบตา…เพลิงโทสะของมันก็ระเบิดออก!
เสียงที่ดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ขณะที่ปรมาจารย์เอกะเทวะเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงแผดร้องด้วยโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
“อ๊ากกกกกกก!!” ในตอนนี้ มันไม่สนใจเมิ่งฮ่าวหรือสำนักผนึกอสูรใดๆ สิ่งที่มันสนใจก็คือเพลิงโทสะที่ลุกไหม้ อันเนื่องมาจากความไม่พอใจนี้
การถูกลบหลู่อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำให้มันคิดย้อนกลับไป ตอนที่ถูกกักขังโดยพันธมิตรผู้ผนึกอสูร ราวกับเป็นแผลเก่าที่ฉีกขาดออกมาใหม่ โทสะปรมาจารย์เอกะเทวะเต็มอยู่ในจิตใจ และมันก็แผดร้องออกมาอีกครั้ง
“บัดซบ! บัดซบ…”
“พันธมิตรผู้ผนึกอสูรก็เป็นอีกเรื่อง แต่เจ้าเด็กน้อยกระจ้อยร่อย บังอาจมาลบหลู่เหลาจู่!?!?”
ปรมาจารย์เอกะเทวะจมดิ่งลงไปในเพลิงโทสะ ทำให้มันลืมการแสดงก่อนหน้านี้ไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาเป็นสีแดงจ้า และทั่วทั้งเกาะศักดิ์สิทธิ์กำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดเป็นแผ่นดินไหวราวกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มหึมา กำลังตื่นขึ้นอยู่ที่ด้านล่างของเกาะ
ท้องทะเลที่อยู่รอบๆ ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นยักษ์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่ม ราวกับว่าทะเลในบริเวณนี้กำลังจะระเบิดออกมา
ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ลึกลงไปในความมืดมิดของทะเล มีบางสิ่งที่คล้ายกับโคมไฟน้ำมันสองดวงทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้น พวกมันเป็นสีแดงก่ำ และเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เป็นความบ้าคลั่งที่ถูกกระตุ้นโดยแผลเก่าที่กำลังฉีกขาด เป็นความบ้าคลั่งที่เกิดจากการถูกลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยาม
ตูม!
รอยแยกขนาดใหญ่แตกออกในพื้นดิน ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลง แสงเจิดจ้าแวบขึ้น และทะเลก็โหมกระหน่ำ การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทั้งหมดนี้ ทำให้สีหน้าของปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังสลดลง
แต่ก่อนที่มันจะทันได้ขยับตัวเคลื่อนไหว กลิ่นอายก็ระเบิดออกมาจากส่วนลึกในทะเล กลิ่นอายนั้นเต็มไปด้วยโทสะอันรุนแรง ทันทีที่มันปรากฏขึ้น ก็ทำให้แม้แต่อากาศยังต้องฉีกขาดออก ราวกับว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์กำลังถูกแยกออกมาจากโลกแห่งนี้
ทันทีที่ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายนี้ ใบหน้ามันก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงโดยสิ้นเชิง มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ในทันที และจากนั้นก็บินขึ้นไปในอากาศ ใบหน้าซีดขาว
“เซียน!!” มันอุทานออกมา
“นี่ก็คือกลิ่นอายของเซียน!!”
“ปราณอสูรที่เหมือนกับเซียน นี่ก็คือเจตจำนงแห่งเซียนอสูร!”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงแผดร้องอย่างลึกล้ำดังมาจากใต้ผิวดิน ทำให้พื้นสั่นไหว ภูเขาสั่นสะท้าน “เจ้าบังอาจเรียกเหลาจู่ว่าเต่าอสูร? เจ้าบังอาจจะให้ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้า?”
เสียงนั้นดังมาจากใต้พื้นดินและจากภายในทะเล น้ำทะเลพลุ่งพล่านปั่นป่วน และเริ่มหมุนอยู่รอบๆ เกาะศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่
“เจ้าบังอาจจะประทับเวทผนึกบนร่างข้า! เจ้า…คู่ควร?!”
ตูม!!
ทะเลระเบิดขึ้นไป ทำให้หยดน้ำตกลงมาราวกับเป็นห่าฝนกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง พลังอันยิ่งใหญ่ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า และในเวลาเดียวกันนั้นศีรษะขนาดใหญ่มหึมาก็เริ่มมองเห็นจากภายในแผ่นผืนของน้ำทะเล ยื่นออกมาบดบังไปทั่วทั้งท้องฟ้า มีเงาที่ใหญ่มากจนสามารถบดบังทั้งดวงตะวันและจันทรา ปกคลุมไปทั่วทุกสรรพสิ่ง!
