Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 908

I Shall Seal The Heaven

ตอนที่ 908

ศาลาโอสถ

ทันใดนั้น เสียงพูดคุยก็เริ่มกระจายออกไปทั่วทั้งกลุ่มฝูงชน

“คาดไม่ถึงว่ามันจะเก็บค่าเล่าเรียน!!”

“ท่านย่ามันเถอะ! ช่างไร้ยางอายนัก! เจ้าคนหลอกลวง!”

“พวกเราไปที่ยอดเขาอื่นกันเถอะ ไม่มีนักปรุงยาใดๆ เก็บคะแนนความดีกัน!”

แทบจะในทันที เด็กฝึกปรุงยานับหมื่นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อและจากไป เมิ่งฮ่าวมองพวกมันจากไปและถอนหายใจออกมา คิดอยู่ภายในใจ

“กลุ่มคนตระกูลฟางเหล่านี้ช่างตระหนี่นัก ก่อนหน้านี้มีอยู่มากมายหลายคน แต่ทันทีที่ข้าพูดถึงเรื่องขอเก็บคะแนนความดี มีอยู่หลายคนที่ลุกขึ้นและจากไป…”

ในที่สุดก็เหลืออยู่เพียงแค่ประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น สำหรับพวกมันแล้ว หนึ่งคะแนนความดีไม่ได้มากมายนัก เมื่อคิดว่าเมิ่งฮ่าวเป็นผู้ให้คำบรรยาย พวกมันรู้สึกว่าคุ้มค่านัก

ครั้งนี้เมิ่งฮ่าวบรรยายไปสามชั่วยาม หลังจากนั้นเขาก็เก็บคะแนนความดีได้สองสามพันคะแนน จากนั้นก็ออกไปจากแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา และกลับเข้าไปในถ้ำแห่งเซียนของตัวเอง หนึ่งชั่วยามต่อมา ฟางซีก็กลับมา ด้วยท่าทางที่ทั้งตื่นเต้นและระมัดระวังตัวด้วยในเวลาเดียวกัน นกแก้วเกาะอยู่บนไหล่ของมันข้างหนึ่ง และผีโต้งก็เกาะอยู่อีกข้าง มันดูท่าทางมีความภาคภูมิใจในตนเอง

“อา! พวกเราได้กำไรแล้ว!”

เมิ่งฮ่าวหัวเราะ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า ในตระกูลฟางนี้ คะแนนความดีก็เหมือนกับหินลมปราณ หรือแม้แต่หยกเซียน เมื่อต้องการสิ่งใดๆ ก็ตาม ต้องใช้คะแนนความดีมาทำการแลกเปลี่ยน

เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ หยิบเอาเหรียญหยกออกมา หลังจากที่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านไป เขาก็แยกคะแนนความดีออกมาหนึ่งร้อยคะแนนและส่งต่อให้กับฟางซี

“พวกเราต้องทำให้เด็กฝึกปรุงยาที่เจ้าจ้างไว้ไม่หมดกำลังใจไปซะก่อน บอกพวกมันว่ายิ่งพวกมันทำการสนับสนุนข้ามากเท่าใด พวกมันก็จะยิ่งได้รับคะแนนความดีมากขึ้นเท่านั้น”

ฟางซีค่อนข้างจะตื่นเต้นขึ้นอย่างแท้จริง มันไม่เคยคิดมาก่อนว่า ด้วยการใช้วิธีเช่นนี้จะทำให้ได้รับคะแนนความดีเพิ่มขึ้นมาได้ กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว คะแนนความดีที่มันได้รับมากที่สุดในช่วงหนึ่งเดือนจะอยู่ที่ประมาณห้าร้อยแต้ม แต่เมื่อครู่นี้เพียงแค่สามชั่วยามก็สามารถทำได้สองสามพันแต้ม สำหรับมันแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าเมิ่งฮ่าวยิ่งมีความลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม

ในตอนนี้เองที่ฟางซีได้กล่าวขึ้น “ข้ารับปากพวกมันว่าจะให้คนละสิบแต้ม…”

“อย่าได้ตระหนี่ ฟางซี” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง “ฟังนะ อย่าได้ทำผิดพลาดเช่นนี้อีก เจ้าตระหนี่มากเกินไป เจ้าต้องคิดการใหญ่เข้าไว้! มันก็แค่เงินเล็กน้อยเอง ใช่หรือไม่?! ถ้าผู้ฝึกตนเช่นพวกเรามัวแต่คิดเรื่องหยุมหยิม แล้วจะทำให้พื้นฐานฝึกตนมีความก้าวหน้าขึ้นได้อย่างไร?”

