ตอนที่ 759
ดินแดนทางเหนือรวมพล
ตระกูลหลี่ถูกทำลายล้างไป
ไม่มีสมาชิกแม้แต่คนเดียวที่จะหนีรอดไปได้ ทั้งหมดถูกสังหารไป เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะทำอะไรเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้ได้ ศิษย์สำนักเซี่ยเยาได้ตายไปเกือบเจ็ดในสิบส่วน ถึงแม้ว่าจะมีความเย็นชาต่อกันระหว่างศิษย์ในสำนัก แต่นี่ก็คือสงคราม เมื่อศิษย์ร่วมสำนักได้ตายไป ผู้รอดชีวิตก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อล้างแค้น
ความต้องการล้างแค้นได้ครอบงำปกคลุมไปทั่ว!
สำนักอีเจี้ยนเป็นสำนักแรกที่ยอมจำนน ดังนั้นศิษย์สำนักเซี่ยเยาจึงได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน
เพราะว่าสหายสนิทของเจ้าสำนักน้อยเป็นศิษย์สำนักจินหาน พวกมันจึงต้องอดทนเพื่อความอยู่รอด
แต่สำหรับตระกูลหลี่ พวกมันไม่อาจจะกล้ำกลืนได้อีกต่อไป บางทีศิษย์สำนักเซี่ยเยาอาจจะไม่ได้เกลียดชังตระกูลหลี่มากกว่าคนอื่นๆ แต่พวกมันก็จำเป็นต้องสังหาร พวกมันต้องการจะล้างแค้น พวกมันจำเป็นต้องระบายความคิดที่ถูกครอบงำนั้นออกมา
ตระกูลหลี่ถูกล้างด้วยแม่น้ำแห่งโลหิต ครั้งหนึ่งที่ตระกูลนี้เคยโอ่อ่าเกรียงไกร ตอนนี้ได้กลายเป็นซากปรักหักพัง หลายปีนับจากนี้ไป ในที่สุดตระกูลนี้ก็จะกลายเป็นสถานที่อันแห้งแล้งเต็มไปด้วยฝุ่นผงเถ้าธุลี
แน่นอนว่า ยังมีมนุษย์ธรรมดาอยู่มากมายในสำนักงานใหญ่ของตระกูลหลี่ และสำนักเซี่ยเยาก็ไม่ได้จมลงไปจนถึงระดับที่สามารถสังหารหมู่คนธรรมดาทั่วไปได้ ดังนั้นพวกมันจึงมีชีวิตรอดต่อไป
ในที่สุด ศิษย์สำนักเซี่ยเยาก็จากไป กลับไปยังสำนักเซี่ยเยา และการสังหารครั้งสุดท้ายก็จบลงไปในดินแดนด้านใต้ ความเงียบสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง และผู้ฝึกตนดินแดนด้านใต้ทั้งหมดต่างก็รู้ดีว่า…นับจากนี้ไป สำนักเซี่ยเยาไม่เพียงแต่จะเป็นสำนักอันดับหนึ่งในดินแดนด้านใต้เท่านั้น แต่พวกมันยังได้เป็น…ผู้นำของดินแดนแถบนี้อีกด้วย!
ไม่มีพลังใดๆ จะสามารถต่อต้านพวกมันได้ ตอนนี้สำนักเซี่ยเยามี…ผู้ฝึกตนขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าถึงสี่คน!
ปรมาจารย์อสูรโลหิต, ปรมาจารย์จินหาน, ปรมาจารย์รุ่นสามตระกูลหลี่ และคนที่สี่ก็คือ ร่างจำแลงของเมิ่งฮ่าว!
