ตอนที่ 750
ผนึกกรรม!
อมนุษย์นับร้อย ซึ่งมีร่างเป็นอสูรพุ่งตรงมา ความเคลื่อนไหวของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพื้นฐานฝึกตนก็พุ่งทะยานสูงขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
ท่ามกลางพวกมันมีผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งอยู่สี่คน ซึ่งกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ตอนนี้พวกมันมีความสูงสิบจ้าง พร้อมกับพื้นฐานฝึกตนที่เหมือนกับขั้นตัดวิญญาณ!
หลังจากที่กลายร่าง ผู้ฝึกตนที่อ่อนแอมากที่สุดซึ่งอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ ได้กลายเป็นขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งไป
พลังที่สามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ ถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุดของสำนักหรือตระกูลใดๆ เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกในช่วงการต่อสู้ อันที่จริงด้วยความสามารถเช่นนี้ ก็สามารถที่จะเปลี่ยนจุดสมดุลย์ของพลังในการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสี่ผู้ฝึกตนขั้นตัดวิญญาณ ในตอนนี้ผู้ฝึกตนขั้นค้นหาเต๋าที่ยังเหลืออยู่ในดินแดนด้านใต้ไม่ยอมที่จะเปิดเผยตัวตนออกมา ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนตัดวิญญาณจะกระทืบเท้าลงไป ก็ยังสามารถทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่ยวายใหญ่โตได้
ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น และที่ด้านหลัง รังสีสังหารของศิษย์สำนักเซี่ยเยานับหมื่นก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน พวกมันมายังที่แห่งนี้เพื่อล้างแค้น เมื่อมาพบกับกลุ่มคนที่มาปิดล้อมและโจมตีมา สีหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยความต้องการสังหาร หรือความต้องการจะกลืนกินขึ้นในทันที
มีอยู่สองทางเลือกนี้เท่านั้น
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่ง ขณะที่มองไปยังกลุ่มคนนับร้อยที่กำลังพุ่งตรงมา เขาไม่ได้โจมตีพวกมันด้วยตนเอง แต่โบกสะบัดชายแขนเสื้อและกล่าวเสียงราบเรียบ “กำจัดพวกมัน”
ทันใดนั้น เสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในอากาศที่ด้านหลัง
“ตาย!” ศิษย์สำนักเซี่ยเยาแผดร้องคำราม ฉับพลันนั้นผู้ฝึกตนนับหมื่นก็ปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทออกมา เพียงชั่วพริบตา ระลอกคลื่นสีสดใสก็ระเบิดออกไปทั่วทุกทิศทาง เวทของพวกมันคล้ายกับเป็นอุทกภัยที่ม้วนกวาดไปทั่วในอากาศ
กลุ่มหมอกส่งเสียงดังกระหึ่มและกระจัดกระจายออกไป ผู้คนนับร้อยที่อยู่ภายในกลุ่มหมอกถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นกลุ่มหมอกของโลหิตและชิ้นเนื้อ ยกเว้นผู้ฝึกตนตัดวิญญาณทั้งสี่คนนั้น
นี่คือผลลัพธ์จากการรวมพลังกันของผู้ฝึกตนนับหมื่น ผู้ฝึกตนที่กลายร่างแปลกๆ นับร้อยของสำนักชิงหลัว ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะกลายเป็นกองกำลังหลักของสำนักใดๆ ก็ตามที แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานแม้แต่การโจมตีมาเพียงแค่ครั้งเดียวของศิษย์สำนักเซี่ยเยาได้