ฟางซีอ้าปากค้างไปชั่วขณะด้วยความลังเล แต่ก็ไม่อาจจะหักห้ามใจได้ จนต้องกล่าวขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง “ความหมายของข้าคือ…ท่านให้มาไม่พอ ข้ารับปากพวกมันว่าจะให้คนละสิบแต้ม และข้าก็จ้างไปหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามคน…”

สีหน้าเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไปในทันที และนิ่งเงียบไปชั่วขณะ

ความเงียบของเขา ฉับพลันนั้นก็ทำให้ฟางซีรู้สึกวิตกกังวลใจ และรีบกล่าวต่อไป “ข้ารู้ว่าข้าเลอะเลือนไป ครั้งหน้าเมื่อข้าจ้างพวกมัน ก็จะบอกว่าพวกมันจะได้คนละห้าสิบแต้ม”

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวบิดเบี้ยวขึ้นในทันที สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ มองไปยังฟางซีและกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ “ฟางซี ฟังข้านะ เจ้าไม่เคยมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบากมาก่อน ดังนั้นเจ้าจึงไม่รู้ว่าเรื่องราวจะยุ่งยากมากแค่ไหน เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกตนเช่นพวกเราขึ้นอยู่กับอะไรมากที่สุด? ทรัพยากร! หินลมปราณ! หยกเซียน!”

“ถ้าเจ้าต้องการจะแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่นๆ เจ้าก็ต้องมีหินลมปราณให้มากขึ้น! มีทรัพยากรมากขึ้น! นั่นคือเส้นทางแห่งพลัง!”

“อย่าได้ทำความผิดพลาดเช่นนี้อีก เจ้าต้องเรียนรู้ถึงวิธีที่จะทำงานอย่างหนักและมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย! จงขยันและรู้จักประหยัด! เรียนรู้ถึงวิธีที่จะได้รับมาเพียงแค่หนึ่งคะแนนความดี และแบ่งมันออกเป็นสิบส่วน! นั่นคือสิ่งที่ผู้ฝึกตนเช่นพวกเราสามารถจะบรรลุถึงจุดสูงสุดและยืนหยัดอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป!” เมิ่งฮ่าวตบไปที่ไหล่ของฟางซี สะกดข่มความเจ็บปวดภายในใจไว้ หยิบเอาเหรียญคำสั่งออกมา และส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปอีกครั้ง ทำให้คะแนนความดีหนึ่งพันแต้มถูกโอนย้ายออกไป

“จดจำไว้ในสิ่งที่ข้าเพิ่งจะบอกไป” เมิ่งฮ่าวกล่าวเตือน “หนึ่งคะแนนความดี แบ่งออกเป็นสิบส่วน…เจ้าไม่อาจจะแค่โยนเงินออกไปเท่านั้น!”

ฟางซีอ้าปากค้างมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความตกตะลึง คำพูดที่เขาเพิ่งจะกล่าวออกมาเมื่อครู่นี้ ช่างแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาได้พูดมาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง แต่ทั้งสองอย่างก็ฟังดูมีเหตุผลเช่นเดียวกัน

สุดท้ายเมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจจะอดกลั้นได้จนต้องกล่าวเพิ่ม “ครั้งหน้าเมื่อเจ้าจ้างใครอีก ให้พวกมันหนึ่งคะแนนความดีต่อหนึ่งคน นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