ด้วยการมีผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าถึงสี่คน ทำให้สำนักเซี่ยเยามีพลังที่จะกวาดล้างไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้อย่างไม่จำกัด แม้แต่สำนักอันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนด้านใต้ พวกมันก็ยังสามารถจะไปเทียบเปรียบได้
ยิ่งไปกว่านั้น ระดับพลังที่พวกมันเพิ่งจะแสดงออกมา เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายของก้อนน้ำแข็งเท่านั้น
หลังจากที่กวาดล้างตระกูลหลี่ออกไป ดินแดนด้านใต้ก็กลับมาสงบเงียบมั่นคงขึ้นอีกครั้ง แต่โชคร้ายที่จำนวนผู้ฝึกตนทั้งหมดในดินแดนแห่งนี้ ได้ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน แม้แต่บางพื้นที่ก็จะเห็นได้ว่าว่างเปล่าไร้ผู้คน
เมิ่งฮ่าวไม่ได้กลับไปยังสำนักเซี่ยเยาในทันที ตอนแรก เขาไปยังสำนักจื่อยิ่น ซึ่งแน่นอนว่าได้ทำให้ทั่วทั้งสำนักตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เมื่อเขาไปถึงด้านนอกของประตูหลัก ก็มองขึ้นไปอย่างเงียบๆ ยังรูปปั้นขนาดใหญ่ของจื่อตงเจินเหริน
สำนักจื่อยิ่นเงียบไปชั่วขณะ และจากนั้นแผนกเม็ดยาบูรพา และแผนกปราณม่วงก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับพิธีการที่เคร่งขรึมจริงจัง เมิ่งฮ่าวมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่มากมาย และเขาก็ถอนหายใจออกมา
เขาไม่ได้ตั้งใจจะมายังสำนักจื่อยิ่นเช่นนี้ การพบกันในลักษณะนี้…ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า
เจ้าสำนักจื่อยิ่นที่แก่ชราก้าวเดินตรงมา เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยกับชายชราผู้นี้เป็นอย่างดี มันมีท่าทางวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ขณะที่ประสานมือและกล่าวว่า “เจ้าสำนักน้อย การมาเยือนของท่านทำให้กับสำนักอันต่ำต้อยของพวกเรามีสง่าราศรีขึ้นเป็นอย่างมาก เชิญเข้ามา!”
แผนกปราณม่วง และแผนกเม็ดยาบูรพาก็ให้การต้อนรับเช่นเดียวกัน ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้นเป็นผู้อาวุโสของสำนัก ซึ่งได้ระบุว่าเมิ่งฮ่าวเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อเมื่อหลายปีก่อน เขามองเห็นเทพกระถางม่วงหลินไห่หลงและอันจ้ายไห่ รวมทั้งชายชราที่เขาเคยยุ่งเกี่ยวด้วยในตอนที่อยู่ในแคว้นจ้าว, อู๋ติงชิว
พวกมันทั้งหมดเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว และประสานมือขึ้นด้วยความนับถือ
หานเสวี่ยชาน ก็มาปรากฏตัวขึ้นด้วย แต่ไม่เห็นฉู่อวี้เยียน
ความเคารพที่สำนักจื่อยิ่นแสดงออกมาต่อเขา ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องแอบถอนหายใจอยู่ภายใน เขาพูดขอให้พวกมันไม่ต้องปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่โชคร้ายที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงบรรยากาศที่อยู่รอบๆ ตัวได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักชิงหลัว, สำนักอีเจี้ยน, สำนักจินหาน และตระกูลหลี่ ได้ปลูกฝังความหวาดกลัวลงไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ ได้กลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับเป็นแรงกดดันที่รับรู้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งกระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว
เขาบอกได้ว่าอู๋ติงชิวกำลังวิตกกังวล และรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่อยู่ในจิตใจของอันจ้ายไห่ และเทพกระถางม่วงคนอื่นๆ แม้แต่หานเสวี่ยชานก็ดูเหมือนจะฝืนใจที่จะเข้ามาใกล้เขา
ยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยอื่นๆ อีก แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันทั้งหมด เห็นได้ชัดว่า กลิ่นอายสังหารของเขาเข้มข้นเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไป ป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามาใกล้…เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ จิตใจกำลังเสียวแปลบด้วยความเจ็บปวด