เสียงกระหึ่มดังก้องออกไป และโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปากของสี่ศัตรูขั้นตัดวิญญาณ ซึ่งเพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมาจากวิญญาณแรกก่อตั้ง อย่างไรก็ตามพวกมันก็ไม่ได้เกรงกลัวต่อความตาย และไม่ได้กระทำสิ่งใดๆ ที่จะหลบหนี แต่กลับพุ่งตรงมาด้วยความบ้าคลั่ง และจากนั้น…ก็เลือกที่จะระเบิดตัวเองไป
เปลวไฟระเบิดออกมาจากผิวหนังของพวกมัน และแรงกดดันอันน่าตกใจก็กระจายออกมาจากร่างพวกมัน ลำแสงเจิดจ้ามากมายนับไม่ถ้วนสาดประกายออกมา ขณะที่พวกมันเตรียมตัวจะระเบิดตนเองขึ้น
สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่สี่ผู้ฝึกตนตัดวิญญาณที่คล้ายกับอสูรทำการระเบิดตนเอง ในตอนนี้เองที่ร่างจริงที่สองของเขาได้ปรากฏขึ้น ยกมือขวาขึ้นมา กางนิ้วออก และผลักออกไปข้างหน้า
เสียงระเบิดขนาดใหญ่ได้ยินมา ขณะที่สี่อสูรระเบิดออก พลังที่กลายเป็นแรงโจมตีได้ทำให้กลุ่มหมอกม้วนตัวไปมา และอากาศก็แยกออกจากกัน กลุ่มเมฆรูปร่างเห็ดหลากสีเริ่มพุ่งขึ้นไป ภายในเป็นละอองโลหิตและชิ้นเนื้อ รวมทั้งพลังทำลายล้างอันน่าเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตามพลังโจมตีของกลุ่มเมฆรูปเห็ดก็ไปปะทะกับร่างจริงที่สองของเมิ่งฮ่าว
ขณะที่เผชิญหน้ากับกลุ่มเมฆรูปเห็ด ร่างจริงที่สองก็ค่อยๆ กำมือจนกลายเป็นหมัดขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่ทำเช่นนั้น กลุ่มเมฆรูปเห็ดก็หยุดการขยายตัว และจากนั้นก็เริ่มหดเล็กลงไป
ในตอนที่มือของร่างจริงที่สองกำเป็นหมัดไปเรียบร้อยแล้ว พลังการทำลายล้างของการระเบิดตนเอง ซึ่งกลายเป็นกลุ่มเมฆรูปเห็ดก็ถูกสะกดลงไปโดยสิ้นเชิง
ร่างจริงที่สองกำหมัดจนแน่นอย่างรุนแรง และเสียงระเบิดก็ได้ยินมา การทำลายล้างของกลุ่มเมฆรูปเห็ด…จางหายไปจนหมดสิ้น
ภาพที่เกิดขึ้นนี้ทำให้จิตวิญญาณของศิษย์สำนักเซี่ยเยาฟูฟ่องขึ้นมาในทันที สำหรับผู้ฝึกตนดินแดนด้านใต้นับแสนที่อยู่ด้านหลังห่างไกลออกไป ใบหน้าพวกมันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ อ้าปากค้างไปตามๆ กัน
“ร่างจำแลงของเจ้าสำนักน้อยเซี่ยเยาจง…ช่าง…ช่างน่า…กลัวอย่างแท้จริง!”
“พลังการระเบิดตนเองของสี่ผู้ฝึกตนตัดวิญญาณ ถูกบดขยี้ลงแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น!”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมการรวมกำลังกันโจมตีของสี่กองกำลังอันยิ่งใหญ่ ถึงไม่อาจจะทำให้สำนักเซี่ยเยาพ่ายแพ้ลงไปได้ ไม่เพียงแต่เท่านี้ พวกมันยังได้ปิดผนึกตนเองจากโลกภายนอก หลังจากที่สงครามจบลงอีกด้วย! สำนักเซี่ยเยา…ช่างแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”
ในตอนที่ผู้ฝึกตนนับร้อยพ่ายแพ้ไป กลุ่มหมอกก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน จากนั้นก็เริ่มพุ่งขึ้นไปในกลางอากาศ กลายเป็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่ยืนด้วยสองขา และดูคล้ายกับหมีดำ
มันมีรูปลักษณ์ที่ดุร้ายโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะไม่มีเขา แต่เขี้ยวขนาดใหญ่ของมันก็น่าตกใจยิ่ง กลุ่มหมอกม้วนตัวไปมาอยู่รอบๆ ร่าง ขณะที่มันส่งเสียงคำราม และจากนั้นก็พุ่งตรงมายังกลุ่มศิษย์สำนักเซี่ยเยา ดวงตาเป็นสีแดงจ้า
