บทที่ 104 : พรสวรรค์ที่แท้จริง
คำขอของจ้าวเฟิงนั้นทำให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องสั่นศีรษะ
“พรสวรรค์ของทุกคนนั้นถูกกำหนดแน่นอนตั้งแต่ยามที่พวกเขาเกิด มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง…”
ทว่าภายใต้สายตาคาดหวังของเด็กหนุ่ม เจ้าเมืองกว่านจวินก็ได้นำคริสตัลทรงกลมออกมาจากภายในห้อง
จ้าวเฟิงนั้นมีกายครึ่งจิตวิญญาณในคราที่แล้วซึ่งค่อนข้างสร้างความผิดหวังให้กับเจ้าเมืองกว่านจวิน ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้มีความหวังมากมายในครั้งนี้
พรสวรรค์ของคนทั่วไปนั้นคือกายมนุษย์ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ต่ำ กลาง สูง และสุดยอด
กายครึ่งจิตวิญญาณนั้นหมายถึงว่ามันได้เหนือกว่าคนจำนวนมากแล้ว ทว่ามันยังไม่อาจนับเป็นอันใดได้เมื่อเทียบกับอัจฉริยะที่แท้จริง
จ้าวเฟิงรับคริสตัลทรงกลมใสนั้นไปก่อนจะสูดลมหายใจลึกและเพ่งพลังจิตของเขาลงไปภายในนั้น
วิ้ง
แสงทรงกลมสีขาวปรากฏขึ้นภายในคริสตัล
หนึ่งวงแสง… หนึ่งวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง… สองวงแสง… สองวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง…
เมื่อมันเข้าสู่สองวงแสง ความเร็วของการก่อตัวจึงเริ่มช้าลง เมื่อมันเข้าสู่สองวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง มันก็แทบจะหยุดลง ทว่าจ้าวเฟิงนั้นกลับเต็มไปด้วยความยินดี
คราวที่แล้วเขาได้ใส่ความพยายามทั้งหมดของเขาลงไป และมันหยุดลงเพียงแค่ที่หนึ่งวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน มันกลับมีมากขึ้นอีกหนึ่งวงแสง
ตึก! ตึก!
เพียงแค่การก่อตัวของแสงสีขาวนั้นหยุดลง มันพลันขยายออกอีกครั้งเพราะการทดสอบพรสวรรค์นั้นเป็นทั้งร่างกาย สองวงแสงและอีกครึ่งหนึ่งนั้นไม่ได้รวมกับดวงตาซ้ายของเขา บัดนี้ ‘พรสวรรค์’ ของดวงตาซ้ายได้ถูกนับรวม ผลลัพธ์จึงเปลี่ยนแปลงไป
สองวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง… สามวงแสง… สามวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง… สี่วงแสง!
วงแสงสีขาวพลันเข้าสู่ขีดจำกัดของกายมนุษย์และไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการหยุดยั้งแม้แต่น้อย ในตอนนั้น กระทั่งเจ้าเมืองกว่านจวินก็ได้เพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังมัน
สี่วงแสง… สี่วงแสงและอีกกึ่งหนึ่ง… ห้าวงแสง… ห้าวงแสงและอีกกึ่งหนึ่ง!