“หลังจากใครบางคนแข็งแกร่งมากขึ้น จำเป็นต้องแยกออกจากบุคคลที่มันเคยรู้จัก…?” เมิ่งฮ่าวคิด ทันใดนั้นก็รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นเป็นอย่างมาก เป็นความรู้สึกที่ต้องแยกตัวออกมาจากสหายที่อยู่รอบกาย ฉับพลันนั้นก็ตระหนักว่ากำลังอยู่คนเดียวในโลกที่กว้างใหญ่นี้
เมิ่งฮ่าวคิดไปถึงเฉินฝาน และเจ้าอ้วน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขายังได้คิดไปถึงผู้อาวุโสโอวหยาง และเจ้าสำนักเหอลั่วฮว๋าแห่งสำนักเอกะเทวะ ขึ้นมาอีกด้วย ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา เมิ่งฮ่าวไม่เคยได้พบกับคนทั้งสองอีกเลย
ด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับเป็นทั้งสหายและคนแปลกหน้า เมิ่งฮ่าวได้เข้าไปในสำนักจื่อยิ่น
โดยปกติแล้ว ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าแห่งสำนักจื่อยิ่น ไม่เคยจะปรากฏตัวต่อสาธารณชนมาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเมิ่งฮ่าวมาถึง มันก็โผล่ออกมาจากการนั่งเข้าฌาณตามลำพัง
มันเป็นบุรุษวัยกลางคน ที่กระจายบรรยากาศราวเทพเซียนอันเก่าแก่โบราณออกมา มีรูปร่างผอมแห้ง และประกายตาก็ไม่ได้เจิดจ้า แต่กลิ่นอายขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าของมันไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย มันมองออกมาจากภายในวิหาร มองดูเมิ่งฮ่าวเข้ามาใกล้พร้อมกับกลุ่มผู้ฝึกตนสำนักจื่อยิ่นที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ ตัวเขา
“สหายเต๋าเมิ่ง, เชิญนั่ง” พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ มันโบกสะบัดมือ ทำให้โต๊ะยาวปรากฏขึ้นตรงจุดกึ่งกลางห้องโถงหลักของวิหารในทันที มองเห็นสุราและผลไม้ลมปราณอยู่บนโต๊ะ และที่ด้านข้างห่างออกไป มีเงาร่างลอยตัวอยู่กลางอากาศกำลังเล่นดนตรีอยู่
สมาชิกสำนักจื่อยิ่นที่เหลืออยู่ต่างก็หยุดยืนอยู่ที่ด้านนอกของห้องโถงหลัก พวกมันประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ จากนั้นก็เดินจากไปอย่างช้าๆ ในที่สุดก็เหลือแต่เมิ่งฮ่าวและบุรุษวัยกลางคนแค่สองคน
“ท่านปรมาจารย์ จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้” เมิ่งฮ่าวกล่าว
“ท่านคือแขก สหายเต๋า” มันกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ถึงแม้ว่าท่านจะเคยเป็นศิษย์ของสำนักจื่อยิ่น แต่ตอนนี้ท่านได้มาในลักษณะนี้ แล้วข้าจะไม่เลี้ยงต้อนรับได้อย่างไร? โปรดเชิญนั่ง”
เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าตรงไป และจากนั้นก็นั่งลงไปที่เก้าอี้ บุรุษวัยกลางคนนั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับรอยยิ้ม
“เหล่าฟูซุนเทา จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ปรมาจารย์ เป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดการปรุงยาเท่านั้น ท่านจึงไม่จำเป็นต้องเรียกว่าปรมาจารย์ อันที่จริงถ้าจะให้ถูกต้อง…ข้าควรจะเรียกท่านว่าเสียวจู่ (เจ้านายน้อย) มากกว่า” มันหัวเราะขึ้น จากนั้นก็รินสุราให้กับเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมองไปยังมันด้วยความตกตะลึง
“ในอดีต ข้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดการปรุงยาของจื่อตงเจินเหริน” ซุนเทามองมายังเมิ่งฮ่าวชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น”
ในตอนนี้ ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น
“ท่านไม่จำเป็นต้องถามคำถามที่อยู่ในใจออกมา” ซุนเทากล่าวต่อไป “ข้ารู้ว่าทำไมท่านถึงได้มายังที่นี่ น่าเสียดายที่อาจารย์ของท่านได้เข้าฌาณตามลำพัง และไม่อาจจะออกมาได้…”
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน เหตุผลที่เขามายังสำนักจื่อยิ่นก็เพราะว่า ต้องการจะเข้าพบท่านอาจารย์ คนทั้งสองได้แยกจากกันมานานหลายปี แต่เขาก็ไม่เคยจะลืมการโขกศีรษะทั้งสามครั้งนั้น
“อาจารย์ของท่านได้ส่งข้ามา เพื่ออธิบายต่อท่านบางอย่าง” ซุนเทากล่าวต่อไป “เมื่อฝึกตน…ก็จำเป็นต้องฝึกฝนจิตใจ!”