แรงกดดันอันน่าตกใจกระจายออกมาจากสัตว์อสูรกลุ่มหมอก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้กระจายกฎแห่งธรรมชาติใดๆ ออกมา แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ว่ามันอยู่ในขั้นค้นหาเต๋า
ขณะที่กลุ่มหมอกรวมตัวกันเป็นสัตว์อสูร เก้าสิบเก้าขุนเขาของสำนักชิงหลัวก็ปรากฏขึ้น และที่ตรงจุดศูนย์กลาง ก็มองเห็นรอยแตกอยู่บนพื้นดิน ซึ่งมีกลุ่มหมอกสีดำกระจายออกมาจากรอยแตกนั้น
ลึกลงไปภายในรอยแตก เป็นเงาร่างที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นก่อนหน้านี้
“ผู้พิทักษ์กฎข้างซ้าย สังหารเจ้าสัตว์อสูรกลุ่มหมอกนี้” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ที่อยู่ข้างซ้ายมือของเขาคือสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นปรมาจารย์สำนักจินหาน ดวงตามันเป็นสีโลหิตขณะที่ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล ตรงไปยังกลุ่มหมอกสัตว์อสูร และยกมือขึ้นมา ภูเขาลูกน้อยๆ ปรากฏขึ้น นี่ก็คือมรดกวิเศษอันล้ำค่าของสำนักจินหาน
“ผู้พิทักษ์กฎข้างขวา ไปสังหารเจ้าสารเลวที่หลบซ่อนอยู่ในรอยแยกนั่น” ร่างจำแลงโลหิตที่ก่อตัวขึ้นมาจากปรมาจารย์รุ่นสามตระกูลหลี่พุ่งตรงไป ความกระหายเลือดสาดประกายอยู่ในดวงตา หลัวผานที่เป็นมรดกวิเศษอันล้ำค่าของตระกูลหลี่ หมุนวนอยู่รอบๆ ร่าง ขณะที่มันมุ่งหน้าตรงไปยังรอยแยกในพื้นดิน
เสียงระเบิดดังก้องออกมา ขณะที่เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่กลางอากาศ ไม่ได้เข้าไปร่วมการต่อสู้ แค่ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าของเขาทั้งสอง ก็เพียงพอที่จะกวาดล้างไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ และสังหารทุกสิ่งทุกอย่างไป
สำหรับสำนักเซี่ยเยาแล้ว การรวบดินแดนด้านใต้ให้กลายเป็นหนึ่งเดียว ถือได้ว่าเป็นงานที่ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวมีความตั้งใจที่จะกระทำให้จงได้ เพิ่มแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อไปยังทุกสำนักและตระกูลต่างๆ ในดินแดนด้านใต้ และรวบรวมดินแดนทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในท้องฟ้าขณะที่กลุ่มหมอกสัตว์อสูร ไม่อาจจะต่อต้านความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์สำนักจินหานได้ พ่ายแพ้ไปเพียงแค่เวลาเจ็ดถึงแปดลมหายใจเท่านั้น สุดท้ายมันก็ระเบิดออก กลายเป็นกระแสหมอกมากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นก็กระจัดกระจายหายไปในทั่วทุกทิศทาง
ที่ใต้พื้นดิน เสียงระเบิดดังก้องออกมา ตามมาด้วยเสียงแผดร้องอย่างมีโทสะ ซากศพที่สวมใส่ชุดจักพรรดิในตอนนี้ กำลังต่อสู้กับปรมาจารย์รุ่นสามตระกูลหลี่ ระลอกคลื่นขั้นสูงสุดค้นหาเต๋ากระจายออกมาจากร่างซากศพนั้น
ขณะที่คนทั้งสองต่อสู้กันไปมา พื้นดินก็สั่นสะเทือน และรอยแยกก็เปิดออกกว้างมากขึ้นกว่าเดิม เสียงแผดร้องอย่างมีโทสะของซากศพเริ่มดังมากขึ้น และจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ชี้นิ้วไป ส่งปรมาจารย์สำนักจินหานเข้าไปในรอยแยกเพื่อเข้าร่วมต่อสู้ ตอนนี้กลายเป็นสองรุมหนึ่ง!