พร้อมกับเสียงถอนหายใจ เขาหันหลังและมุ่งหน้าเข้าไปในห้องพัก

จากคะแนนความดีมากกว่าสามพันแต้มที่เขาเพิ่งจะได้รับมา ตอนนี้เหลืออยู่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้เขาค่อนข้างจะตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อรวมกับความจริงที่ว่า ในช่วงดึกของยามราตรีนั้น เมิ่งฮ่าวต้องทำการคัดลอกน้ำยาวิญญาณสกัดเพิ่มขึ้นอีก เพื่อใช้หยดไปบนผลเนี่ยผาน ทำให้วันต่อมาถุงสมบัติของเขาก็ดูเหมือนจะหดตัวลงไปอย่างน่าเศร้าขึ้นอีกครั้ง ในตอนนั้นเมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะใกล้บ้าขึ้นอย่างแท้จริง

เขารักหินลมปราณ และรักการเป็นผู้ที่ร่ำรวย ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขารักน้อยมากที่สุดคือการใช้จ่ายหินลมปราณออกไป…

สำหรับเขาแล้ว ทำให้รู้สึกราวกับว่ากำลังมีโลหิตไหลหยดหยาดลงมา

เมื่อถึงยามรุ่งอรุณ เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมา เมื่อฟางซีมองเห็นเขา ก็ต้องจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง

“เกิดอะไรขึ้น?” มันถามด้วยความห่วงใย

ดวงตาเมิ่งฮ่าวกลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง และสีหน้าก็ค่อนข้างจะดุร้าย เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ลึกลงไปในดวงตา แสงอันเจิดจ้าแวบขึ้นมา

“ข้าต้องรวยขึ้นให้ได้! ข้าต้องมีคะแนนความดีมากขึ้น!!”

เมิ่งฮ่าวกลับไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา และไปยังยอดเขาเจ็ดหนึ่งเก้าหนึ่ง เขาบรรยายเกี่ยวกับต้นพืชสมุนไพรต่อไป แต่ครั้งนี้มีผู้คนน้อยกว่าครั้งที่แล้ว เพียงแค่ประมาณเก้าร้อยคนเท่านั้น

แต่เขาก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ เพื่อที่จะได้รับคะแนนความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาบรรยายไปตลอดทั้งวันก่อนที่จะจากไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย

หลังจากนั้นทุกครั้งที่เขามา ก็จะมีผู้คนมาเข้าฟังน้อยลงไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ก็มีเพียงแค่สี่ร้อยกว่าคนเท่านั้นที่มาฟัง ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องถอนหายใจออกมา คนกลุ่มนี้คือกลุ่มเด็กฝึกปรุงยาดั้งเดิมที่รู้สึกคลั่งไคล้ต่อเมิ่งฮ่าวมากที่สุด

ท่ามกลางพวกมันเป็นนักปรุงยาอันดับแรกฟางฉวิน ซึ่งเทิดทูนบูชาเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่บรรยายจบ เมิ่งฮ่าวยังไม่จากไป แต่ไปยังถ้ำแห่งเซียนของฟางฉวิน และสอบถามปัญหาบางอย่างไปตรงๆ

“ฟางฉวิน ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา เด็กฝึกปรุงยาจะถูกเลื่อนให้เป็นนักปรุงยาเต็มตัวได้อย่างไร?”

ฟางฉวินมักจะปฏิบัติต่อเมิ่งฮ่าวด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกแปลกใจต่อคำถามนี้ แต่ก็รีบตอบไปอย่างรวดเร็ว

“การที่จะกลายเป็นนักปรุงยาเต็มตัว ท่านต้องปรุงยาของระดับหนึ่งอย่างน้อยก็หนึ่งพันเม็ด และต้องผ่านชั้นแรกของศาลาโอสถไปได้”

“สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การผ่านเข้าไปในศาลาโอสถ นั่นเป็นการบ่งชี้ว่าทักษะในเรื่องต้นสมุนไพรของท่านได้บรรลุถึงขั้นของนักปรุงยาระดับแรกแล้ว”

