ตอนที่ 935
ผลเนี่ยผานของข้า!
แสงตะวันสีม่วงประกอบด้วยความร้อนอย่างน่าตกใจยิ่ง คล้ายกับเป็นทะเลแห่งเปลวไฟสีม่วง ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องจมอยู่ภายในทะเลแห่งเปลวไฟนี้ ร่างกายถูกเผาไหม้ออกมาจากด้านใน เขากำลังถูกห้อมล้อมด้วยเปลวไฟ
สิ่งปฏิกูลภายในร่างเขากำลังถูกเผาไหม้จนเกรียมไป ทำให้กายเนื้อเข้าใกล้ความเป็นเซียนแท้มากขึ้นไปอีก
ฟางเว่ยก็กำลังดูดซับแสงและความร้อนเข้าไปด้วยเช่นกัน ฝานตงเอ๋อร์และคนอื่นๆ ได้มาถึงระดับความสูงสามหมื่นจ้างทีละคน พวกมันทั้งหมดนั่งลงขัดสมาธิและเริ่มเข้าฌาณ ทำการดูดซับแสงตะวันสีม่วงเพื่อให้กายเนื้อแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง ต่ำกว่าระดับความสูงหนึ่งหมื่นจ้าง มีเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นที่กำลังลอยตัวอยู่รอบๆ เขตความสูงสองหมื่นจ้างได้ การแบ่งแยกระหว่างกลุ่มคนทั้งสองสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่ง
ในคฤหาสน์โบราณของตระกูลฟาง เหล่าผู้อาวุโสกำลังมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่ทำเช่นนั้น ก็มีการพูดคุยอยู่ในท่ามกลางกลุ่มพวกมันด้วยกันเอง
“ท้องฟ้าที่เขตความสูงสามหมื่นจ้างเป็นสีม่วง ที่เขตความสูงหกหมื่นจ้างก็เริ่มเป็นสีม่วงเข้มซึ่งเป็นชายขอบของความมืด ที่เขตความสูงเก้าหมื่นจ้างก็จะกลายเป็นสีดำสนิทไป!”
“แต่ละชั้นของความสูงทั้งสามนี้ จะทำให้การกลั่นสกัดกายเนื้อมีผลลัพธ์ที่น่าตกใจยิ่ง ข้าอยากรู้นักว่าจะมีใครสามารถบรรลุถึงเขตความสูงหกหมื่นจ้างได้ในครั้งนี้!?”
“หลายปีนับไม่ถ้วนมาแล้ว มีไม่ถึงสามสิบคนที่สามารถจะบรรลุถึงเขตความสูงหกหมื่นจ้างได้”
เวลาผ่านไป ตอนนี้ที่ระดับความสูงสามหมื่นจ้างมีอยู่แปดถึงเก้าคนแล้ว รวมทั้งเมิ่งฮ่าวด้วย คนทั้งหมดหลับตาเข้าฌาณอยู่ ขณะที่ทำการดูดซับแสงตะวันสีม่วงเข้าไป มองเห็นกระแสน้ำวนกำลังหมุนไปมาอยู่รอบๆ ร่างพวกมัน คล้ายกับเป็นหลุมดำด้วยเช่นกัน ขณะที่ทำการกลืนกินความร้อนและแสงตะวันเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม
ที่น่าประหลาดใจมากที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ทั้งหมดก็คือ หลุมดำที่อยู่รอบๆ ร่างเมิ่งฮ่าวและฟางเว่ย ซึ่งมีความกว้างถึงหนึ่งร้อยจ้าง และกำลังดูดซับแสงตะวันสีม่วงที่อยู่รอบๆ ร่างของตนเองเข้าไปทั้งหมด
ตลอดทั้งช่วงเวลานั้นเป็นยามเที่ยงวัน เวลาได้ผ่านไปมากกว่าสามสิบชั่วยามแล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับเวลาที่ผ่านไปตามปกติสามวัน
เมื่อชั่วยามที่ห้าสิบมาถึง ไท่หยางจื่อเป็นคนแรกที่ลืมตาขึ้นมา มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ดวงตามันสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า และความร้อนอันน่าเหลือเชื่อก็กระจายออกมาจากร่างมัน ขณะที่ลุกขึ้นมายืน
“ร่างกายข้าได้บรรลุถึงขีดจำกัดที่เขตความสูงสามหมื่นจ้างนี้แล้ว มีอุปสรรคเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าดูดซับเข้าไปมากกว่านี้อีก…สิ่งเดียวที่ข้าสามารถจะทำได้คือ…ต้องพุ่งสูงขึ้นไปอีก เพื่อทำการดูดซับแสงตะวันและความร้อนที่มีความเข้มข้นให้มากกว่าเดิม มีแต่ทำเช่นนี้เท่านั้นข้าถึงจะสามารถทำลายกำแพงของตนเอง และผลักดันให้กายเนื้อสามารถทะลวงผ่านเข้าไปได้อีกขั้น!” มันมองไปรอบๆ ยังคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับตนเอง ในที่สุดสายตามันก็ไปหยุดอยู่ที่เมิ่งฮ่าวและฟางเว่ย