“ตราบเท่าที่จิตใจอยู่ที่นั่น ก็ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นสีแดงหรือสีดำ เจตจำนงของท่านจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากที่สุด เจตจำนงก็เหมือนกับเป็นใบมีด และใบมีดนั้น…ก็สามารถใช้ตัดวิญญาณครั้งที่สามของท่านได้ ไม่จำเป็นต้องสับสนใดๆ”
“ชีวิตก็คือลำดับขั้นของการตัดสินใจ ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะถูกต้องหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือการพยายามมุ่งหน้าต่อไป อีกหลายปีหลังจากนั้น เมื่อมองย้อนกลับมา ท่านก็อาจจะพบว่าการตัดสินใจที่ผิดพลาดไปนั้น…จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ผิดพลาดเลย เช่นเดียวกัน การตัดสินใจที่ถูกต้อง…ก็อาจจะไม่ถูกต้องอย่างแท้จริง”
“ทำไมต้องดิ้นรนด้วยความขุ่นมัว? ทำไมต้องสับสน? ข้อสรุปทั้งหมดนี้…จะเกิดขึ้นจากการมุ่งหน้าตรงไปเท่านั้น”
“เดินตามไปด้วยเหตุผลนี้ ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ความผิดพลาด’ แล้วจะมี ‘ความถูกต้อง’ ได้อย่างไร? เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี ‘ความถูกต้อง’ แล้วจะมี ‘ความผิดพลาด’ ได้อย่างไร?”
“อีกเรื่องหนึ่ง” ซุนเทากล่าว จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว “เต๋าแห่งการปรุงยาเป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่ อาจารย์ของท่านต้องการให้ข้าเตือนท่านว่า อย่าได้ละทิ้งมันไป ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มีประโยชน์มากนักในการฝึกตนของท่านในดินแดนแห่งดาวหนานเทียนนี้ แต่เส้นทางในอนาคตของท่าน…จะนำท่านให้ไกลออกไปจากที่แห่งนี้”
“เมื่อถึงเวลานั้น เต๋าแห่งการปรุงยา…ก็จะช่วยเหลือได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ว่าท่านจะต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงใดๆ ก็ตามที เปลวไฟแห่งการปรุงยาของท่านก็จะไม่มีทางมอดดับลงไปได้”
เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน เขาก็ยกถ้วยสุราขึ้นมาดื่มลงไปคำใหญ่ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับซุนเทากล่าวว่า
“ขอบคุณมากสำหรับความรู้แจ้งนี้, ผู้อาวุโส ได้โปรดฝากคำพูดไปให้ท่านอาจารย์ว่า ข้าจะไม่มีทางลืมคำสอนของท่าน!”
ซุนเทายังคงนั่งอยู่ แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบรับ เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็หันหลังและออกไปจากห้องโถงหลักของวิหาร
ในเวลาเดียวกันนั้น ในถ้ำแห่งเซียนบนยอดเขาแรกของแผนกเม็ดยาบูรพา ชายชราผมขาวโพลนนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ อากาศที่อยู่รอบๆ ตัวท่านบิดเบี้ยวไปมา ราวกับว่าเนื่องมาจากเต๋าอันยิ่งใหญ่
ท่านลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังออกไปจากวิหารหลัก และสีหน้าพึงพอใจก็มองเห็นได้บนใบหน้าท่าน
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมาจากวิหารหลัก เจ้าสำนักจื่อยิ่น, ผู้อาวุโส และคนอื่นๆ ต่างก็รีบตรงเข้ามา ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็หยุดชะงักลง และหันหน้ามองตรงไปยังภูเขาของแผนกเม็ดยาบูรพา
หลังจากที่ผ่านไปนานมากๆ เขาก็มองกลับไปยังเจ้าสำนัก “ข้าอยากจะไปเยี่ยมถ้ำแห่งเซียนเก่าของข้า” เขากล่าว เจ้าสำนักพยักหน้าให้ในทันที และกลุ่มคนมากมายก็ไปเป็นเพื่อนเขายังแผนกเม็ดยาบูรพา
แทบจะในทันทีที่เขาเข้าไปในแผนกเม็ดยาบูรพา สีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว
เขาเพิ่งจะมองเห็น…หอกเหล็ก!