“น่าเสียดายที่มันเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง ใครก็ตามที่อยู่ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา ซึ่งไม่ได้ศึกษาต้นพืชสมุนไพรมาอย่างน้อยสิบปีขึ้นไป ก็ยากที่จะผ่านชั้นแรกไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้าสามารถจะปรุงยาของระดับสองได้ ถึงแม้ว่าอัตราการสำเร็จจะไม่สูงมากนักก็ตามที แต่เนื่องจากการพยายามเป็นอย่างมากของข้า ทำให้ผ่านการทดสอบจากศาลาโอสถมาได้อย่างฉิวเฉียด เนื่องจากทักษะเกี่ยวกับต้นพืชสมุนไพรของข้าไม่ค่อยดีนัก จึงไม่อาจจะผ่านไปยังระดับสองได้ และสุดท้ายข้าก็กลายมาเป็นนักปรุงยาระดับแรก” ฟางฉวินหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

“ศาลาโอสถ?” เมิ่งฮ่าวถาม ดวงสาดสาดประกายขึ้น “ท่านเข้าไปที่นั่นได้อย่างไร?”

“ไม่ว่าท่านจะเป็นนักปรุงยาเต็มตัวหรือว่าเป็นเด็กฝึกปรุงยา ใครก็สามารถจะเข้าไปในศาลานั่นได้ทุกเมื่อ ศาลาโอสถถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยปรมาจารย์เต๋าแห่งการปรุงยาเมื่อในอดีต มีการทดสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านสามารถจะคิดออกมาได้ และมีเก้าชั้นซึ่งสอดคล้องกับนักปรุงยาเก้าระดับ”

“ใครก็ตามที่มีความเชื่อมั่นเพียงพอ ก็สามารถจะจ่ายเป็นคะแนนความดีออกไปหนึ่งร้อยแต้มเพื่อเข้าไปในภูเขาด้านใน และไปขอทดสอบที่ศาลาโอสถได้”

“มันเป็นเรื่องที่ยากมาก” ฟางฉวินกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “เด็กฝึกปรุงยาทั้งหมดจากยอดเขาที่เจ็ดหนึ่งเก้าหนึ่ง มีแค่เจ็ดถึงแปดคนเท่านั้นที่สามารถจะทำได้ และต้องศึกษาเรียนรู้มามากกว่าสิบปีขึ้นไป สำหรับส่วนที่เหลือ ส่วนใหญ่แล้วต้องเรียนรู้อยู่หลายสิบปีก่อนที่จะคิดไปทำการทดสอบ ถ้าท่านพยายามที่จะประทับความรู้เข้าไปในความทรงจำ จิตใจก็จะระเบิดออกจากการจมอยู่ในต้นพืชสมุนไพรที่มากมายอย่างไม่รู้จบ เว้นแต่ว่าพื้นฐานฝึกตนของท่านจะอยู่ที่ระดับยากหยั่งถึงเท่านั้น”

เมิ่งฮ่าวรู้ว่าเมื่อพูดถึงเรื่องต้นพืชสมุนไพร มันก็มีรูปแบบที่ไร้จุดสิ้นสุด ซึ่งยากที่จะประทับลงไปในความทรงจำด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากฟางฉวิน เขาก็เริ่มพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็วางแผนที่จะเริ่มดำเนินการอยู่ในจิตใจ

“ยังมีวิธีการอื่นที่จะกลายเป็นนักปรุงยาเต็มตัวบ้างหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น

“วิธีการอื่น…?” ฟางฉวินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นดวงตาก็สาดประกายขึ้น อย่างไรก็ตามพวกมันก็เริ่มมืดสลัวลงไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “มีแต่ก็ยากมาก จริงๆ แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้สำเร็จด้วยวิธีนั้น”

“หลายหมื่นปีที่ผ่านมา มีเม็ดยาพิเศษอยู่สามชนิดในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา ถ้านักปรุงยาหรือเด็กฝึกปรุงยาใดๆ สามารถจะปรุงขึ้นมาได้ ก็จะถูกเลื่อนขั้นให้กลายเป็นนักปรุงยาระดับแปดในทันที ซึ่งคนผู้นั้นก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งตระกูลในทันใด”

