ตอนที่ 862
แรงกระตุ้น!
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะทำให้จิตใจตนเองเยือกเย็นลงไปได้ แม้แต่เขาก็ยังต้องยอมรับว่าในส่วนลึกๆ แล้ว จุดอ่อนที่สำคัญของเขาก็คือ…เขารักเงินทอง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเมิ่งฮ่าว! เขาเคยยากจนมาก่อนเมื่อตอนที่ยังเยาว์วัย ถึงแม้ว่าจะมีใครหลายคนเป็นหนี้เขา แต่หนี้สินเหล่านั้นก็ยังไม่ได้จ่ายคืนมา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาอย่างแท้จริง!
เมื่อเมิ่งฮ่าวยังเยาว์วัย เขายากจนมากจนถึงขั้นที่หวาดกลัวต่อการที่ไม่มีเงินทอง หลังจากที่เติบโตขึ้น เขาได้เข้าไปในโลกแห่งการฝึกตน แต่ก็ยังคงไม่เคยจะร่ำรวยขึ้นมาจริงๆ มีแต่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่อยู่ในทะเลเทียนเหอ และโชคลาภที่ได้มาโดยไม่คาดฝันเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมัน เหตุผลเดียวที่เขาสามารถจะประหยัดเงินได้ในตอนนี้ก็คือว่า เขาไม่ได้ใช้กระจกทองแดงมาเป็นเวลานานมากแล้ว เมื่อคิดเกี่ยวกับความตะกละตะกลามของกระจกทองแดงที่กลืนกินความร่ำรวยของเขาเข้าไปแล้ว ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ยากจนข้นแค้นอย่างน่าอนาถใจที่แท้จริง
หยกเซียนหนึ่งพันชิ้นทำให้เขาตื่นเต้น หนึ่งหมื่นชิ้นทำให้โลหิตเขาเดือดพล่าน ราคาของต้นเถาวัลย์ประกายเซียนทำให้ดวงตาเขาเป็นสีแดงก่ำ ตอนนี้ยังมีหยดโลหิตของผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ทำให้ดวงตาของเมิ่งฮ่าวกลายเป็นสีขียวไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อหลิงอวิ๋นจื่อมองเห็นแสงสีเขียวนั้น มันก็จ้องมองไปด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ มันไม่เคยเห็นแสงเช่นนั้นสาดประกายอยู่ในดวงตาของใครมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็น
อย่างไรก็ตามเพียงไม่นานสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงก็ได้ยินมา ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ อีกมากมายต่างก็เหมือนกับเมิ่งฮ่าว ซึ่งเดิมทีไม่เข้าใจถึงคุณค่าของหยดโลหิตผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อพวกมันได้ยินประโยคที่สองของหลิงอวิ๋นจื่อ จิตใจพวกมันก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่ม
ไม่ใช่แค่พวกมันกลุ่มเดียวเท่านั้น ปรมาจารย์ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต่างก็กำลังหอบหายใจด้วยเช่นกัน สำหรับพวกมันแล้วหยดโลหิตของผู้ยิ่งใหญ่คล้ายกับเป็นของวิเศษอันล้ำค่า
พวกมันตระหนักดีว่าของวิเศษเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มีแค่สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ที่จะสามารถครอบครองได้ มันต้องมีไม่มากนักอย่างแน่นอน มันคือของวิเศษอันล้ำค่าที่หาไม่ได้อีกแล้วในยุคนี้ คิดไม่ถึงว่าสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่จะนำมาเป็นของรางวัลในการต่อสู้ครั้งนี้
ปรมาจารย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ยิ้มน้อยๆ ออกมา แต่ก็ไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าต้องมีความหมายอันลึกซึ้งซ่อนอยู่ ในการนำหยดโลหิตผู้ยิ่งใหญ่มาเป็นของรางวัล อันที่จริงไม่สำคัญว่าใครจะได้ไป ตอนนี้คนทั้งหมดต่างก็รู้แล้วว่าพวกมันมีหยดโลหิตของผู้ยิ่งใหญ่อยู่!
กลุ่มฝูงชนในขุนเขาทะเลที่เก้ากำลังเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น แม้แต่ผู้ถูกเลือกในสำนักต่างๆ ซึ่งกำลังเตรียมตัวจะมาเข้าร่วมการต่อสู้ก็ยังต้องเริ่มหอบหายใจออกมา ศิษย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็เป็นเหมือนกัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นสมาชิกของสามกลุ่มเต๋า แต่โดยทั่วไปแล้วก็ยากที่จะได้ครอบครองสิ่งของที่จะนำมาเป็นของรางวัลเช่นนี้ได้ นอกจากว่าพวกมันจะทำงานบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อให้กับสำนักเท่านั้น
แต่ตอนนี้…สิ่งที่พวกมันต้องทำก็คือ เอาชนะจนได้อันดับหนึ่ง และของสิ่งนี้ก็จะเป็นของพวกมัน!
จ้าวอีฝานลุกขึ้นมายืน ระเบิดความต้องการต่อสู้ออกมา “โลหิตผู้ยิ่งใหญ่…ยากที่จะบอกว่าเป็นของผู้ยิ่งใหญ่ท่านไหน แต่ถ้านำมันมาหลอมรวมเข้ากับเต๋าแห่งกระบี่ของข้าได้ ก็คงทำให้เต๋าของข้ามีความแหลมคมขึ้นอย่างแน่นอน!”
ดวงตาฝานตงเอ๋อร์เบิกกว้าง และนางก็เริ่มหอบหายใจออกมา
“ด้วยโลหิตนั่น บางทีข้าอาจจะสามารถหลุดพ้นเป็นอิสระจากซากศพนี้ได้ในที่สุด!”
หลี่หลิงเอ๋อร์, ไท่หยางจื่อและซุนไห่ รวมทั้งผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน มีผู้ถูกเลือกบางคนที่เลือกจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้นี้ ยกตัวอย่างเช่นซ่งหลัวตานและคนอื่นๆ บางคน แต่พวกมันก็รู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจครั้งนี้ในทันที
“สังเวียนการต่อสู้จะตั้งอยู่ที่ด้านในของเศษซากเซียน” หลิงอวิ๋นจื่อกล่าวต่อไป “สถานที่แห่งนั้นไม่ได้อยู่บนเส้นทางโบราณทั้งสาม แต่อยู่บนต้นไม้เต๋าโบราณที่ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป!”
“พวกเจ้าทั้งหมดมีเวลาพักผ่อนสามวัน หลังจากนั้นข้าจะนำพวกเจ้าไปยังต้นไม้เต๋าโบราณนั่นด้วยตนเอง!”
“ตลอดช่วงสามวันนี้ ถ้าใครต้องการจะจากไป ก็สามารถทำได้ตามอิสระ” ด้วยเช่นนั้นหลิงอวิ๋นจื่อก็หมุนตัวและจากไป
“ท่านปรมาจารย์ โปรดรอสักครู่!” เมิ่งฮ่าวร้องตะโกนขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
หลิงอวิ๋นจื่อหยุดชะงักนิ่ง หันหลังกลับมามองยังเมิ่งฮ่าว ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม มองเห็นรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของมัน
“มีเรื่องอันใด?”
รอยยิ้มอันเขินอายมองเห็นได้บนใบหน้าของเมิ่งฮ่าว ขณะที่กล่าวด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนว่า “ท่านปรมาจารย์ ก่อน…ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าข้าสามารถจะขออะไรก็ได้ที่ข้าต้องการ และท่านก็จะมอบให้กับข้า ข้า…ข้าคิดว่าหยดโลหิตผู้ยิ่งใหญ่นั่นน่าจะดีไม่น้อย”
เมื่อหลิงอวิ๋นจื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตามันก็เบิกโพลงราวกับเป็นลูกหนัง มันกำลังจะด่าทอออกมา แต่เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเมิ่งฮ่าว มันก็ต้องคิดย้อนกลับไปถึงท่าทางที่ตื่นเต้นทั้งหมดของเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ และโทสะของมันก็สงบลง
“นั่นคือสิ่งที่ข้าไม่อาจจะตัดสินใจด้วยตนเองได้” มันกล่าวพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “เช่นนี้เป็นอย่างไร เมื่อไหร่ที่เจ้าไปยังสำนัก พวกเราก็จะพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง” ด้วยเช่นนั้นมันก็จากไป
“ข้ารู้มานานแล้วว่าพวกมันจะไม่รักษาคำสัญญา” เมิ่งฮ่าวคิด “ข้าน่าจะดึงเข็มชี้ทิศทางออกมาจากหลัวผานด้วยเช่นกัน”
เวลาผ่านไป ไม่มีใครในผู้เข้าร่วมทั้งหนึ่งพันคนบนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋าเลือกที่จะจากไป พวกมันทั้งหมดนั่งลงเข้าฌาณ ใช้โอกาสนี้ทั้งหมดเพื่อฝึกฝนพื้นฐานฝึกตน ด้วยความหวังว่าจะผลักดันให้ตนเองก้าวเข้าไปในอันดับต้นๆ ของการต่อสู้นี้ได้
พวกมันส่วนใหญ่รู้สึกค่อนข้างจะเหน็ดเหนื่อยจากด่านการแข่งขันก่อนหน้านี้ทั้งสิบ พวกมันใช้พลังไปมากมายทำให้จิตใจเหนื่อยล้า และพื้นฐานฝึกตนก็เริ่มลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสองด่านสุดท้าย และความหวังของพวกมันก็แทบจะพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง
ความทุกข์ทรมานที่พวกมันประสบพบเจอมา ทำให้จิตใจต้องเหน็ดเหนื่อยขึ้นอย่างรุนแรง แต่กลุ่มคนทั้งหนึ่งพันที่เหลืออยู่นี้ต่างก็โดดเด่นไม่ธรรมดา ดังนั้นพวกมันจึงฉวยโอกาสอันมีค่าในตอนนี้ฟื้นฟูพลังให้กลับคืนมา
เมิ่งฮ่าวมีอาณาจักรความเป็นนิรันดร์ ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู
“ยังมีเวลาอีกตั้งสามวันกว่าที่จะเริ่มการประลอง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าทำไมต้องมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วย? ข้าไม่อาจจะลอกเอาแผ่นปูพื้น และกระเบื้องตกแต่งออกมาจากศาลานักรบได้ โดยไม่ต้องพูดถึงชั้นวางของเหล่านั้น ซึ่งข้าไม่มีเวลาพอที่จะเอามาได้…”
“หลัวผานนั้น ก็ถูกสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่นำไปแล้ว” เขาหันหน้ามองไปยังผู้เข้าร่วมการประลองที่อยู่บนแท่นบูชาอื่นๆ จากนั้นก็มีความคิดแวบขึ้นมาในทันที ลุกขึ้นมายืนและบินไปยังส่วนปลายสุดของแท่นบูชา ขณะที่เข้าไปใกล้ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันเข้มข้น เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังขึ้นมาอย่างบางเบา
เสียงกระหึ่มนั้นได้ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมอื่นๆ ทั้งหนึ่งพันคนในทันที พวกมันมองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เมื่อได้เห็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวกำลังกระทำอยู่ สีหน้าพวกมันก็เริ่มเปลี่ยนไปในทันที แม้แต่กลุ่มผู้คนที่อยู่ในโลกด้านนอกต่างก็สังเกตเห็นและตกตะลึงไปตามๆ กัน
“มันกำลังจะทำอะไร?”
“มันพยายามจะเคลื่อนที่ออกมาจากแท่นบูชาทำไม?”
ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ปรมาจารย์จากสำนักและตระกูลต่างๆ มองไปด้วยความตกตะลึง หลิงอวิ๋นจื่อฉับพลันนั้นก็ปรากฏกายขึ้น และมองไปด้วยความประหลาดใจ
เมิ่งฮ่าวกลายเป็นจุดสนใจขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เขาเคลื่อนที่เข้าไปในช่องว่างระหว่างแท่นบูชาของตนเองและแท่นบูชาที่อยู่ด้านหลัง แรงกดดันยิ่งมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ในที่สุดเสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลลงมาจากบนหน้าผาก เขาเริ่มสั่นสะท้าน แต่ดวงตาก็ยังคงสาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า
เมื่อผู้ชมในขุนเขาทะเลที่เก้ามองเห็นเช่นนี้ พวกมันก็เริ่มรับรู้ได้ถึงสิ่งที่คิดว่ากำลังถูกซุกซ่อนอยู่ในรายละเอียดเหล่านี้ และเริ่มถอนหายใจด้วยความชื่นชมออกมา
“มันกำลังฝึกฝนพื้นฐานฝึกตน!”
“มันสมควรที่จะได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้อย่างแท้จริง! แม้แต่ในช่วงการพักผ่อนสามวันก่อนที่จะทำการประลอง มันก็ยังไม่ยอมให้เวลาเสียไปอย่างสูญเปล่า และกำลังฝึกฝนอย่างหนัก!”
ในที่สุด คนทั้งหมดก็เริ่มสรุปว่า การกระทำของเมิ่งฮ่าวนี้เป็นแค่การฝึกตนของเขาเท่านั้น
ปรมาจารย์ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เริ่มพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“ไม่เลว ใช้แรงกดดันของเส้นทางโบราณเพื่อฝึกฝนพื้นฐานฝึกตน จากระดับของแรงกดดันนั้น การฝึกอยู่ที่นั่นสามวันเทียบเท่ากับใช้เวลาสามสิบวันในโลกด้านนอก ถ้านานกว่านั้นก็จะยิ่งคุ้นเคยกับแรงกดดันได้มากขึ้น เมื่อไหร่ที่ปลดปล่อยพลังออกมา ก็สามารถจะปลดปล่อยระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้นในสังเวียนการประลอง”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมันถึงได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ ความตระหนักในการฝึกตนของมัน ลึกล้ำกว่าคนส่วนใหญ่จะสามารถเข้าใจได้”
ขณะที่เหล่าปรมาจารย์พยักหน้าและพูดคุยเรื่องราวเหล่านี้ สามผู้เฒ่าจากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ต่างก็ยิ้มออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ถูกเลือกจากสำนักต่างๆ ที่ด้านนอก ต่างก็กำลังฝึกฝนพื้นฐานฝึกตนเพื่อเตรียมตัวสำหรับสังเวียนการประลอง พวกมันไม่ค่อยสนใจมากนักกับกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ต้องมาเผชิญหน้ากันเหล่านี้ แต่ถ้าจะมีใครบางคนที่ทำให้พวกมันต้องรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ แล้วละก็ แน่นอนว่าต้องเป็นเมิ่งฮ่าว ซึ่งเป็นคนที่ทำให้พวกมันต้องรู้สึกว่าถูกกดดันมากที่สุด
เมื่อผู้ถูกเลือกมองเห็นเมิ่งฮ่าวออกไปฝึกตนอยู่ในแรงกดดันของเส้นทางโบราณ สีหน้าพวกมันก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น
“ในสถานการณ์เช่นนี้ สามารถที่จะคิดหาวิธีการฝึกตนเช่นนั้นได้…ฟางมู่ผู้นี้ช่างไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง” จ้าวอีฝานกล่าว
“ฟางมู่ผู้นี้จะต้องเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง” ฝานตงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว
หลี่หลิงเอ๋อร์, ไท่หยางจื่อ และซุนไห่ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเช่นเดียวกัน
ย้อนกลับไปบนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า หลิงอวิ๋นจื่อลอยตัวอยู่ในความว่างเปล่า ค่อยๆ พยักหน้าอย่างช้าๆ ท่าทางชื่นชมบนใบหน้ามันเริ่มลึกล้ำมากขึ้น
อย่างช้าๆ ผู้เข้าร่วมบนแท่นบูชาอื่นๆ เริ่มมีปฏิกิริยาขึ้น มีอยู่ไม่น้อยที่เริ่มลอกเลียนแบบเมิ่งฮ่าว ก้าวเท้าออกมาจากแท่นบูชาเข้าไปสู่แรงกดดัน อย่างไรก็ตามไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะอยู่ได้นาน ก่อนที่จะถูกบังคับให้ต้องกลับเข้าไปในแท่นบูชาของพวกมัน
ทำให้ความหวาดกลัวในตัวเมิ่งฮ่าวของพวกมัน มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
สองชั่วยามผ่านไป ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เข้าไปใกล้แท่นบูชาที่อยู่ใกล้มากที่สุด บนแท่นบูชานั้น ม่านตาของหลีเหยียนหดเล็กลง แต่มันได้แอบระมัดระวังตัวอยู่นานแล้ว สีหน้ามันไม่ได้เปลี่ยนไป และมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยท่าทางเย็นชา
มันได้พยายามเคลื่อนที่ออกไปในแรงกดดันที่ด้านนอกของแท่นบูชาด้วยเช่นกัน แต่ก็อยู่ได้นานสุดแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น ก่อนที่จะถูกบังคับให้ต้องกลับเข้าไป สำหรับเมิ่งฮ่าวเขาต่อสู้อยู่ได้นานถึงสองชั่วยาม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีเหยียนต้องตื่นตระหนกขึ้นอย่างแท้จริง
ตอนแรกมันคิดว่าเมิ่งฮ่าวจะพักผ่อนเพียงแค่เล็กน้อยจากนั้นก็จะกลับไป แต่กลับเป็นตรงกันข้ามกับความคิดของมันโดยสิ้นเชิง เมิ่งฮ่าวกำลังเข้ามาหามันจริงๆ
“สหายเต๋าฟาง โปรดชะงักเท้า!” มันกล่าวพร้อมกับดวงตาที่สาดประกายขึ้นด้วยความเย็นชา เส้นผมลุกตั้งชี้ชันจนไม่อาจจะระมัดระวังตัวมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว มันโบกสะบัดมือ ทำให้เกราะป้องกันปรากฏขึ้นในทันที ระเบิดพลังออกมา
ภาพนี้ได้ดึงดูดความสนใจขึ้นเล็กน้อยในทันที กลุ่มฝูงชนที่โลกด้านนอกเริ่มมองไปตามๆ กัน
“สหายเต๋า โปรดอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่มีเจตนาร้าย ข้ามาที่นี่เพื่อจะขายเม็ดยาให้เท่านั้น ดูนี่ ข้ามีเม็ดยาฟื้นฟูลมปราณอันน่ามหัศจรรย์อยู่” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม หยิบเอาเม็ดยาออกมาจากถุงสมบัติอย่างคล่องแคล่วชำนาญ
“หนึ่งเม็ดจะทำให้ท่านมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที และจะช่วยเพิ่มพลังให้ท่านนับร้อยเท่า เช่นนี้เป็นอย่างไร ถ้าท่านมอบหินลมปราณมาหนึ่งแสนก้อน ข้าก็ยินดีที่จะส่งมอบยาเม็ดนี้ให้กับท่านหนึ่งเม็ด!”
หลีเหยียนจ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง รวมทั้งผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ทั้งหมด สูงขึ้นไปในกลางอากาศ หลิงอวิ๋นจื่อตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง
กลุ่มฝูงชนที่โลกด้านนอกปากอ้าตาค้างมองมา ผู้ถูกเลือกทั้งหมดต่างก็จ้องเขม็งนิ่ง แม้แต่เหล่าปรมาจารย์ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต่างก็อ้าปากค้างกันทุกคน
“มัน…มันใช้ความพยายามทั้งหมด ต่อสู้กลับไปยังแรงกดดันอันมหาศาลนั่น เพียงแค่…จะไปขายเม็ดยาเท่านั้น?!?!”
“และมันต้องการหนึ่งแสนหินลมปราณสำหรับยาฟื้นฟูลมปราณ? นั่น…นั่นแพงมากเกินไปแล้ว!”
หลิงอวิ๋นจื่อไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี ตอนแรกมันอยากจะมีโทสะขึ้นมา แต่จากนั้นก็คิดไปถึงความอ่อนไหวของเมิ่งฮ่าวเกี่ยวกับหินลมปราณ รวมทั้งเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นของหลัวผาน ทำให้มันต้องถอนหายใจออกมา
“เด็กผู้นี้ต้องเป็นผู้ฝึกตนเร่ร่อนอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องเคยพบเจอกับความยากลำบากในการฝึกฝนตนเอง ดังนั้นมันจึงยึดติดอยู่กับหินลมปราณอย่างเหนียวแน่น”
หลีเหยียนมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความลังเล จริงๆ แล้วมันไม่ต้องการจะซื้อเม็ดยา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนหินลมปราณ แต่มันก็ไม่กล้าที่จะไม่ซื้อ ในตอนนี้มันไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อในสิ่งที่ฟางมู่พูดออกมาว่าจริงหรือไม่
หลังจากที่ผ่านไปนาน หลีเหยียนก็กล่าวตอบด้วยความระมัดระวัง “สะ-สหาย…เต๋าฟาง ข้ามีเม็ดยาของตัวเองอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” เมิ่งฮ่าวกล่าว มีท่าทางผิดหวัง จากนั้นก็หันหน้ามองไปยังผู้เข้าร่วมการต่อสู้บนแท่นบูชาอื่น
พวกมันส่วนใหญ่แล้วก็มองกลับมาอย่างเงียบๆ แต่ก็มีบุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนแท่นบูชาที่ห่างออกไปจากเมิ่งฮ่าวในตอนนี้หกแท่น มองมาด้วยสีหน้าที่เย่อหยิ่ง
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีใครบางคนที่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเงินทองจะได้อันดับหนึ่ง” มันร้องตะโกนออกมา “ข้าช่างตาบอดอย่างแท้จริง ถ้าเจ้าสามารถส่งเม็ดยาเหล่านั้นมาให้ข้าได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าต้องการจะขายมากเท่าใด จ้าวโหม่ว (ผู้แซ่จ้าว) ก็จะซื้อมันไว้ทั้งหมด”
“แต่ข้าจะรอแค่ครึ่งวันเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่อาจมาถึงได้ตามเวลาที่กำหนด ก็ให้ไสหัวไป”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษวัยกลางคน จากนั้นรอยยิ้มเขินอายก็ปรากฏขึ้น