“การที่ต้องเกิดมาอยู่ในยุคเดียวกับพวกมัน…เป็นทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง” มันถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา จากนั้นก็กัดฟันแน่น ดวงตาสาดประกายด้วยความมุ่งมั่น สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และยกมือขวาขึ้นมา จู่ๆ ก็มีก้อนศิลาปรากฏขึ้นอยู่ในฝ่ามือของมัน ถึงแม้ว่าแสงสีม่วงจะปกคลุมไปทั่ว แต่ก้อนศิลานั้นก็ยังคงกระจายแสงสีทองอันเจิดจ้าออกมา
“เส้นใยตะวันเซียน!” มันร้องคำรามออกมา กำก้อนศิลาไว้แน่น ภาพแห่งธรรมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาที่ด้านหลัง มีความสูงหลายพันจ้าง อย่างน่าตกใจยิ่งภาพแห่งธรรมนั้นมีหน้าตาเหมือนกับไท่หยางจื่อเอง และต้นเถาวัลย์ประกายเซียนที่พันอยู่รอบๆ ร่างมัน ก็กำลังลุกไหม้อยู่
ในเวลาเดียวกันนั้น รูปแบบของลายเส้นจู่ๆ ก็กระจายออกไปทั่วทั้งร่างของไท่หยางจื่อ ทำให้มันมีพลังอย่างน่าตกใจยิ่งพุ่งขึ้นมา
“เมื่อเรื่องนี้จบลง ไม่ว่ากายเนื้อของข้าจะอยู่ที่ระดับใด! ข้าก็จะไปนั่งเข้าฌาณตามลำพัง และจะทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียนให้จงได้!” ร่างกายไท่หยางจื่อลุกไหม้ขึ้นคล้ายกับเป็นดาวตก ขณะที่มันพุ่งผ่านระดับความสูงสามหมื่นจ้างขึ้นไปอย่างรวดเร็ว บรรลุถึงระดับสี่หมื่นจ้างในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ซึ่งในที่สุดมันก็เริ่มเคลื่อนที่ช้าลงไป แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น มันก็กัดฟันแน่นและมุ่งหน้าต่อไป
ต่อมามันก็ผ่านระดับความสูงห้าหมื่นจ้างไปจนถึงห้าหมื่นสามพันจ้าง มันได้กระอักโลหิตออกมากองโต และก้อนศิลาในมือก็เริ่มแตกสลายไป ร่างกายมันดูเหมือนกำลังจะละลายไป แต่มันยังคงบังคับให้ตนเองนั่งลงขัดสมาธิและเริ่มเข้าฌาณต่อไป
“ข้ายังมีศิลาตะวันศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่านี้อยู่อีกสามก้อน แต่…นี่ก็คือขีดจำกัดของกายเนื้อข้าแล้ว ถ้ายังฝืนมุ่งหน้าต่อไปอีกแม้แต่หนึ่งจ้าง ข้าก็จะต้องตายไป!” สีหน้ามันเต็มไปด้วยการขัดขืนดิ้นรน และหลับตาลงทำการดูดซับแสงตะวันเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นในที่สุดซุนไห่ก็ลืมตาขึ้นมา พลังของมันพุ่งขึ้นไปราวกับเป็นจักรพรรดิ ขณะที่หยิบเอาที่รัดเกล้าออกมาวางลงไปบนศีรษะ จากนั้นมันก็เริ่มพุ่งขึ้นไป ดิ้นรนจนไปถึงระดับความสูงที่ห้าหมื่นสองพันจ้าง ก่อนจะในที่สุดก็เริ่มหยุดลง
หวังมู่ติดตามซุนไห่ไปอย่างใกล้ชิด พื้นฐานฝึกตนของมันส่งเสียงดังกระหึ่มขึ้น ขณะที่กลิ่นอายแปลกๆ ปรากฏขึ้นอยู่รอบตัว จนดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยธาตุแห่งดวงตะวัน ในมือของมันมีแผ่นหยกที่ดูเหมือนจะสามารถขจัดความมืดมิดในยามราตรีที่มันรับรู้อยู่ที่รอบๆ ตัวออกไปได้ อย่างน่าตกใจยิ่ง มันพุ่งจนสูงขึ้นไปถึงห้าหมื่นสี่พันจ้าง!