“เม็ดยาทั้งสามชนิดนั้นเป็นเม็ดยาที่มีชื่อเสียงซึ่งถูกปรุงขึ้นมาโดยท่านปรมาจารย์เมื่อในอดีต แต่น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าพวกท่านจะทิ้งสูตรยาไว้หลังจากที่ตายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะปรุงยาเหล่านั้นได้สำเร็จมาก่อน”

“ทั่วดาวตงเซิ่งนี้ทั้งหมด แม้แต่สำนักเย่าเซียน (เซียนโอสถ) ก็สามารถจะปรุงได้แค่สองในสามชนิดเท่านั้น แน่นอนว่าถึงแม้สำนักเย่าเซียนจะมีรากเหง้ามาจากตระกูลฟาง และอาจจะถือได้ว่าเป็นสำนักสาขาและเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าแห่งการปรุงยาของพวกเรา แต่พวกมันก็ยังคงแทบจะถูกถือว่าเป็นคนนอก การที่พวกมันสามารถจะปรุงเม็ดยานั้นขึ้นมาได้ ในขณะที่พวกเราไม่อาจจะทำได้ จึงถือได้ว่าค่อนข้างจะเป็นความอัปยศสำหรับพวกเรา”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสูตรของเม็ดยาทั้งสามชนิดถึงได้ถูกเก็บอยู่ในศาลาโอสถ ทางตระกูลต้องการที่จะให้รางวัลอย่างยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่ปรุงพวกมันขึ้นมาได้ คาดกันว่ารางวัลเหล่านั้นน่าจะประกอบด้วยสามสิ่งเหล่านี้คือ หยกเซียน, หินลมปราณนับล้านก้อน และคะแนนความดีห้าล้านแต้ม ซึ่งยังไม่รวมถึงต้นสมุนไพรอีกมากมาย, อาวุธเวท และตำราเวทต่างๆ”

“แต่น่าเสียดายที่ผ่านมาหลายหมื่นปีแล้ว ยังไม่มีใครเคยทำได้สำเร็จมาก่อน แม้แต่นักปรุงยาระดับเก้าของพวกเรา ผู้เฒ่าโอสถฟางตานอวิ๋น ก็ยังต้องยอมรับว่าท่านไม่อาจจะปรุงพวกมันขึ้นมาได้”

ฟางฉวินส่ายหน้าไปมา

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น จนแทบจะพุ่งทะลุออกไป

“ยังมีอีกเรื่อง เพราะว่าส่วนผสมต้นพืชสมุนไพรมีราคาที่สูงมากเป็นอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่พยายามจะปรุงเม็ดยาเหล่านั้น ต้องนำคะแนนความดีหนึ่งล้านแต้มไปเป็นหลักประกัน ไม่ว่าพวกมันจะทำได้สำเร็จหรือล้มเหลว คะแนนความดีก็จะถูกลบทิ้งไป”

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนมาคว้าจับไปที่ลำคอ และเริ่มบีบลงไปจนแน่น ทำให้ต้องใช้เวลานานก่อนที่เขาจะสามารถหายใจเข้าไปได้อีกครั้ง

“คะแนนความดี! คะแนนความดีอีกแล้ว!!” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที สะกดข่มความรู้สึกที่กำลังพุ่งขึ้นมาในจิตใจลงไป หลังจากที่ใช้เวลาวางแผนอยู่เล็กน้อย ดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นมาอีกครั้ง

“นำข้าไปยังศาลาโอสถ!” จู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้น

“ท่าน…ท่านต้องการไปทดสอบที่ศาลาโอสถ!?” ฟางฉวินถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง จากนั้นมันก็มีท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาในทันที มันตระหนักดีถึงทักษะของเมิ่งฮ่าวที่เกี่ยวข้องกับต้นพืชสมุนไพรอันไร้ขีดจำกัดของเขา

“ไปทดสอบที่ศาลาโอสถ?” เมิ่งฮ่าวตอบ ด้วยน้ำเสียงที่ประหลาดใจ “ท่านจะช่วยจ่ายคะแนนความดีให้กับข้า? ข้าไม่ได้ไปเพื่อทำการทดสอบ แค่จะไปดูที่ชั้นแรกเท่านั้น” ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็บินออกไปจากถ้ำแห่งเซียน

