ตอนที่ 849
ความคิดสร้างสรรค์
บนเส้นทางโบราณขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติ ผู้ฝึกตนบนเส้นทางตัดวิญญาณมีความคืบหน้าอย่างน่าเหลือเชื่อขึ้น ด่านทั้งสามเหล่านี้ พรสวรรค์, พื้นฐานฝึกตน และอายุ เป็นการทดสอบรากฐานของแต่ละคน และเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับสำนักและตระกูลต่างๆ มีผู้คนไม่น้อยจากเส้นทางโบราณของทั้งวิญญาณแรกก่อตั้งและตัดวิญญาณ ที่นามของพวกมันได้ถูกบันทึกไว้โดยสำนักและตระกูลต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ตราบเท่าที่พวกมันยังทำได้ดีในด่านต่อไปอยู่เรื่อยๆ ก็รับรองได้ว่าพวกมันต้องได้รับโชควาสนาเป็นอย่างดีในอนาคตอย่างแน่นอน
เฉินฝานคือบุคคลเช่นนั้น!
น่าเสียดายที่เจ้าอ้วนและคนอื่นๆ ยังไม่มีนามอยู่ในรายชื่อใดๆ
แต่กลับกัน บนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋าตกอยู่ในความปั่นป่วนโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น แต่เกิดความรู้สึกที่คาดคิดไม่ถึงขึ้นมา เพราะไม่มีใครให้ความสนใจต่อคนที่ได้อันดับหนึ่งในการประเมินพรสวรรค์, พื้นฐานฝึกตน และอายุเลย
เสียงพูดคุยทั้งหมดกำลังดังขึ้นไปทั่วทั้งตี้จิ่วซานไห่
“ฟางมู่มีพรสวรรค์อะไรกันแน่? มีพื้นฐานฝึกตนเช่นไร? อายุมากแค่ไหน?!”
“ข้าไม่เชื่อว่าแท่นศิลาตัวอักษรจะใช้งานไม่ได้! พวกมันได้เปลี่ยนแท่นศิลาไปแล้วหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าฟางมู่ต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษอย่างแน่นอน!”
“ใช่แล้ว ใครมีพรสวรรค์และพื้นฐานฝึกตนอยู่อันดับหนึ่ง?”
“ข้าไม่ได้สนใจดูจริงๆ กำลังสงสัยว่าแท่นศิลาตัวอักษร ‘อายุ’ จะมีผลกับฟางมู่หรือไม่!”
ย้อนกลับไปบนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า เมิ่งฮ่าวคล้ายกับเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ คอยชักใบเรือให้เสียอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดได้มุ่งเน้นมาที่เขาอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อันดับหนึ่ง…แต่ผู้เข้าแข่งขันที่ได้อันดับหนึ่งอยู่ในตอนนี้ ไม่มีใครให้ความสนใจโดยสิ้นเชิง
สำนักต่างๆ เริ่มสนใจในตัวเมิ่งฮ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง นามของเขาได้ถูกบันทึกไว้โดยสามนิกายหกสำนักไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็อยู่ในอันดับแรกของรายนามทั้งหมดอีกด้วย!