มันเป็นศีรษะขนาดใหญ่โตของเต่า ผิวหนังมันปกคลุมไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น มีสีดำสนิทและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมันอ้าปากขึ้น ก็มองเห็นฟันสีเหลืองที่แหลมคม จากนั้นก็เป็นดวงตา ซึ่งดูเหมือนจะดูเลือนลางในตอนแรก แต่จากนั้นก็มองเห็นเพลิงโทสะที่อยู่ในแววตาได้อย่างชัดเจน
นี่ก็คือ…ศีรษะของร่างจริงปรมาจารย์เอกะเทวะ!!
พลังที่ยากจะอธิบายออกมาได้ พุ่งขึ้นมาจากร่างปรมาจารย์เอกะเทวะ กลิ่นอายมันกระจายออกมา ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง บังคับให้ตัวเองหมุนไปรอบๆ อย่างช้าๆ จากนั้นก็มองเห็นศีรษะขนาดใหญ่อย่างยากจะอธิบายออกมาได้เต็มอยู่ในท้องฟ้า
มันอ้าปากค้าง จิตใจเต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง ดวงตาเบิกกว้าง เต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจไม่อยากจะเชื่อ
ทันใดนั้นมันก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมคู่ต่อสู้ของมันถึงได้ยอมสูญเสียแก่นชีวิตอย่างไร้ค่าเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะว่า แก่นชีวิตของมัน…มีมากมายจนน่าเหลือเชื่อ…
“เจ้า…” ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังตะกุกตะกัก หนังศีรษะด้านช้า ขนลุกตั้งชี้ชัน หลายปีมาแล้วที่มันทะยานไปทั่วทั้งดาวหนานเทียน แต่ก็ไม่เคยเห็นสัตว์อสูรที่น่าหวาดกลัวและน่าตกใจเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าต้องการให้เหลาจู่เป็นผู้พิทักษ์ของเจ้า?” ปรมาจารย์เอกะเทวะแผดร้องคำรามอย่างมีโทสะ เสียงของมันราวกับเป็นเสียงฟ้าผ่า เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ภูเขามากมายนับไม่ถ้วนบนเกาะศักดิ์สิทธิ์พังทลายลงไป และคลื่นขนาดใหญ่ก็ม้วนตัวออกไปทั่วท้องทะเล
ปรมาจารย์ตระกูลหวังตระเกียกตระกายถอยไปด้านหลังหลายก้าว เสียงแผดร้องของปรมาจารย์เอกะเทวะเมื่อครู่นี้ ทำให้มันกระอักโลหิตออกมากองโต ใบหน้าซีดขาวโดยสิ้นเชิง
มันหอบหายใจ คิดย้อนกลับไปในสิ่งที่มันพูดเกี่ยวกับให้คู่ต่อสู้ของมันมาเป็นผู้พิทักษ์ จากนั้นมันก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เห็นได้ชัดว่า มันไม่มีคุณสมบัติที่จะให้เซียนอสูรมาเป็นผู้พิทักษ์ได้เลยแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโส ได้โปรดระงับโทสะ” มันกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว ถอยไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง “ทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดทั้งสิ้น”
“เข้าใจผิดท่านย่าเจ้าสิ!” ปรมาจารย์เอกะเทวะแผดร้องคำราม กลายเป็นเสียงกระหึ่มดังกึกก้องไปมา ทำให้ท้องทะเลส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับเป็นเสียงคำรามมากมายนับไม่ถ้วนของปรมาจารย์เอกะเทวะในเวลาเดียวกัน แต่จากนั้นมันก็กล่าวว่า “ให้เหลาจู่มอบโชคบางอย่างให้กับเจ้าเถอะ!”
นี่เป็นครั้งที่สอง ที่เมิ่งฮ่าวได้เห็นร่างจริงของปรมาจารย์เอกะเทวะ ซึ่งน่าตกใจเหมือนก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นก็คิดย้อนกลับไปตอนที่เขาได้ระบายโทสะ ไปที่ปรมาจารย์เอกะเทวะในเจดีย์เซียนอสูร และเขาก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แต่จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาสามารถผูกมัดปรมาจารย์เอกะเทวะไว้ด้วยคัมภีร์ผนึกอสูร ทำให้จิตใจเยือกเย็นลงเล็กน้อย
ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวได้ยินคำว่า ‘โชคบางอย่าง’ และดวงตาก็เริ่มสาดประกายเจิดจ้า เขาเริ่มถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะจากไป