Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 881

ตอนที่ 881

เวทผนึกอสูรรุ่นที่หก!

“บัดซบ!” สีหน้าเมิ่งฮ่าวสลดลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนแทบจะเป็นความฝัน เมื่อเฉียนตัวตัวปลดปล่อยจิตมารของเขาออกมา มันก็มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเมิ่งฮ่าว และได้เปลี่ยนแปลงบุคลิกส่วนตัวเขาไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาได้เยือกเย็นลง แต่ก็เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น จริงๆ แล้วเขาได้สูญเสียความรู้สึกต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัวไป

การรับรู้ได้ถึงสถานการณ์รอบข้างเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับจิตมาร

และตอนนี้เขากำลังพุ่งออกไปจากสังเวียนการประลอง ออกไปสู่ความว่างเปล่าที่ด้านนอก

เนื่องจากพลังอันรุนแรงที่เขาเพิ่งจะปลดปล่อยออกมา จิตมารจึงได้เดือดพล่านไปโดยสิ้นเชิง และเนื่องจากพลังที่ทำให้เขาต้องลอยออกไปจากลานประลองนั้น ได้กระจายออกไปมากกว่าครึ่ง จึงทำให้สติของเมิ่งฮ่าวไม่ถูกขัดขวางไว้อีกต่อไป แทบจะราวกับว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน

เมิ่งฮ่าวไม่มีเวลาที่จะไปกังวลเรื่องการขจัดจิตมารส่วนที่เหลือออกไป ตอนนี้เขาตกอยู่ในท่ามกลางอันตรายอันร้ายแรง ในทันทีที่เขาหลุดออกมาจากสังเวียนการประลอง บุรุษครึ่งศีรษะก็เข้ามาใกล้และคว้าจับไปที่ตัวเขา

มือของมันเย็นชาราวน้ำแข็ง และในทันทีที่มันแตะสัมผัสมาโดนตัวเมิ่งฮ่าว ทั่วทั้งร่างเขาก็กลายเป็นน้ำแข็งไป เขากำลังจะพยายามดิ้นรน แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป นี่เป็นผลมาจากบางสิ่งที่บุรุษครึ่งศีรษะได้กระทำมา วิชาเวทที่มันปลดปล่อยมายังเมิ่งฮ่าวเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง!

มันคือ…เวทผนึกอสูรรุ่นแปด!!

ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ถูกกักตัวไว้โดยสิ้นเชิง ไม่อาจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย ในเวลาเดียวกันนั้น พลังชีวิต, พื้นฐานฝึกตน, ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาก็พุ่งตรงไปยังบุรุษครึ่งศีรษะในทันที ราวกับว่ามันต้องการจะกลืนกินลงไปด้วยความตะกละตะกลาม

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่ทันใดนั้นบุรุษครึ่งศีรษะ ได้พุ่งออกไปยังที่ห่างไกลโดยมีเขาพ่วงไปด้วย หายลับตาไปในกลุ่มหมอกอย่างฉับพลัน

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมิ่งฮ่าวหายตัวไปก่อนที่คนทั้งหมดในต้นไม้เต๋าจะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ

สีหน้าหลิงอวิ๋นจื่อสลดลง มันบินขึ้นไปในอากาศ แต่เมื่อมองออกไปในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกวิตกกังวล แต่ก็รู้ว่า…เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเข้าไปในกลุ่มหมอกนั้น

ชายชราอีกสองคนก็มีสีหน้าที่หมองคล้ำลงเช่นเดียวกัน ขณะที่พวกมันจ้องมองไปยังจุดที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะหายตัวไปในกลุ่มหมอก

คนทั้งหมดที่อยู่บนต้นไม้เต๋าอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วมากเกินไป เป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะคาดคิดได้ สำหรับจ้าวอีฝาน ตอนนี้มันนอนกองอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้เต๋า หมดสติไป ชีวิตถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ที่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า ผู้ฝึกตนซึ่งกำลังมองไปยังการต่อสู้ในตอนนี้ รู้สึกว่าจิตใจพวกมันกำลังสั่นสะท้าน สีหน้าไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมื่อพวกมันมองไปขณะที่บุรุษครึ่งศีรษะนำเมิ่งฮ่าวจากไป

“มัน…มันได้อันดับหนึ่ง แต่…”

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น? เป็นไปไม่ได้!”

“บัดซบ! มันได้อันดับหนึ่ง! เอาชนะจ้าวอีฝานได้! มันได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันสิบด่านแรก จากนั้นก็ได้อันดับหนึ่งในสังเวียนการประลอง มันต้องกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าอย่างแน่นอน แล้ว…แล้วมันจะจบลงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?!?”

“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเศษซากเซียนจะอันตรายเช่นนี้! ทำไมพวกมันถึงได้จัดการต่อสู้อยู่ในสถานที่เช่นนี้!?!?”

หลายคนในกลุ่มฝูงชนที่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้าต่างก็มีโทสะ พวกมันเพิ่งจะได้เห็นฟางมู่มีชื่อเสียงขึ้นมา หลายคนเริ่มมองว่าเขาจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า แต่ทั้งหมดนี้ก็หายไปในทันที

ยังมีบางคนได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอีกด้วย ฟางมู่มีความแข็งแกร่งมากเกินไป จนถึงจุดที่ผู้ฝึกตนในรุ่นเดียวกันต้องรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่สะกดข่มลงมา การที่เขาหายตัวไปเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากที่สุด เท่าที่พวกมันคิด

“ฟางมู่ต้องตายไปอย่างแน่นอน บุรุษครึ่งศีรษะนั่นนำตัวมันไปโดยไม่ดูกาลเทศะเลยแม้แต่น้อย”

“ช่างเป็นผู้ถูกเลือกที่โชคร้ายนัก ตอนนี้คู่แข่งในอนาคตของข้าก็มีน้อยลงไปหนึ่งคนแล้ว”

ขณะที่กลุ่มฝูงชนในขุนเขาทะเลที่เก้าส่งเสียงพูดคุยกันไปมา เหล่าปรมาจารย์ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็มองไปด้วยความตกตะลึง ปรมาจารย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขณะที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมายืน ตอนแรกพวกมันมองตรงไปยังจุดที่เมิ่งฮ่าวหายตัวไป จากนั้นก็หันหน้ามองไปยังหญิงสาวชุดขาวที่ลอยตัวอยู่เหนือต้นไม้เต๋า

หญิงสาวจ้องมองลงไปยังจ้าวอีฝานที่ไร้สติ จากนั้นก็หันหน้ามองออกไปยังความว่างเปล่า นางพึมพำกับตัวเองอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็หมุนตัวและหายไปในทิศทางเดียวกับเมิ่งฮ่าวในทันใด

หลังจากที่ได้เห็นเช่นนี้ ปรมาจารย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด

“บางที…ฟางมู่อาจจะไม่ตาย!”

“บางที…พวกเราอาจจะทำได้สำเร็จในครั้งนี้!!”

“อา…ลำดับขั้นในจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่) มีแต่ขุนเขาทะเลที่เก้าเท่านั้นที่ยังไม่ได้ส่งใครเข้าไปในลำดับขั้นนั้น…”

เวลาเดียวกันนั้น ที่ด้านนอกของดาวตงเซิ่ง (ชัยชนะตะวันออก) ปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังลอยตัวอยู่ในท่ามกลางหมู่ดาว ดวงตามันเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ สูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วงขณะที่มองไปยังจอภาพกระแสน้ำวน

“สารเลวน้อยนั่นกำลังจะตายไปเช่นนั้น? เป็นไปไม่ได้! ถ้าสารเลวน้อยน้อยนั่นถูกกำจัดไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น มันก็คงจะไร้ความยุติธรรมเกินไป แต่ว่าทำไม…บุรุษครึ่งศีรษะนั้นถึงได้…ดูคุ้นตาเช่นนี้…?”

ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังนั่งขัดสมาธิอยู่บนอุกกาบาตที่กำลังพุ่งฝ่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว กำลังมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนจอภาพกระแสน้ำวนที่เบื้องหน้าอย่างเงียบๆ

ในเต๋าคุนหลุน ตานกุ่ยกำลังสั่นสะท้าน และแสงอันเจิดจ้าได้สาดประกายออกมาจากดวงตา ถึงแม้ท่านจะไม่เชื่อว่าเมิ่งฮ่าวจะถูกสังหารไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น แต่นี่คือเศษซากเซียน…

ฉู่อวี้เยียนก็กำลังสั่นสะท้านอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน สูดลมหายใจเข้าไปอย่างเร่งร้อน สีหน้าซีดขาว นางไม่กล้าจะเชื่อว่าเมิ่งฮ่าวได้ตายไปจริงๆ พลังทั้งหมดดูเหมือนว่าจะหายไปจากตัวนางจนหมดสิ้น เดินโซเซถอยไปทางด้านหลังสองสามก้าว หยดน้ำตาเริ่มไหลลงมาจากใบหน้า

“มันจะต้องไม่ตาย…”

บนดาวหนานเทียน ในดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่ บิดามารดาเมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ในตระกูลฟาง สีหน้าซีดขาว กำมือจนแน่น สีหน้าฟางซิ่วเฟิงสงบนิ่ง แต่ในจิตใจความต้องการสังหารพุ่งขึ้นมาอย่างน่ากลัว

หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สองสามครั้ง ท่านก็ร้องคำรามออกมา “ฮ่าวเอ๋อร์ไม่ใช่คนที่จะต้องตายไปตั้งแต่อายุยังน้อย มันต้องไม่ถูกสังหารไป แต่ถ้ามันตายไปจริงๆ…ข้า, ฟางซิ่วเฟิง ขอสาบานว่าจะเฝ้ารักษาดาวดวงนี้ต่อไป แต่หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งแสนปี ข้าจะเปิดประตูเพื่อปลดปล่อยเหล่ามารปีศาจด้วยตนเอง เพื่อให้สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ต้องถูกฝังไปพร้อมกับบุตรชายข้า!”

“ยิ่งไปกว่านั้น เศษซากเซียนเหล่านั้น…จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกร่วมกลบฝังไปด้วยกัน!”

เมื่อเฉินฝาน, เจ้าอ้วน และหลี่ซือฉีมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ พวกมันก็สั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมดตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะได้อันดับหนึ่ง แต่จากนั้น…ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!

………..

เป็นเรื่องธรรมดาที่เมิ่งฮ่าวยังไม่ได้ตายไป

บุรุษครึ่งศีรษะจับเขาไว้แน่น ขณะที่พุ่งฝ่ากลุ่มหมอกไป เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่พลังชีวิต, พื้นฐานฝึกตน และกลิ่นอายของตัวเองถูกบุรุษผู้นั้นดูดซับเข้าไป

อย่างช้าๆ เลือดเนื้อบนศีรษะของบุรุษผู้นั้นเริ่มถูกรักษาฟื้นฟูมา กลิ่นอายมันค่อยๆ ห่างออกไปจากความตายอย่างช้าๆ และเริ่มมีพลังชีวิตฟื้นคืนมาอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในแง่ของสติสัมปชัญญะดูเหมือนว่ายังคงจะยังไม่ฟื้นฟูกลับมา ราวกับว่ามันไม่มีจิตใจ และกำลังกระทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น

เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหว และความนึกคิดก็เฉื่อยชา ควาหนาวเหน็บราวน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วร่าง แต่ขณะที่พลังชีวิตถูกดูดออกไป จิตมารที่ยังคงเหลืออยู่ก็ถูกดูดซับออกไปด้วยเช่นกัน

ขณะที่บุรุษครึ่งศีรษะดูดซับจิตมารออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ มันก็หยุดชะงักนิ่ง และเปลวไฟสีดำก็ลุกโชนขึ้นมาบนร่างกายมัน

บุรุษผู้นี้รู้สึกหวาดกลัวต่อเปลวไฟของจิตมารมาก่อน และตอนนี้เมื่อมันกำลังดูดซับพื้นฐานฝึกตนและพลังชีวิตของเมิ่งฮ่าว ร่างกายมันก็เริ่มลุกไหม้ขึ้น สีหน้าเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้ามัน

ทันใดนั้น จู่ๆ เมิ่งฮ่าวสามารถจะขยับตัวได้อีกครั้ง และยังมีสติกลับคืนมาด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องตกตะลึงขึ้นในทันทีเมื่อคิดว่า

“มัน…มันสามารถใช้เวทผนึกอสูรรุ่นแปดได้! มันคือใคร? เป็นไปได้หรือไม่ว่า…มันก็มาจากพันธมิตรผู้ผนึกอสูรด้วยเช่นกัน!?”

“กระบี่นั่นประกอบด้วยพลังของเวทผนึกอสูรรุ่นหก และถูกแทงเข้าไปในร่างมัน ถ้ามันมาจากพันธมิตรผู้ผนึกอสูร คงจะมีการต่อสู้กันเองภายในพันธมิตรผู้ผนึกอสูร หรือว่า…มันแทงกระบี่นั่นเข้าไปในร่างตัวเอง เพื่อทำการผนึก!!” ความคิดมากมายวิ่งอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว แต่ในช่วงอันตรายอันวิกฤตนี้ เขาไม่มีเวลาที่จะมาขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ฉวยโอกาสในตอนนี้ปลดปล่อยพื้นฐานฝึกตนออกไป ชีพจรเซียนเริ่มกระจายปราณเซียนออกมา เขาพยายามใช้มันในการต่อต้านขัดขืนบุรุษครึ่งศีรษะ แต่น่าเสียดายที่คนผู้นี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และความพยายามของเขาก็ต้องสูญเปล่า

อย่างไรก็ตาม…เมิ่งฮ่าวไม่ได้สนใจที่จะต่อสู้กับมัน แต่เขาใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ที่สามารถจะขยับตัวเคลื่อนไหวได้ ยื่นมือออกคว้าจับไปที่กระบี่ซึ่งปักอยู่ในร่างมันในทันที

ทันทีที่เขาแตะสัมผัสมือไปที่กระบี่ แผ่นหยกผนึกอสูรโบราณในถุงสมบัติก็เริ่มสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันนั้น บุรุษครึ่งศีรษะก็เริ่มส่งเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวก็ใช้พลังเล็กน้อยที่สามารถจะรวบรวมมาได้ทั้งหมด ดึงกระบี่ออกมาจากร่างกายมัน

ขณะที่เขาดึงกระบี่ออกมา…โลหิตสีดำก็พุ่งกระจายตามออกมา บุรุษผู้นั้นสั่นสะท้าน ปล่อยเมิ่งฮ่าวไป จากนั้นก็พุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าซีดขาวและโลหิตก็กระจายออกมาจากปากมัน

มันสูญเสียพลังชีวิตไปมากมาย พื้นฐานฝึกตนก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ยอมหยุดชะงักไปแม้แต่น้อย กลับเร่งความเร็วเท่าที่จะทำได้เพื่อหลบหนีจากไป

บุรุษครึ่งศีรษะสั่นสะท้านไปมา กดมือลงไปบนบาดแผลของมัน แต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไร โลหิตก็ยังคงไหลออกมาจากรอยแผลนั้นอย่างต่อเนื่อง

“ข้าคือใคร…? ข้า…ข้าคือใคร?” บุรุษผู้นั้นพึมพำ สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ดูเหมือนว่าจิตใจจะตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ขณะที่คำพูดมันดังก้องออกมา

“กระบี่ข้า…กระบี่ของข้า…” ขณะที่คำพูดมันดังก้องไปมา โลหิตที่กำลังไหลออกมาจากร่างมัน จู่ๆ ก็รวมตัวเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นอสรพิษโลหิตจำนวนมากมาย ร่างของพวกมันปกคลุมเต็มไปด้วยหนวดที่ยาวออกมา ดูดุร้ายน่ากลัวอย่างถึงที่สุด อสรพิษโลหิตไหลออกมาจากบาดแผลของมันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มไปทั่วบริเวณนั้น มีจำนวนเกือบถึงหนึ่งพันตัว

หนังศีรษะเมิ่งฮ่าวเริ่มด้านชา

ในตอนนี้เองที่เสียงหวีดหวิวแหวกฝ่าอากาศได้ยินมาจากที่ห่างไกลออกไป สายลมสีดำกำลังใกล้เข้ามา ตามมาด้วยวิหคยักษ์ที่กำลังเน่าเปื่อย ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เมิ่งฮ่าวเคยเห็นมาจากที่ด้านนอกของต้นไม้เต๋า วิหคยักษ์เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางตะกละตะกลาม มุ่งหน้าตรงมายังบุรุษครึ่งศีรษะ

เมื่อมันเข้ามาใกล้ บุรุษผู้นั้นก็พึมพำอะไรบางอย่างออกมา จากนั้นดวงตามันก็สาดประกาย ทำการร่ายเวทด้วยมือขวา และชี้นิ้วตรงไปยังวิหคยักษ์

เวทผนึกอสูรรุ่นแปด!

ดรรชนีที่ชี้ออกไปแค่หนึ่งครั้งนั้น ทำให้วิหคยักษ์ต้องหยุดชะงักนิ่งและจากนั้นก็ตกลงมา

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน

ต่อมากลุ่มหมอกก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วน ขณะที่มีเงาร่างโผล่ออกมามากขึ้นไปเรื่อยๆ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ฝึกตนที่มีครึ่งท่อนล่างเป็นอสรพิษ และพวกมันทั้งหมดต่างก็จ้องมองไปยังอสรพิษโลหิตที่กำลังไหลออกมาจากภายในบาดแผลของบุรุษผู้นั้นด้วยสายตาที่ตะกละตะกลาม จากแววตาของพวกมัน ราวกับว่ากำลังจ้องมองไปยังของวิเศษ ในชั่วพริบตาพวกมันก็พุ่งตรงมาอย่างบ้าคลั่ง

“ข้าคือ…ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่หก…” บุรุษครึ่งศีรษะกล่าว มองไปรอบๆ บริเวณนั้นยังเงาร่างที่พุ่งเข้ามาด้วยสายตาที่งุนงง มือมันกดลงไปบนบาดแผลที่ข้างลำตัว ขณะที่พยายามป้องกันไม่ให้อสรพิษโลหิตไหลออกมา ภายในดวงตามันประกายแห่งความแจ่มใสจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น

“เวทผนึกอสูรรุ่นที่หก…เวทเป็นตาย!” เมื่อพูดจบ มันก็ยกมือขวาขึ้นชี้นิ้วตรงไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!