เมิ่งฮ่าววางมือลงไปบนแท่นศิลาตัวอักษร ‘อายุ’ ด้วยสีหน้าที่เขินอาย ดูดซับเอาพลังทั้งหมดเข้าไป ทำให้ชีพจรเซียนตกผลึกจนถึงสี่ในสิบส่วน
เขารู้สึกเสียดายที่หลิงอวิ๋นจื่อช่างตระหนี่นัก ทำหน้าละห้อยถอนหายใจให้กับตัวเอง คิดว่าจะตะโกนออกไปบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมทั้งหมดนี้ แต่ก็ต้องหุบปากลง ไม่พูดอะไรออกมา ยืนอยู่ที่นั่นในขณะที่เสาแห่งแสงของผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆ พุ่งขึ้นไป ไม่ว่าเสาเหล่านั้นจะสูงมากแค่ไหน สีหน้าของคนทั้งหมดก็ดูน่าเกลียดขึ้นเป็นอย่างมาก
“ด่านประเมินอายุได้ข้อสรุปแล้ว!” หลิงอวิ๋นจื่อประกาศด้วยการโบกสะบัดชายแขนเสื้อ คนทั้งหมดยกเว้นเมิ่งฮ่าวหายตัวไป และไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนแท่นบูชาที่อยู่ห่างไกลออกไป
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวหล่นจากอันดับแรก มาอยู่ที่อันดับสุดท้ายแล้ว
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้คนทั้งหมดที่เข้าร่วมการแข่งขันบนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง พวกมันทั้งหมดหันหน้าจ้องมองกลับมายังเมิ่งฮ่าว คิดอยู่ภายในใจว่าหลิงอวิ๋นจื่อช่างมีเมตตานัก ในความคิดของพวกมัน บุคคลเช่นเมิ่งฮ่าวน่าจะถูกตัดสิทธิ์ออกไปในทันที
“เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีพรสวรรค์ที่เพียงพอ ดังนั้นมันจึงใช้วิธีการที่ต่ำช้าเพื่อทำให้แท่นศิลาตัวอักษรใช้งานไม่ได้ ช่างไร้ยางอายนัก!”
“ต้องมีบางสิ่งที่แปลกๆ เกี่ยวกับพื้นฐานฝึกตน ซึ่งมันไม่ต้องการให้ใครรู้ การใช้วิธีเช่นนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาช่างน่ารังเกียจจริงๆ มันน่าจะถูกตัดสิทธิ์ออกไป! การอยู่ในอันดับสุดท้ายถือว่าให้ความกรุณาต่อมันมากแล้ว!”
“น่าจะลงโทษมันเพื่อเป็นการระบายโทสะให้กับพวกเรา!”
คนทั้งหมดบนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋าต่างก็มีโทสะต่อเมิ่งฮ่าว โดยเฉพาะคนที่ไม่มีนามของตนเองอยู่ในสองด่านแรก สำหรับคนที่มีพรสวรรค์, พื้นฐานฝึกตน และอายุที่ถูกประเมินออกมาว่ายอดเยี่ยม ยิ่งมีโทสะมากขึ้นเป็นพิเศษ
“นี่ไม่ยุติธรรม!” เมิ่งฮ่าวโวยวาย
“ไม่ยุติธรรม?” หลิงอวิ๋นจื่อกล่าวตอบ จ้องมองมาที่เขา “เจ้าไม่มีคะแนนใดๆ ในสามด่านล่าสุด ทำให้แท่นศิลาตัวอักษรต้องเสียหายไปหลายชิ้น แม้แต่ทรัพยากรที่มีค่าของเศษซากเซียนก็ต้องหมดไปเพราะเจ้า! โชคดีมากแล้วที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ไป! เจ้าจะลองโวยวายดูอีกครั้งหรือไม่?”
ใครก็ตามถ้ามาแทนที่เมิ่งฮ่าว และได้ยินคำพูดรวมถึงสายตาเช่นนั้นจากหลิงอวิ๋นจื่อ ก็คงต้องตกใจกลัวขึ้นมา และต้องระมัดระวังคำพูดของพวกมันในทันที แต่เท่าที่เมิ่งฮ่าวคิด เขาไม่ได้มายังที่แห่งนี้เพื่อเข้าสังกัดสำนักใดๆ จึงกล่าวขึ้น
“ช่างเป็นผู้อาวุโสที่น่ากลัวจริงๆ ผู้เยาว์ผิดไปแล้ว เช่นนี้เป็นอย่างไร ท่านให้แท่นศิลาตัวอักษรข้ามาลองทดสอบดูอีกสามครั้ง ถ้ามันไม่ได้ผล ผู้เยาว์ก็จะยอมรับชะตากรรม”
หลิงอวิ๋นจื่ออ้าปากค้างมองไปยังเมิ่งฮ่าว มีโทสะจนรู้สึกว่าอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าไม่ใช่ว่าผลงานของเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ชมที่อยู่ด้านนอกทั้งหมดแล้วละก็ มันก็คงจะตัดสิทธิ์เขาไปในทันที เมิ่งฮ่าวทำให้มันรู้สึกว่าช่างน่าปวดศีรษะอย่างแท้จริง ในที่สุดหลิงอวิ๋นจื่อก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ด่านที่หก, เจ็ด และแปด จะประเมินสัมผัสศักดิ์สิทธิ์, พลังแห่งเจตจำนง และการหยั่งรู้ของพวกเจ้า!”
