Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 981

ตอนที่ 981

ตะเกียงวิญญาณภาพลวงตา

เสียงนั้นดังออกมาจาก…สำนักเซียนอสูรโบราณ!!

มันอยู่ตรงตำแหน่งอันลี้ลับในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเลที่เก้า เป็นสถานที่ซึ่งจะถูกเปิดออกในทุกช่วงของปีที่ถูกกำหนดไว้ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเศษซากเซียน ไม่ใช่เป็นสิ่งลึกลับเช่นเดียวกับซากปรักหักพังเหล่านั้น แต่เนื่องจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อีกแห่ง ทำให้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามซึ่งอยู่ภายในขุนเขาทะเลที่เก้า

เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเปิดออก ผู้ถูกเลือกจากดวงดาวต่างๆ ก็จะเดินทางเข้าไปในสำนักเซียนอสูรโบราณ ซึ่งเป็นสถานที่ทั้งดูคุ้นเคยและแปลกตาสำหรับคนทั้งหมด

สถานที่ตั้งอันดั้งเดิมของมันถูกสร้างขึ้นมาโดยราชันหลี่ เป็นสถานที่ซึ่งทั้งตระกูลจี้และฟางได้อยู่อาศัยจนเจริญรุ่งเรือง และเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเซียนอสูรโบราณมาก่อน มันได้คงอยู่มาหลายชั่วอายุคน ตลอดช่วงเวลาที่ถูกเรียกว่ายุคใหม่

ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และสามนิกายหกสำนักในยุคใหม่นี้ต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน มีแต่สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักเซียนอสูรโบราณในสมัยนั้น

ตำนานได้กล่าวไว้ว่า สิ่งมีชีวิตอันดุร้ายที่คงอยู่ในที่แห่งนั้น ซึ่งแม้แต่ราชันจี้ก็ยังต้องหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า เยี่ย! (ราตรี)

ตำนานได้กล่าวไว้ว่า เยี่ยสามารถควบคุมพลังแห่งกาลเวลาและความว่างเปล่าได้ สามารถจะส่งผู้คนเข้าไปในสมัยโบราณ ตกอยู่ในห้วงที่คล้ายกับเป็นความฝัน…

ตำนานได้กล่าวไว้ว่า มีคนผู้หนึ่งในสำนักเซียนอสูรโบราณ ได้อาศัยอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งตราบชั่วนิรันดร์ บางครั้งก็จะหัวเราะออกมา บางครั้งก็จะร้องไห้ และบางครั้งก็มักจะยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ…

ตอนนี้ เสียงนั้นได้ดังก้องออกมาจากสำนักเซียนอสูรโบราณ และในทันทีที่เมิ่งฮ่าวได้ยิน เขาก็จดจำได้ว่านั่นคือเสียงของ…เคอจิ่วซือ!!

เพราะมันเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและก้าวร้าว เพราะมันเป็นคนที่เย่อหยิ่งและทระนง เพราะมันได้ประสบกับภัยพิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า บิดาของมัน, เคออวิ๋นไห่ จึงได้เปลี่ยนนามของมันเป็นจิ่วซือ (คิดเก้าครั้ง) เพื่อคอยย้ำเตือนบุตรชายอยู่เสมอว่า แทนที่จะขบคิดทบทวนเรื่องราวสามครั้งก่อนที่จะกระทำการใดๆ ก็ให้มันคิดทบทวนถึงเก้าครั้ง!

เมิ่งฮ่าวเริ่มสั่นสะท้าน ไม่เคยคาดคิดว่าในท่ามกลางการเปิดชีพจรเซียนของตนเอง หลังจากที่โชคชะตาทั้งหมดได้ปะทุขึ้นมา โชคชะตาจากสำนักเซียนอสูรโบราณ…ก็ยังได้ปะทุขึ้นมาอีกด้วย

เคอจิ่วซือ เป็นนามที่ไม่อาจจะถูกลบเลือนไปได้ แต่ที่ยิ่งยากจะลืมเลือนไปมากกว่านั้นก็คือ…เคออวิ๋นไห่