การต่อสู้ดำเนินต่อไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หลังจากที่ธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก ซากศพที่แห้งกรังก็พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งเสียงแผดร้องอย่างมีโทสะและไม่พอใจ ตะโกนออกมา “เมิ่งฮ่าว…เจ้าไปได้แล้ว! ข้าจะไม่สนใจว่าเจ้าเป็นผู้ผนึกอสูรอีกต่อไป เจ้าและข้าต่างคนต่างอยู่ เป็นอย่างไร!?”
“ถ้าพวกเรายังคงต่อสู้กันเช่นนี้ เจ้าอาจจะชนะ แต่คนของเจ้าคนใดคนหนึ่งจะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง หรืออาจจะถูกสังหารไปเลยก็ได้! บอกให้พวกมันหยุดได้แล้ว เจ้าจะว่าอย่างไร?”
“เจ้าไม่สนใจว่าข้าเป็นผู้ผนึกอสูร?” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ “แต่ข้าสน!” ดวงตาร่างจริงที่สองของเขาสาดประกายขึ้น ขณะที่ก้าวเท้าตรงไป ทันใดนั้นมันก็เคลื่อนย้ายทางไกลย่อยเข้าไปในรอยแตกนั้น เพียงชั่วพริบตา เสียงระเบิดราวกับเสียงฟ้าผ่าก็ได้ยินมาจากด้านในมากขึ้น
ซากศพที่แห้งกรังส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจออกมา พื้นดินสั่นสะเทือน และรอยแยกก็เลื้อยออกไปทั่วทั้งพื้นดินมากขึ้น แม้แต่ภูเขาบางลูกก็ยังเริ่มพังทลายลงมา
ทั่วทั้งสำนักชิงหลัวตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัว ภูเขากำลังพังครืนลงมา และพื้นดินก็กำลังแยกออกเป็นส่วนๆ ราชวังอันยิ่งใหญ่และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อเร็วๆ นี้กำลังแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในตอนนี้
ปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ปราฏขึ้น จากนั้นก็เริ่มกลืนกินเก้าสิบเก้าขุนเขาเข้าไป สี่ลำแสงพุ่งออกมาจากภายใน หนึ่งอยู่หน้าอีกสามติดตามมา ซากศพแห้งกรังเป็นผู้นำ โลหิตไหลออกมาจากปากมัน ทั่วทั้งร่างมีแต่บาดแผลที่ฉีกขาดรุ่งริ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจขณะที่หลบหนีไป ด้านหลังมันเป็นร่างจริงที่สองของเมิ่งฮ่าวและสองผู้พิทักษ์กฎ
ทั้งสามรวมพลังกันโจมตีจนเกิดผลอย่างน่าตกใจ ทำให้ซากศพที่แห้งกรังยากที่จะหลบหนีไปได้ ลอยละลิ่วปลิวฝ่าอากาศไป แต่กระนั้นร่างจริงที่สองก็ไปปรากฏขึ้นที่ด้านข้าง กระบี่ไม้แห่งกาลเวลาสาดประกายเจิดจ้า ซากศพร่างแห้งกรังรู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
ขณะที่ทั้งสามเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นดวงตาของซากศพร่างแห้งกรังก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง มันยกมือขวาขึ้น และฉีกหน้าอกให้กลายเป็นรู เผยให้เห็นอวัยวะภายในที่แห้งเหี่ยว อย่างน่าตกใจยิ่งตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจของมัน มีภูติตัวน้อยๆ สีดำอยู่
ภูติสีดำนั้นมีสามตา ไม่มีจมูก และมีปากที่กว้างใหญ่ มันมีขนาดใหญ่ขึ้นจนเท่ากับหัวใจ ตาทั้งสามของมันลืมขึ้นมาเผยให้เห็นแสงที่แปลกๆ ทันใดนั้นมันก็บินขึ้นไปในอากาศ หลังจากที่ซากศพแห้งกรังสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าพลังชีวิตทั้งหมดของมันถูกดูดออกไปจนหมดสิ้น และมันก็ตกตายไป
ขณะที่ซากศพแห้งกรังตายไป ภูติน้อยก็พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ลอยตัวอยู่ที่นั่น มองลงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้ายและเกลียดชัง เห็นได้ชัดว่า มันกำลังจดจำภาพของเมิ่งฮ่าวไว้ในความทรงจำของมัน
เมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ประหลาดใจด้วยเช่นเดียวกัน ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างซากศพแห้งกรัง จะเป็นภูติน้อยที่แปลกประหลาดเช่นนี้?