เมิ่งฮ่าวกระพริบตาปริบๆ เพื่อตอบรับคำพูดของหลิงอวิ๋นจื่อ ภายในใจกำลังสาบานว่าเมื่อได้พบกับฝานตงเอ๋อร์อีกครั้ง เขาจะต้องให้นางได้เห็นดีอย่างแน่นอน เตรียมพร้อมที่จะระบายโทสะซึ่งมีต่อหลิงอวิ๋นจื่อไปยังนาง
“พวกเจ้าจะต้องผ่านสามด่านนี้ไปพร้อมกัน แต่ละคนจะพบว่าได้เข้าไปอยู่ในโลกของตนเอง ซึ่งเต็มไปด้วยปรากฏการณ์ที่แปลกๆ ไม่เหมือนใคร และพวกเจ้าสามารถใช้มันสร้างเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองขึ้นมาได้!”
“ผลลัพธ์ที่สร้างขึ้นมานั้น จะแสดงให้เห็นถึงจำนวนของ…” ในตอนนี้ หลิงอวิ๋นจื่อได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะกล่าวหกคำสุดท้ายออกมา
“…แท่นศิลาตัวอักษร!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินคำว่า ‘แท่นศิลาตัวอักษร’ จิตใจก็เริ่มเต้นรัว และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น
หลิงอวิ๋นจื่อโบกสะบัดมือ ทำให้แท่นบูชาทั้งหมดเริ่มสั่นสะเทือน กลุ่มหมอกจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันอย่าหนาแน่น ปกคลุมไปยังคนทั้งหมด จากนั้นพลังของการเคลื่อนย้ายทางไกลก็กระจายออกไป และทุกคนก็หายตัวไป
ที่ด้านนอกในตี้จิ่วซานไห่ คนทั้งหมดปรับพลังปราณและทำจิตใจให้เยือกเย็น จากนั้นก็เพ่งมองไปยังจอภาพที่อยู่บนกระแสน้ำวน สามารถกล่าวได้ว่าสองด่านแรกเป็นการทดสอบการต่อสู้ ด่านที่สามถึงด่านที่ห้าเป็นการทดสอบรากฐาน สำหรับด่านที่หก, เจ็ดและแปด คือการทดสอบความคิดสร้างสรรค์!