ท่านคือไต้ฟู่ (บิดาบุญธรรม) ของเมิ่งฮ่าว เป็นคนที่ทำให้เมิ่งฮ่าวได้พบกับความรักของบิดาได้ในที่สุด เป็นความทรงจำที่เขาไม่อาจจะลืมเลือนไปได้ตราบชั่วนิรันดร์

เมื่อไหร่ที่คิดไปถึงเคออวิ๋นไห่ ดวงตาของเมิ่งฮ่าวก็จะเริ่มแดงเรื่อ และหยดน้ำตาก็จะเอ่อล้นออกมาอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ เขาคิดถึงเคออวิ๋นไห่ คิดถึงสิ่งทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสำนักเซียนอสูรโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิดถึงบุรุษซึ่งมีความรักของบิดาที่หนักแน่นราวขุนเขา

“เสี่ยวตี้ (น้องชาย) ข้าจะมอบชีพจรเซียนให้กับเจ้าแทนฟู่จวิน (ท่านพ่อ) เอง…” เมิ่งฮ่าวรู้มานานแล้วว่า เนื่องจากคำรับรองที่เขาได้รับมาจากเคออวิ๋นไห่…ทำให้ตอนนี้เคอจิ่วซือได้กลายเป็นพี่ชายของเขาไปแล้ว

เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวด้วยแววตาที่ครุ่นคิด คำพูดที่เขาเพิ่งจะได้ยินนี้ ดูเหมือนว่าจะนำเขากลับเข้าไปในห้วงเวลานั้น

ที่ด้านนอกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงบริเวณใกล้เคียงกับสำนักเซียนอสูรโบราณ เป็นสถานที่ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอก ลึกลงไปในกลุ่มหมอกเหล่านั้นเป็นซากปรักหักพังอันไร้จุดสิ้นสุด…ภายในซากปรักหักพังนั้นไม่มีทั้งสวรรค์และปฐพี มีเพียงความมืดมิดเท่านั้น

ในที่แห่งนั้น สามารถจะมองเห็นได้อย่างเลือนลางถึง…ยอดเขาแห่งหนึ่ง ที่บนสุดยืนไว้ด้วยเงาร่างในชุดสีขาว เสื้อผ้าพลิ้วไสวไปมา และบุรุษผู้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะนิ่งเงียบไปชั่วนิรันดร์

บนยอดเขาแห่งนั้นมีโลงศพอยู่หนึ่งโลงด้วยเช่นกัน…

บุรุษชุดขาวผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นเคอจิ่วซือ ซึ่งได้ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูท่าทางเก่าแก่โบราณ เต็มไปด้วยความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกที่ทำให้ต้องถอนหายใจออกมา

“เสี่ยวตี้ ท่านพ่อได้จากไปแล้ว แต่…ข้าจะคอยดูแลเจ้าจากที่แห่งนี้เอง” มันพึมพำขึ้นมา โบกสะบัดมือขวา จากนั้นก็ชี้ออกไปยังที่ห่างไกล ทันใดนั้นซากปรักหักพังของสำนักเซียนอสูรโบราณก็เริ่มสั่นสะเทือนอยู่นานสักพัก จนดูเหมือนว่าเยี่ยที่กำลังหลับใหลอยู่ กำลังสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

ในเวลาเดียวกันนั้น เวลาก็ดูเหมือนว่าจู่ๆ ได้ไหลผ่านไปที่เบื้องหน้าของเคอจิ่วซือ มันไหลผ่านย้อนกลับ สิบปี, หนึ่งร้อยปี, หนึ่งพันปี, หนึ่งหมื่นปี…หนึ่งแสนปี…

อาคารบ้านเรือนนับไม่ถ้วน และซากศพจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ซากปรักหักพังค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมา และกลุ่มผู้คนที่ตายไปก็ลุกขึ้นมายืน ร่างกายเริ่มมีเลือดเนื้อขึ้นมาอีกครั้ง สวรรค์และปฐพีที่หายไปได้ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์