เมื่อครบหกสิบสามชั่วยาม หลี่หลิงเอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นมา ในเวลาเดียวกันนั้นซ่งหลัวตานก็ลืมตาขึ้นมาด้วยเช่นกัน ต่างคนต่างก็ไม่มองกัน แต่ก็หยิบเอาของวิเศษออกมาจากเสื้อของตนเองโดยพร้อมเพรียงกัน
หลี่หลิงเอ๋อร์หยิบเอาขวดเวทออกมาปล่อยให้ลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง มีหยดน้ำไหลซึมออกมาเป็นระยะ เมื่อหยดน้ำนั้นกระทบไปบนร่างหลี่หลิงเอ๋อร์ พวกมันก็กลายเป็นสายน้ำที่นางทำการดูดซับเข้าไป
ซ่งหลัวตานหยิบเอาหลัวผานที่เป็นผลึกโปร่งใสออกมา ซึ่งได้กระจายปราณออกมาเป็นระยะ และมันก็สูดปราณนั้นเข้าไปทางจมูกและปาก
เช่นเดียวกับไท่หยางจื่อ คนทั้งสามกำลังใช้สิ่งของที่ทางต้นสังกัดของพวกมันได้จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะออกมา เป็นของวิเศษที่มีประโยชน์ในการต่อต้านแสงตะวัน พลังของพวกมันกระจายออกมา และพวกมันก็พุ่งทะยานขึ้นไปแทบจะในเวลาเดียวกัน
“พวกมันเป็นผู้ถูกเลือก และข้าก็เป็นเช่นเดียวกัน!” ซ่งหลัวตานคิด “มีแต่ต้องสยบพวกมันไว้ใต้ฝ่าเท้าของข้า ข้าถึงจะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางของตนเองได้สำเร็จ!”
“โชคชะตาเซียนได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว และข้าก็มีต้นเถาวัลย์ประกายเซียน” หลี่หลิงเอ๋อร์คิด “ข้ามองเห็นเส้นทางที่จะเป็นเซียนของข้าแล้ว และข้าก็จะต้องทำได้สำเร็จ!”
สี่หมื่นจ้าง, ห้าหมื่นจ้าง…ที่ความสูงห้าหมื่นห้าพันจ้าง ซ่งหลัวตานกระอักโลหิตออกมา ร่างกายมันถูกโอบล้อมไว้ด้วยเปลวไฟ ในที่สุดมันก็ไร้ทางเลือกนอกจากต้องหยุดลง หลี่หลิงเอ๋อร์อดทนต่อไปจนกระทั่งสูงขึ้นไปที่ระดับห้าหมื่นแปดพันจ้างก่อนที่จะหยุดลง ใบหน้านางซีดขาว โลหิตไหลซึมออกมาจากปาก ซึ่งได้กลายเป็นสายน้ำแห่งโลหิตไปในทันที
ซ่งหลัวตานหัวเราะหึๆ อย่างขมขื่นออกมา หลับตาลงและเริ่มดูดซับแสงตะวัน หลี่หลิงเอ๋อร์ไม่พูดอะไรออกมา นางมองไปยังตำแหน่งหกหมื่นจ้าง ซึ่งห่างออกไปแค่สองพันจ้างเท่านั้น และแอบถอนหายใจออกมา
ตำแหน่งในตอนนี้ของนางคือขีดจำกัดของกายเนื้อนางแล้ว
เวลาผ่านไป เมื่อหนึ่งร้อยชั่วยามมาถึง โจวซินแห่งสำนักกระบี่ไท่สิง และฝานตงเอ๋อร์ต่างก็ลืมตาขึ้นมา พวกมันหยิบเอาของวิเศษที่ใช้ต่อต้านดวงตะวันขึ้นมาด้วยเช่นกัน และบินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พุ่งผ่านคนทั้งหมดไป บรรลุถึงความสูงที่ห้าหมื่นเก้าพันจ้าง ก่อนที่ใบหน้าจะซีดขาว และเริ่มช้าลง อย่างไรก็ตามพวกมันก็ยังคงบังคับให้ตนเองพุ่งขึ้นไปจนถึงระดับความสูงที่หกหมื่นจ้าง ก่อนที่แต่ละคนจะกระอักโลหิตออกมาสามครั้ง จากนั้นก็สั่นสะท้านและนั่งลงขัดสมาธิ ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ
ภาพนี้ทำให้กลุ่มคนตระกูลฟางทั้งหมดที่เฝ้าดูอยู่ ต้องสั่นสะท้านอยู่ภายในใจด้วยความตกตะลึง
“พวก…พวกมันสมควรที่จะถูกเรียกว่าผู้ถูกเลือกจริงๆ!”