สำหรับผู้ฝึกตน ความคิดสร้างสรรค์จำเป็นต้องมีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์, พลังแห่งเจตจำนง และแน่นอนว่าต้องมีการหยั่งรู้ด้วย
ทุกครั้งที่สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่จัดงานคัดเลือก บุคคลที่โดดเด่นอย่างน่าตกใจ จะสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้จากในสามด่านนี้ ซึ่งจะทำให้มีชื่อเสียงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
คนทั้งหมดกำลังมองไปด้วยความกระตือรือร้นและความคาดหวัง
ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เหล่าปรมาจารย์ไม่ได้โต้เถียงกันอีก แต่กำลังมองไปด้วยความตั้งใจจดจ่อ ห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ คนทั้งหมดต่างก็มองไปยังจอภาพของผู้ฝึกตนบนเส้นทางโบราณขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง, ตัดวิญญาณ และค้นหาเต๋าอย่างใกล้ชิด
กลุ่มคนที่มีชื่ออยู่ในรายนามของสำนักต่างๆ จะถูกจับตาดูเป็นพิเศษ ตราบเท่าที่พวกมันสามารถรักษาอันดับต้นๆ ไว้ได้ ในช่วงของด่านทั้งสามนี้ ก็จะไม่มีคำถามที่ว่า สุดท้ายแล้วพวกมันจะถูกรับเข้าสังกัดหรือไม่
สำหรับกลุ่มคนที่เหลือซึ่งยังไม่มีชื่ออยู่ในรายนามเหล่านั้น ถ้าพวกมันกระทำได้อย่างน่าประทับใจในด่านทั้งสามนี้ ก็ต้องถูกสังเกตเห็น และชื่อของพวกมันก็จะถูกเพิ่มเข้าไปในรายนามของแต่ละสำนักอย่างแน่นอน
สูงขึ้นไปในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว คนทั้งหมดกำลังถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกัน
“การสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย! แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นมากนัก…ข้าแทบไม่อาจจะทนรอที่จะได้เห็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์อันน่าตกตะลึงนี้แล้ว!”
“ในสถานที่อื่นๆ อาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะได้พบเห็นขนหงส์หรือเขากิเลน มากกว่าการพบเห็นใครบางคนในกลุ่มคนเหล่านี้สามารถสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ แต่เศษซากเซียนเป็นสถานที่ที่พิเศษ มีพลังที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร มีสิ่งที่น่าประหลาดใจอยู่ในที่แห่งนี้ซึ่งปกติแล้วยากที่จะพบเห็นได้เป็นอย่างยิ่ง หรืออาจจะไม่มีอยู่เลยในโลกด้านนอก สิ่งของเหล่านั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน และมีอิทธิพลต่อจิตใจของพวกมัน”
“ใช่แล้ว บนเส้นทางโบราณ ทำให้พวกมันสามารถสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ง่ายดายกว่ามากนัก ถ้าพวกมันไม่อาจจะสร้างได้ในที่แห่งนี้ ก็แสดงว่าเส้นทางในอนาคตของพวกมันคงจะไปได้ไม่ไกลมากนัก”
“ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นมา จะเป็นรากเหง้าสำหรับการหยั่งรู้ของคนผู้นั้น พลังแห่งเจตจำนงจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการหยั่งรู้ ในขณะที่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์จะทำตัวเหมือนกับเป็นผู้พิทักษ์เต๋า ในขั้นตอนสุดท้าย ของสิ่งเดียวกันและแรงบันดาลใจจากแหล่งเดียวกัน จะถูกมองในมุมที่แตกต่างกันโดยกลุ่มคนที่ไม่เหมือนกัน และจะนำไปสู่ความรู้แจ้งที่แตกต่างกันออกไป”
“จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ กลุ่มเต๋าได้จัดงานแข่งขันนี้ขึ้นมาหลายครั้ง คนที่แข็งแกร่งมากที่สุดที่เคยมาเข้าร่วมคือฝานเหล่า (ท่านผู้เฒ่าฝาน) จากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า เมื่อท่านสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในปีนั้น ก็ทำให้แท่นศิลาตัวอักษรสิบเก้าแท่นปรากฏขึ้น จนกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้!”
“ท่านได้สร้างทะเลธรรมดาให้กลายเป็นอมตะ ซึ่งในที่สุดก็เปลี่ยนให้กลายเป็นหนึ่งในเวทแห่งเต๋าที่แข็งแกร่งมากที่สุด!”