เสียงสวดมนต์และเสียงหัวเราะได้ยินมา มองเห็นสายรุ้งอยู่ในท้องฟ้า ใครบางคนกำลังเทศนาเกี่ยวกับเต๋าอยู่ และสัตว์อสูรที่แผดร้องคำรามก็มองเห็นได้จากยอดเขาทั้งหมด มีมังกรปีกวารีที่ดูคล้ายกับเป็นราชันแห่งท้องนภาอยู่หนึ่งตัว กำลังแหวกฝ่าอากาศจนเป็นเสียงแหลมเล็กออกไป

ทุกสิ่งทุกอย่าง…ฟื้นฟูกลับคืนมา ยอดเขาที่เคอจิ่วซือยืนอยู่ หรือแม้แต่ถ้ำแห่งเซียนของเคออวิ๋นไห่ ทั้งหมดต่างก็กลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนเดิม แสงอันเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า แรงกดดันขนาดใหญ่กดทับลงมายังทุกสรรพสิ่ง

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มขึ้น ขณะที่ประตูถ้ำแห่งเซียนของเคออวิ๋นไห่ค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวเท้าเดินออกมา สีหน้าเคร่งขรึมแต่ก็ไม่ได้มีโทสะ…เคออวิ๋นไห่นั่นเอง!

กลิ่นอายของท่านกระจายเป็นแสงอันเจิดจ้าออกมา ไม่มีกลิ่นอายแห่งความตายแม้แต่น้อยนิดที่จะรู้สึกได้ ท่านมีกลิ่นอายของผู้ยิ่งใหญ่ ชนิดที่ว่าถ้ามันระเบิดออกมาแล้วละก็ คงจะทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้านปฐพีต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน

เคออวิ๋นไห่เดินออกมา จากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนยอดเขา ไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดียวกับเคอจิ่วซือ คนทั้งสองซ้อนทับซึ่งกันและกัน…

ยากที่จะบอกได้ว่านั่นคือปีไหน หรือเดือนอะไร หรือวันที่เท่าไหร่ ในตอนที่เคออวิ๋นไห่ไปยืนอยู่บนยอดเขา ซ้อนทับกับบุตรชายของท่าน ท่ามกลางห้วงกาลเวลาที่ผ่านเลยไป

หลังจากที่ผ่านไปนานชั่วครู่ เคออวิ๋นไห่ก็ยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ตะเกียงวิญญาณของท่านได้ลอยออกมา มีตัวตะเกียงเป็นมังกรและไส้ตะเกียงเป็นหงส์ เมื่อมันลอยไปตกอยู่บนฝ่ามือ เคออวิ๋นไห่ก็มองไปยังเปลวไฟวิญญาณเป็นเวลานาน จากนั้นก็ยิ้มออกมา โบกสะบัดมือและมังกรก็ลอยขึ้นไป กระจายความรู้สึกของอสูรที่ทรงพลังออกมาในทันที กลุ่มเมฆและสายหมอกพลุ่งพล่านปั่นป่วน ขณะที่มันแผดร้องคำรามด้วยเสียงกระหึ่มอย่างน่าตกใจ จนทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน

“มังกรเซียนอสูร” เคออวิ๋นไห่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

ในเวลาเดียวกับที่เคออวิ๋นไห่กล่าวคำพูดนี้ออกมา เคอจิ่วซือก็พึมพำขึ้นด้วยคำพูดเดียวกันนั้น

“มังกรเซียนอสูร”

ท่าทางของมันเหมือนกับเคออวิ๋นไห่ขณะที่ทำการโบกสะบัดมือ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือว่าไม่มีตะเกียงวิญญาณหงส์มังกรอยู่ในมือของมัน

“มังกรตัวนี้แปลงร่างมาจากโชคชะตาของสำนักเซียนอสูร ประกอบไปด้วยแก่นแท้บางอย่างของขุนเขาที่เก้า และเหมาะสำหรับการเปิดชีพจรเซียนเป็นอย่างยิ่ง” เคออวิ๋นไห่กล่าวขึ้น ชี้นิ้วออกไป และมังกรเซียนอสูรก็พุ่งขึ้นไปในหมู่เมฆ หายตัวไปในชั่วพริบตา