“พวกมันทุกคนกำลังต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดของตนเอง! เพื่อเต๋าของตัวเอง เพื่อเส้นทางที่พวกมันปรารถนาจะเดินไป!”
“ในฐานะที่เป็นผู้ถูกเลือก แรงกดดันที่พวกมันรู้สึกและความรับผิดชอบที่พวกมันมีต่างก็เท่าเทียมกัน! พวกมันไม่ยินดีที่จะให้คนอื่นๆ มาแทนที่ตนเอง และทั้งหมดต่างก็กระหายที่จะรักษาชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของตนเองไว้…”
เมื่อชั่วยามที่หนึ่งร้อยยี่สิบมาถึง มีแต่เมิ่งฮ่าวและฟางเว่ยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเขตความสูงสามหมื่นจ้าง ในตอนนี้ฟางเว่ยลืมตาขึ้นมา และมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ยังไม่บรรลุถึงขีดจำกัดอีก…? ไม่เป็นไร นี่ไม่อาจจะพิสูจน์ถึงอะไรได้ และข้า…ก็มีเป้าหมายแค่อย่างเดียวเท่านั้น ต้องบรรลุถึงระดับความสูงหนึ่งแสนจ้างให้จงได้!” พร้อมกับดวงตาที่สาดประกายเจิดจ้า มันลุกขึ้นมายืน ไม่เหมือนกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ มันไม่ได้ใช้ของวิเศษอันล้ำค่าใดๆ แต่ระเบิดพลังออกมา ส่งผลให้เกิดเป็นแสงสีทองกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
ในที่สุด ภาพแห่งธรรมของมันก็ปรากฏขึ้น!
นอกจากแสงสีทองนั้นแล้ว ร่างกายมันยังได้กระจายกลิ่นอายแห่งการเกิดใหม่ออกมาอีกด้วย กลิ่นอายนั้นเริ่มเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด ก็เกิดเป็นกระแสน้ำวนหมุนไปมาอยู่รอบๆ ร่างมัน จากนั้นฟางเว่ยก็เริ่มพุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า
ในการขยับตัวแค่ครั้งเดียว มันก็พุ่งสูงขึ้นไปหนึ่งหมื่นจ้าง!
เมื่อบรรลุถึงระดับความสูงสี่หมื่นจ้าง มันก็เริ่มเชื่องช้าลง อย่างไรก็ตาม ฝานตงเอ๋อร์และคนทั้งหมดที่พุ่งขึ้นไปก่อนหน้ามัน ได้แต่มองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“มันไม่ได้ใช้ของวิเศษใดๆ! มันพึ่งพาแต่พื้นฐานฝึกตนและกายเนื้อของตัวเองเท่านั้น!”
“มันกำลังใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เหมือนใครออกมา นั่นก็คือกลิ่นอายแห่งการเกิดใหม่…นั่นต้องเป็นหนึ่งในเวทพิเศษของตระกูลฟางอย่างแน่นอน เวทหนึ่งรำพึงการเกิดใหม่!”