เวลาเดียวกันนั้น ขณะที่กลุ่มคนในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวกำลังถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่นึกย้อนไปถึงความทรงจำเมื่อในอดีต กลุ่มคนทั้งหมดที่กำลังถูกเคลื่อนย้ายทางไกลไป ก็ลืมตาขึ้นมาขณะที่ภาพรอบๆ ตัวเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว ขณะที่มองไปรอบๆ บริเวณนั้นยังดินแดนที่ไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวคือดินแดนสีดำอันกว้างใหญ่ ซึ่งยืดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
อากาศร้อนจนแทบจะลุกเป็นไฟ มองเห็นดวงตะวันเก้าดวงลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้า แทบจะคล้ายกับเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่เก้าคน กำลังกวาดมองไปทั่วทั้งแดนดิน
สถานที่แห่งนี้คือ ดินแดนอันรกร้าง!
มองเห็นสิ่งปลูกสร้างกระจัดกระจายอยู่ในที่ห่างไกล ครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในพื้นดิน ส่วนที่โผล่พ้นขึ้นมากลายเป็นซากปรักหักพัง แต่มองเห็นรูปแกะสลักเป็นสัตว์มงคลอยู่บนพื้นผิวของเศษซากเหล่านั้น แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองเมื่อในอดีตของพวกมัน
เสียงลมครวญครางพัดผ่านพื้นดิน ปะทะเข้ากับดินสีดำ ทำให้เกิดเป็นเสียงที่คล้ายกับเป็นท่วงทำนองที่โศกเศร้าดังขึ้นมา เต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะค้นหาใครสักคน มาร่วมรับฟังบทเพลงเช่นนี้เมื่อในอดีตที่ผ่านมา แต่ขณะที่มันลอยผ่านไปทั่วพื้นดิน ก็ดูเหมือนจะลอยออกมาจากห้วงกาลเวลา และความทรงจำแห่งสมัยโบราณที่ผ่านมานับไม่ถ้วน
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น ในดินแดนที่กว้างใหญ่ยืดยาวออกไปนี้ตามลำพังเพียงผู้เดียว
สิ่งเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนเขา คือเสียงพึมพำของสายลม, ดินสีดำที่ยืดขยายออกไปทั่วทุกทิศทาง และซากปรักหักพังที่มองเห็นได้จากที่ห่างไกล
เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ก็ทำให้อารมณ์ของเมิ่งฮ่าวจมดิ่งลงไป ดวงตาแวบขึ้นด้วยแสงแปลกๆ
“สถานที่แห่งนี้มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึก” เขาคิด ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กระจายออกไป กวาดผ่านออกไปทั่วทั้งบริเวณนั้น นอกจากสิ่งทั้งหมดที่เขาได้เห็นไปแล้ว ตอนนี้เขายังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันจางๆ ที่กำลังกดทับลงมาบนร่าง
ถ้าเขาไม่ได้ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป เขาก็คงจะไม่มีทางตรวจจับมันได้…ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้แต่ตระหนักถึงมันภายในขอบเขตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองเท่านั้น
สีหน้าเมิ่งฮ่าวค่อยๆ เปลี่ยนไป ขณะที่ทำการตรวจสอบไปรอบๆ บริเวณด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างระมัดระวัง ตอนนี้เขารับรู้ได้ว่าจริงๆ แล้ว แรงกดดันนั้นมีขอบเขตที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็รุนแรง บ้างก็บางเบา เป็นแรงกดดันที่ออกมาจากซากปรักหักพังต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด!