เมื่อมังหรหายตัวไป ภาพของเคออวิ๋นไห่ก็เริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ ในที่สุดก็เหลือเพียงแค่เคอจิ่วซืออยู่เท่านั้น ตลอดช่วงเวลาไม่กี่อึดใจต่อมา สำนักเซียนอสูรโบราณก็ผ่านห้วงกาลเวลาไปนานหลายปีจนกระทั่งกลับมาอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ อีกครั้งที่มันกลายเป็นซากปรักหักพัง และเต็มไปด้วยซากศพ

เสียงถอนหายใจได้ยินดังก้องออกไปทั่วทั้งพื้นดิน ขณะที่ดวงตาของเยี่ยได้ลืมขึ้นมา

ด้านบนสุดของยอดเขา ดวงตาของเคอจิ่วซือเต็มไปด้วยหยดน้ำตา

“เตีย…ข้าคิดถึงท่านนัก…” มันพึมพำ หลังจากผ่านไปนานสักพัก ก็มองขึ้นไปในท้องฟ้าที่มืดมิดและชี้นิ้วขึ้นไป กลุ่มเมฆที่ด้านบนพลุ่งพล่านปั่นป่วน จากนั้นก็เปิดออกเผยให้เห็นเป็นมังกรโบราณกำลังบินลงมา

มันคือ…มังกรเซียนอสูรตัวเดียวกันนั้น

ก่อนหน้านี้ไม่มีมังกรปรากฏอยู่ แต่เป็นเพราะพลังของเยี่ย ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจากในสมัยโบราณ

“ไป…” เคอจิ่วซือพึมพำ “เสี่ยวตี้ ข้าขอมอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับเจ้าแทนท่านพ่อ” มันโบกสะบัดมือ ทำให้มังกรเซียนอสูรแผดร้องคำราม และจากนั้นก็พุ่งผ่านกลุ่มเมฆจนหายลับไปในที่ห่างไกล

ขณะที่มังกรพุ่งออกไป เงาร่างของเคอจิ่วซือก็เริ่มสลัวเลือนลางลงไปอย่างช้าๆ และสำนักเซียนอสูรโบราณทั้งหมดก็เริ่มจมลงไปในกลุ่มหมอกอย่างรวดเร็ว…

มังกรเซียนอสูรพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และในที่สุดก็มาปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ตรงด้านนอกของดาวตงเซิ่ง

เมิ่งฮ่าวกำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขณะที่มองไป เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเคออวิ๋นไห่บนร่างของมังกรตัวนี้ได้อย่างชัดเจน

“ไต้ฟู่ (ท่านพ่อบุญธรรม)…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ จิตใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่มังกรเซียนอสูรหลอมรวมเข้าไปในร่าง เขาไม่ได้ทำการต่อต้านใดๆ ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา และชีพจรเซียนก็เปิดขึ้นในทันที

มันคือ…ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด!

มันคือ…สิ่งที่เคออวิ๋นไห่ได้ประทานให้มา และเป็นของกำนัลจากเคอจิ่วซือ

ตูมมมมมมม!

กลิ่นอายเมิ่งฮ่าวระเบิดขึ้นไปอย่างรุนแรง ไกลเกินกว่าก่อนหน้านี้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นทำให้สามารถมองเห็นเป็นภาพของตะเกียงอยู่ที่ด้านหลังได้อย่างเลือนลางอีกด้วย!!

ทันใดนั้น ประตูเซียนที่กำลังจะหายไป ก็ดูเหมือนจะถูกกระชากให้เปิดออก ด้วยหัตถ์ยักษ์ที่มองไม่เห็น แสงเซียนพุ่งออกมา และปราณเซียนก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง เต็มอยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าว ไหลเข้าไปในชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดของเขา ทำให้มันตกผลึกแข็งตัวลงอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดชีพจรเซียนก็ก่อตัวขึ้นมาโดยสมบูรณ์ และมังกรเซียนอีกตัวก็ส่งเสียงแผดร้องคำรามพุ่งทะยานผ่านประตูเซียนออกมา

มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด กระจายกลิ่นอายอสูรออกมา จนดูเหมือนว่าจะพุ่งผ่านกาลเวลามาด้วยตัวมันเอง ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันมีสีอะไร แต่ก็สามารถจะบอกได้ว่ามังกรตัวนี้เก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด ราวกับว่ามันคงอยู่มาหลายชั่วรุ่นจนไม่อาจจะนับได้