“เอ่อ…ไม่ ข้าไม่ได้จะจ่ายให้…” ฟางฉวินรีบติดตามเมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านเข้าไปในเขตเทือกเขาอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดสองยอดเขาก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ระหว่างยอดเขาทั้งสองเป็นศาลาขนาดใหญ่ กำลังลอยอยู่ที่นั่นในกลางอากาศ กระจายแสงสีอันเจิดจ้าออกมา กลุ่มเมฆและสายหมอกลอยคลอเคล้าไปมาอยู่รอบๆ จนดูคล้ายกับเป็นนิเวศน์สถานของเหล่าเซียนเทพอย่างแท้จริง

ชายชราสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงด้านข้างของแท่นศิลาขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ที่ด้านนอกของศาลาที่ใหญ่โตนั้น

“นี่คือศาลาโอสถ” ฟางฉวินกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมศรัทธา “จากเรื่องเล่าที่บอกต่อกันมา ศาลานี้จริงๆ แล้วคือสิ่งของเวท เป็นของวิเศษอันล้ำค่าที่ท่านปรมาจารย์รุ่นแรกได้นำมาจากดาวดวงอื่น เดิมทีมันเป็นของคนอื่น และมักจะพยายามบินหนีไปหาคนผู้นั้น แต่หลังจากที่ท่านปรมาจารย์ได้ตายไปจากการเข้าฌาณ มันก็ยังคงถูกตรึงแน่นอยู่ในที่แห่งนี้ ลอยอยู่กลางอากาศและไม่อาจจะไปที่ไหนได้อีก”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้น บินขึ้นไปในอากาศมุ่งหน้าตรงไปยังศาลาโอสถ ทันทีที่เขาเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมอันเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อของตัวยาก็พุ่งมาปะทะใบหน้า ในชั่วพริบตา เขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมของตัวยาที่แตกต่างกันนับล้านชนิด ซึ่งได้ผสมรวมกันทั้งหมดอบอวลไปทั่วบริเวณนั้น

“ช่างมีต้นพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดนัก!” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับอ้าปากค้าง เขายังอยู่ที่ด้านนอก แต่ก็สามารถจะบอกได้ว่าที่ด้านในคงต้องน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่เข้าไปใกล้ สองชายชราที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันอยู่ที่ด้านนอกของศาลาโอสถก็ลืมตาขึ้นมา พวกมันมีรูปร่างหน้าตาที่ดูเก่าแก่โบราณอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับว่าพวกมันเป็นเทพเซียนที่มีพื้นฐานฝึกตนอันยากจะหยั่งถึง ทำให้เมิ่งฮ่าวสามารถบอกได้ว่า พวกมันยังมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้เฒ่าสูงสุดซะอีก

เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

สองชายชรามองมายังเมิ่งฮ่าว และแทบจะดูเหมือนว่าพวกมันสามารถจะมองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ในที่สุดพวกมันก็ถอนสายตากลับไปและหลับตาลง เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจากนั้นก็มองไปยังแท่นศิลาตัวอักษรขนาดใหญ่ซึ่งวางอยู่ที่ด้านข้าง

แท่นศิลาตัวอักษรนั้นถูกแบ่งออกเป็นเก้าชั้น แต่ละชั้นถูกเขียนรายชื่อไว้ ตรงชั้นแรกมีรายชื่อมากที่สุดมีอยู่นับแสน หลังจากชั้นแรก ยิ่งสูงมากขึ้นไป ก็จะยิ่งมีรายชื่อน้อยลงไปมากเท่านั้น และบางรายชื่อก็เป็นสีเทา บนชั้นที่เก้า มีทั้งหมดสิบรายชื่อ มีอยู่เก้าชื่อที่เป็นสีเทา และหนึ่งชื่อที่กำลังส่องแสงเจิดจ้าออกมา

ฟางตานอวิ๋น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!