หลังจากหลายปีที่ผ่านมา หอกเล่มนี้ก็ยังคงอยู่ที่นี่ในสำนักจื่อยิ่น…มันแทงลึกลงไปในพื้นดิน ถูกห้อมล้อมด้วยกำแพงที่ดูหรูหรา ตอนนี้หอกเล่มนี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายที่สำคัญในสำนักจื่อยิ่นไปแล้ว
ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหอกเหล็กเป็นชายชราสองคน ถึงแม้ว่าพวกมันจะแก่ชราลงไป แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงจดจำพวกมันได้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็น…หลู่ซ่งและเชียนสุ่ยเหิน
ในตอนนี้ พวกมันทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ และเป็นผู้พิทักษ์เกียรติของสำนักจื่อยิ่น ทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไป พวกมันก็ลุกขึ้นมายืน ด้วยสีหน้าเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง พวกมันประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าวในทันที
“ขอคารวะ, ผู้อาวุโสเมิ่ง”
เจ้าสำนักจื่อยิ่นหัวเราะเสียงดัง “ฮา ฮา ฮา! เจ้าสำนักน้อย ท่านยังจำหอกเล่มนี้ได้หรือไม่? เดิมทีมันถูกนำกลับมายังสำนักโดยอู๋ติงชิว อาณาเขตแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่อันมีชื่อเสียงของสำนักไปแล้วในตอนนี้”
“ผู้อาวุโสเมิ่งฮ่าว ท่านสบายใจได้” หลู่ซ่งกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโส พวกเราจะต้องดูแลหอกนี้ให้ดีอย่างแน่นอน!” เชียนสุ่ยเหินกล่าวเห็นด้วย
หลู่ซ่งและเชียนสุ่ยเหินได้ลืมความไม่พอใจของพวกมันจากเมื่อหลายปีก่อนโน้นมานานแล้ว ตอนนี้พวกมันมองมายังเมิ่งฮ่าวจนแทบจะกลายเป็นความนับถือบูชา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพวกมันและเมิ่งฮ่าว เมื่อหลายปีก่อนนั้น กลายเป็นความภาคภูมิใจสำหรับคนทั้งสอง
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา จากนั้นก็ลูบไปที่ถุงสมบัติ มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า ข้างในเป็นหอกทองคำ ที่เขายังคงไม่มีโอกาสที่จะนำไปหลอกลวงใครบางคนได้…
ห่างออกไปที่ด้านข้าง อู๋ติงชิวตัวสั่นสะท้าน แอบพร่ำบ่นอยู่ภายในใจ มันกำลังจะถอยออกไปทางด้านหลัง แต่ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็มองมา
แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านร่างอู๋ติงชิวไป และฉับพลันนั้นมันก็มีรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า แต่ภายในจิตใจกำลังเต้นรัว และมันก็ต้องก่นด่าสาปแช่งซ่งเหล่าไกว้ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์หอกนี้ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ขณะที่เมิ่งฮ่าวอยู่ในสำนักจื่อยิ่น กำลังหวนรำลึกถึงวันเวลาเก่าๆ ที่ผ่านมา ภาพอันน่าตกใจก็กำลังเกิดขึ้นอยู่ที่เขตชายแดนอันเปล่าเปลี่ยวรกร้างของดินแดนทางเหนือ ใกล้กับทะเลเทียนเหอ
ผู้ฝึกตนเกือบหนึ่งล้านคนกำลังยืนเตรียมพร้อมที่จะสู้รบใกล้กับชายหาด พวกมันถูกแบ่งออกมากกว่าสิบกองพล อันเนื่องมาจากสำนักและชนเผ่าต่างๆ ที่เป็นต้นสังกัดของพวกมัน
ยังมีสัตว์อสูรที่สูงนับร้อยจ้างอยู่มากมายนับไม่ถ้วนอีกด้วย ถูกล่ามไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่เหล็ก จนทำให้พวกมันไม่อาจจะหลุดเป็นอิสระออกไปได้ ไม่ว่าพวกมันจะดิ้นรนอย่างดุร้ายมากแค่ไหนก็ตามที
สูงขึ้นไปในท้องฟ้าเป็นสัตว์อสูรดุร้ายที่บินได้นับไม่ถ้วน ส่งเสียงร้องอย่างดุร้ายออกมา ขณะที่พวกมันบินเป็นวงกลมอยู่ด้านบน ปีกของพวกมันทำให้เกิดเป็นเงามืดขนาดใหญ่ที่ด้านล่าง พวกมันแทบจะบดบังไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่ด้านบน
ที่ห่างไกลออกไป เป็นยักษ์ที่แผดร้องคำรามอยู่สิบกว่าตัว มีความสูงเท่าภูเขา กำลังถือกระบองกระดูกกวัดแกว่งอยู่ไปมา
ที่อยู่ห่างออกไปมากกว่านั้นอีก เป็นกลุ่มเมฆสีดำซึ่งกำลังหมุนวนเป็นรูปวงกลมไปมา เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเถื่อนอันลี้ลับและวิญญาณปีศาจมากมายนับไม่ถ้วน
นี่ก็คือกองกำลังของดินแดนทางเหนือ ซึ่งได้รวมตัวกันอยู่ข้างทะเลเทียนเหอ เห็นได้ชัดว่า…พวกมันกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง!
ที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ สิบเอ็ดกลิ่นอายที่สูงส่งและดื้อด้าน ซึ่งส่งเสียงดังกระหึ่มอยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้า กลิ่นอายเหล่านี้…ต่างก็เป็นกลิ่นอายของขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าทั้งสิ้น!