ในเวลาเดียวกับที่มังกรเซียนตัวใหม่นี้ปรากฏขึ้น จื่อเซียงที่กำลังนั่งอยู่ในสำนักเซียนอสูรยุคใหม่ ทั่วทั้งสำนักเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง และของเซ่นไหว้ภายในสำนักก็เริ่มสั่นไปมา ราวกับว่าพวกมันได้เกิดปฏิกิริยากับบางสิ่งบางอย่างอยู่

กลิ่นอายของเมิ่งฮ่าวพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และผู้ฝึกตนทั้งหมดที่มองเห็นตะเกียงภาพลวงตาซึ่งอยู่ที่ด้านหลังของเมิ่งฮ่าว ต่างก็ตกตะลึงและรู้สึกว่าจิตใจกำลังหมุนคว้าง ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะทำให้พวกมันรู้สึกประหลาดใจมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนกขึ้นมาได้อีกครั้ง

“นั่นคือ…ตะเกียงวิญญาณ!?”

“ฟางฮ่าวช่างแข็งแกร่งอย่างที่ยากจะเข้าใจได้! มัน…มันทำให้ตะเกียงวิญญาณภาพลวงตาปรากฏขึ้นได้จริงๆ!!”

“ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ภาพลวงตา แต่ก็ต้องเป็นตะเกียงวิญญาณอย่างแน่นอน!”

เสียงพูดคุยดังก้องไปทั่วทั้งอาณาเขตต่างๆ ในขุนเขาทะเลที่เก้า

ในเต๋าคุนหลุน ฉู่อวี้เยียนกำลังจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวอยู่ตลอดเวลา เฝ้ามองไปขณะที่เขาเปิดชีพจรเซียนขึ้นมาจุดแล้วจุดเล่า ใบหน้านางแดงระเรื่อขึ้น และดวงตาก็สาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า

เมิ่งฮ่าวได้ประทับลึกอยู่ภายในจิตใจนาง อย่างที่ไม่อาจจะลบเลือนไปได้มานานแล้ว

ตานกุ่ยยืนห่างออกไปที่ด้านข้าง ยิ้มออกมาขณะที่เต๋าคุนหลุนทั้งหมดมองไปยังภาพลวงตานั้นพร้อมกับปากที่อ้าค้าง ท่านส่ายหน้าและรอยยิ้มก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

“การที่ศิษย์ของตนเองเก่งกว่า…ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วยเช่นกัน” ท่านคิดอยู่ภายในใจ

ในเวลาเดียวกันนั้น บนดาวตงเซิ่งก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนอย่างน่าเหลือเชื่อ กลุ่มคนตระกูลฟางมองไปยังภาพนั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ฟางซิ่วซานถอยโซเซไปทางด้านหลังสองสามก้าว จากตอนที่ทัณฑ์เซียนของเมิ่งฮ่าวเริ่มขึ้น มันเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงจุดที่แทบจะพังทลายลงไปได้ทุกเมื่อ

“เป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นไปไม่ได้…” มันแทบไม่อยากจะเชื่อว่า กำลังมองไปยังตะเกียงที่ดูสลัวเลือนลางตรงด้านหลังของเมิ่งฮ่าว

ฟางเว่ยลอยตัวอยู่กลางอากาศ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ร่างกายกำลังสั่นสะท้าน และความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวก็สูญสลายไปอย่างรวดเร็ว

ผู้เฒ่าสูงสุดตกตะลึงจนพูดไม่ออกราวกับเป็นไก่ไม้ที่แข็งทื่อ และจิตใจกำลังหมุนคว้าง

“ก่อนหน้านี้เหล่าฟูช่าง…ผิดพลาดนัก” ในที่สุดมันก็พูดพึมพำออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ที่ถูกสะกดข่มไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดมา

——————–

หมายเหตุ : ไก่ไม้ (木鸡) มาจากคำว่า 呆若木鸡 (ไตโร่วมู่จี) หมายความว่า ตกตะลึงจนพูดไม่ออก นิ่งแข็งเหมือนกับเป็นไก่ที่ถูกแกะสลักมาจากท่อนไม้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!