คนทั้งหมดในตระกูลฟาง ซึ่งรวมทั้งผู้อาวุโสที่อยู่ในคฤหาสน์โบราณ กำลังเฝ้ามองไป ขณะที่ฟางเว่ยบรรลุถึงเขตความสูงสี่หมื่นจ้าง
“เกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง!” ฟางเว่ยร้องคำราม ทันใดนั้นกลิ่นอายแห่งการเกิดใหม่ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัวมันก็ระเบิดออก เสียงกระหึ่มได้ยินขึ้นมาอย่างน่าตกใจยิ่งขณะที่…ภาพแห่งธรรมภาพที่สองได้ปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านหลังมัน
ภาพแห่งธรรมนี้ไม่ได้ดูคล้ายกับภาพแห่งธรรมภาพแรก มันดูเลือนลางไม่ชัดเจน
ทันทีที่ภาพแห่งธรรมภาพที่สองปรากฏขึ้น ร่างฟางเว่ยก็แวบขึ้น และมันก็พุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง บรรลุถึงระดับความสูงห้าหมื่นจ้างอย่างรวดเร็ว
เสียงพูดคุยกันอย่างเซ็งแซ่ดังก้องขึ้นมาจากด้านล่าง จิตใจของซ่งหลัวตานและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“เกิดใหม่เป็นครั้งที่สาม!” ฟางเว่ยร้องตะโกนขึ้น ขณะที่เสียงอันน่าตกใจของมันดังก้องออกไป…ภาพแห่งธรรมภาพที่สามก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง พื้นฐานฝึกตนของมันส่งเสียงดังกระหึ่มอย่างสูงสุด ขณะที่มันพุ่งขึ้นไปเป็นครั้งที่สาม เสียงกึกก้องได้ยินมาขณะที่มันบรรลุถึงความสูงหกหมื่นจ้างในทันที
มันต้องการจะทำให้ทุกคนสยบอยู่ใต้เท้าของมัน!
กลุ่มฝูงชนทั้งหมดตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย อันที่จริงไม่มีใครในตระกูลฟาง จะสามารถมองเห็นถึงเขตความสูงหกหมื่นจ้างในท้องฟ้าได้จริงๆ มีแต่ผู้แข็งแกร่งอย่างที่สุดเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้ อย่างไรก็ตามคนที่สามารถมองเห็นต่างก็มีความตื่นเต้นขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนในสายโลหิตของฟางเว่ยต่างก็ร่าเริงขึ้นมา
“เวทกำเนิดใหม่สามารถให้กำเนิดขึ้นมาได้สี่ชีวิต พรสวรรค์ของเว่ยกงจื่อช่างน่าตกใจยิ่งนัก ที่มันสามารถจะกลั่นสกัดได้ถึงสามชีวิต!”
“มัน…มันยังไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเซียนเลย! เมื่อไหร่ที่มันทะลวงผ่านไปได้ ก็จะต้องเป็นเซียนขั้นสูงสุดที่มีชีพจรเซียนเก้าสิบจุดอย่างแน่นอน!”
“ด้วยการมีผู้ถูกเลือกเช่นนี้ ตระกูลฟางของพวกเราถูกลิขิตให้คงอยู่ตลอดไป!”
ฟางเว่ยลอยตัวอยู่ที่ความสูงหกหมื่นจ้าง จากมุมมองของมัน สามารถจะมองเห็นส่วนโค้งของดวงดาว และแทบจะเหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มันไม่ได้กระอักโลหิตออกมา ขณะที่มองลงไปยังผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ซึ่งมีสีหน้าที่หลากหลาย รวมทั้งเมิ่งฮ่าว
เมื่อมันมองไปยังเมิ่งฮ่าว ก็ตระหนักว่าดวงตาของเขาไม่ได้ปิดอยู่ แต่เขากำลังจ้องมองกลับมายังฟางเว่ยด้วยแววตาที่ลึกล้ำ
อันที่จริงเมิ่งฮ่าวได้ลืมตาขึ้นมาก่อนหน้านี้ ในตอนที่ฟางเว่ยได้เริ่มพุ่งขึ้นไป ทันทีที่สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน ฟางเว่ยก็มองเห็นแสงอันคมกริบที่อยู่ในดวงตาเมิ่งฮ่าว และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาได้
ต่อมา ริมฝีปากของเมิ่งฮ่าวก็ขยับขึ้นอย่างช้าๆ และถึงแม้ว่าเขาไม่ได้พูดออกมา แต่ทันใดนั้นฟางเว่ยก็รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังพูดนั้นคืออะไร
“ผลเนี่ยผานของข้า ยอดเยี่ยมหรือไม่?”
ทันใดนั้น ดวงตาฟางเว่ยก็เบิกกว้าง และสีหน้ามันก็เคร่งเครียดขึ้น