“ผู้ผนึกอสูร…” ภูติน้อยกล่าว ด้วยเสียงที่แหลมเล็ก “ในฐานะของจักรพรรดิ ข้าจะไม่มีทางลืมเรื่องนี้ ไม่เร็วก็ช้า ข้าจะทำให้เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมา! สำหรับตอนนี้…ข้ากำลังจะไปแล้ว ไม่มีใครสามารถมาหยุดข้าได้!” ด้วยเช่นนั้น มันก็มองขึ้นไป เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมตัวจะพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ผู้พิทักษ์กฎซ้ายและขวา ปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกมา เพื่อไปขัดขวางมัน อย่างไรก็ตาม ภูติน้อยสีดำก็ยิ้มอย่างเย้ยหยัน และไม่หลีกเลี่ยงความสามารถศักดิ์สิทธิ์นั้น แต่กลับพุ่งทะลุผ่านพวกมันไปตรงๆ และไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ร่างจริงที่สองของเมิ่งฮ่าวแค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นก็โจมตีไป สัญลักษณ์เวทก่อตัวขึ้นเป็นร่ม กระจายแสงเจิดจ้าออกมา ม่านตาของภูติน้อยหดเล็กลง แผดร้องเสียงแหลมเล็กออกมา ฉับพลันนั้นกลุ่มหมอกสีดำจำนวนมากก็ไหลออกมาจากร่างมัน และพุ่งตรงไปยังร่มนั้น
เสียงระเบิดดังก้องออกไป ขณะที่ร่มแห่งสัญลักษณ์เวทพังทลายลงกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลุ่มหมอกของภูติน้อยละลายหายไป เหลือไว้แต่สีดำจางๆ แต่ตอนนี้มันได้ไปอยู่ตรงจุดที่สูงขึ้นไปในท้องฟ้า จ้องมองกลับลงมายังเมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็หันหลังบินจากไป
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ขณะที่เขารับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของมัน เขาไม่มั่นใจว่าภูติน้อยสีดำนี้มาจากไหน แต่ก็มีบางสิ่งเกี่ยวกับมันที่ทำให้เขารู้สึกว่าเต็มไปด้วยอันตรายอันร้ายแรง
“ข้าต้องไม่ปล่อยให้มันหลบหนีจากไปได้!” เขาคิด มือขวาพุ่งขึ้นไปในอากาศ และชี้นิ้วตรงไปยังภูติน้อย
ผนึกอสูรเวทรุ่นแปด!
ตูม!
ทันใดนั้นภูติน้อยก็หยุดชะงักนิ่ง แต่ก็เพียงชั่วขณะเท่านั้นที่มันดิ้นรนจนหลุดเป็นอิสระ เสียงแหลมเล็กของมันดังก้องออกมาอีกครั้ง “เจ้าต้องการจะผนึกข้า? พื้นฐานฝึกตนของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ!”
เมื่อได้เห็นคู่ต่อสู้กำลังจะหายตัวไป เมิ่งฮ่าวก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ทำให้จิตใจเยือกเย็นลง ยื่นมือขวาขึ้นไปในท้องฟ้า และจากนั้นก็ทำท่าสับลงไป
จิตใจเขาในตอนนี้ปราศจากสิ่งใดๆ ยกเว้นกรรม
เวทผนึกอสูรรุ่นเจ็ด
ผนึกกรรม!