ในตอนนี้เองที่เสียงของหลิงอวิ๋นจื่อได้ดังก้องออกมา ยังคนทั้งหมดที่อยู่บนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า แทบจะคล้ายกับเป็นเสียงที่ดังก้องออกมาจากโลกอื่น ซึ่งได้ซ้อนทับกับโลกแห่งนี้
“ด่านที่หก สัมผัสศักดิ์สิทธิ์”
“ด่านที่เจ็ด พลังแห่งเจตจำนง”
“ด่านที่แปด การหยั่งรู้”
“โลกที่พวกเจ้าอยู่นั้น ประกอบด้วยซากปรักหักพังเก้าสิบเก้าแห่ง รวมทั้งศาลาเซียนที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ในแต่ละพื้นที่มีแรงกดดันที่แตกต่างกัน และพวกเจ้าจะได้พบกับรูปแบบการรู้แจ้งที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ยิ่งมีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งมากเท่าใด ก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงเศษซากเซียนมากขึ้นเท่านั้น และพวกเจ้าก็จะได้รับการรู้แจ้งได้มากขึ้น”
“หลังจากที่ค้นพบเศษซากเซียนในแต่ละแห่งได้แล้ว พลังแห่งเจตจำนงของพวกเจ้าจะเป็นตัวตัดสินว่าจะสามารถยืนหยัดต่อต้านแรงกดดันในที่แห่งนั้นได้หรือไม่”
“การหยั่งรู้ของพวกเจ้า จะเป็นตัวตัดสินในส่วนสุดท้ายของการรู้แจ้ง และจะเป็นวิธีที่จะทำให้กลายเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์!” เสียงเก่าแก่โบราณของหลิงอวิ๋นจื่อดังก้องไปมาอยู่ในดินแดนอันรกร้างนี้ แทบจะเป็นเสียงที่คล้ายกับว่ามันคือบุคคลที่มาจากสมัยโบราณ เสียงของมันกำลังมีผลกระทบต่อซากปรักหักพังที่เก่าแก่โบราณนี้ และจากนั้นก็ส่งต่อข้อความผ่านกาลเวลา ผ่านเข้าไปในหูของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน
สายลมกรีดร้องครวญคราง และพื้นดินก็ดูเก่าแก่โบราณเหมือนเช่นเคย ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขณะที่ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป และพบว่าไม่อาจจะปกคลุมไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้ได้ เขาสามารถมองเห็นได้แค่ซากปรักหักพังเจ็ดแห่งเท่านั้น
ที่อยู่ใกล้มากที่สุดห่างออกไปประมาณหนึ่งพันจ้าง และมันก็คือบ่อน้ำที่แห้งขอด ถูกห้อมล้อมด้วยกำแพงที่ผุพัง
เมิ่งฮ่าวก้าวเนิบนาบตรงไป เมื่อเขาอยู่ห่างจากบ่อน้ำแห้งขอดหนึ่งร้อยจ้าง ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่กำลังกดทับลงมาบนร่าง รุนแรงราวกับเป็นลมพายุ
ลมพายุกดทับลงมาบนร่างเขา ตามมาด้วยเสียงที่เมื่อนำไปเทียบกับหลิงอวิ๋นจื่อแล้ว ก็ดูเหมือนว่าได้ดังออกมาจากสมัยโบราณอย่างแท้จริง
“เมื่อไหร่ที่ข้าเห็นมัน ข้าก็จะคิดถึงท่าน…”
“สำหรับใครก็ตามที่ได้ยินเสียงของข้าในอนาคต เจ้าจะรู้สึกเหมือนกับข้าหรือไม่? เจ้ามีสิ่งที่ทำให้ต้องคิดไปถึงใครบางคนบ้างหรือไม่?”
——————-
หมายเหตุ : ฝานเหล่า (凡老 – ท่านผู้เฒ่าฝาน) แซ่เดียวกับฝานตงเอ๋อร์ ฝาน มีความหมายว่า ‘ธรรมดา’ ในความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่มันสร้างขึ้นมา 凡海化仙 (ฝานไห่ฮว่าเซียน – ทะเลธรรมดากลายเป็นอมตะ ) คำว่า ‘ธรรมดา’ นี้เป็นตัวอักษรเดียวกับแซ่ของมัน เป็นการเล่นคำของเอ่อร์เกินผู้แต่ง ซึ่งน่าจะหมายความว่า ฝานเหล่าได้กลายเป็นเซียนไป