ผลลัพธ์นั้นคือปรากฏวงแสงขึ้นมากกว่าคราวที่แล้วหนึ่งวงแสงเต็มๆ คราวที่แล้ว จ้าวเฟิงนั้นแทบจะไปไม่ถึงห้าวงแสง และในตอนนั้น วงแสงก็ไม่ได้เป็นสีขาวทั้งหมด ดังนั้นแล้วจึงนับได้เพียงแค่ว่าเด็กหนุ่มเป็นกายครึ่งจิตวิญญาณ
หากมันสร้างวงแสงที่ห้าได้เต็มๆ นั่นหมายความว่าเป็นกายจิตวิญญาณ บัดนี้ ผลลัพธ์ของจ้าวเฟิงนั้นอยู่ในระหว่างกายจิตวิญญาณระดับต่ำและระดับกลาง
ผลลัพธ์นี้เทียบเท่าได้กับเฟิงฮันเยว่และหนานกงฟั่น
“เป็นไปไม่ได้! ผลลัพธ์ของเจ้าคราวนี้ดีกว่าคราวที่แล้วนัก สถานการณ์เช่นนี้กระทั่งหายากมากในสำนัก มันราวกับว่าความสามารถแฝงของเจ้านั้นเป็นหนึ่งในคำเล่าลือ กายผันแปร!” เจ้าเมืองกว่านจวินตะลึงงันและยินดีไปในขณะเดียวกัน
ความหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาในที่สุด
“ท่านอาจารย์ กายผันแปรคือสิ่งใด?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“กายผันแปรนั้นเป็นลักษณะที่พิเศษของพรสวรรค์ เมื่อทดสอบ ผลลัพธ์นั้นจะไม่แม่นยำ ทว่าความสำเร็จในท้ายที่สุดของพวกเขานั้นกระทั่งเหนือกว่ากายจิตวิญญาณระดับสูง” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอธิบาย
ไม่แปลกใจเลย จ้าวเฟิงนั้นค่อนข้างที่จะรู้ถึงความหมายของกายผันแปร ทว่าความสามารถแฝงของเขานั้นมาจากดวงตาซ้ายของเขา ซึ่งรวมทั้งการวิวัฒนาการและสร้างร่างกายให้สมบูรณ์ในทุกๆ วินาที
“หากไม่หลอมรวมกับดวงตาซ้าย พรสวรรค์ของข้าย่อมไม่เกินกายมนุษย์ระดับกลาง มันอาจเป็นกระทั่งกายมนุษย์ระดับต่ำ”
จ้าวเฟิงรู้ถึงขีดจำกัดของเขา
ก่อนที่จะหลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้าย พรสวรรค์ของเขานั้นนับว่าธรรมดาอย่างมาก ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อเทียบกับหนานกงฟั่นและเป่ยโม่ยเลย เขาไม่อาจเทียบได้กระทั่งกับจ้าวหลินหลง
เมื่อยืนยันพรสวรรค์ที่แท้จริงของจ้าวเฟิงได้แล้ว เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นทั้งคาดหวังและมีความสุข กายผันแปรนั้นหมายความว่าพรสวรรค์ของคนผู้หนึ่งนั้นไม่แม่นยำยามที่ตรวจวัด ดังนั้นแล้ว พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงนั้นอาจกระทั่งสูงกว่าผลลัพธ์นี้
ทว่าไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงนั้นก็สูงกว่าแต่เก่าก่อน ดังนั้นแล้วอนาคตของเขานั้นคงมีแต่จะยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น
“ลองทดสอบอีกหน่อย” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ย เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ขอรับ”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะขณะที่เพ่งความสนใจและส่งพลังจิตของเขาลงไปยังคริสตัลอีกครั้ง
ทว่าผลลัพธ์นั้นยังคงเหมือนเดิม ห้าวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง
“ห้าวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง ยังคงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างเจ้ากับเป่ยโม่ย เมื่อเขาทดสอบพรสวรรค์ของเขา มันเกือบจะเข้าสู่แปดวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง เจ้าควรจะรู้ว่าแปดวงแสงนั้นหมายถึงจุดสูงสุดของกายจิตวิญญาณ” ผู้เป็นอาจารย์ถอนหายใจ
วงแสงสี่วงแรกนั้นหมายถึงสี่ระดับของกายมนุษย์ วงแสงที่ห้าถึงแปดแสดงถึงกายจิตวิญญาณทั้งสี่ระดับ และพรสวรรค์ของเป่ยโม่ยนั้นได้เข้าถึงแปดวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง
“ยังพรสวรรค์อันใดหรือไม่ที่เหนือกว่ากายจิตวิญญาณ?” จ้าวเฟิงมีความรู้สึกว่ายังมีสิ่งที่เหนือกว่านั้น
“ถูกต้อง! เป่ยโม่ยนั้นห่างเพียงครึ่งก้าวจากกายจิตวิญญาณฟ้าดินในตำนาน” เจ้าเมืองกว่านจวินสูดลมหายใจลึก
กายจิตวิญญาณฟ้าและกายจิตวิญญาณดิน
จ้าวเฟิงนิ่งอึ้ง ดูเหมือนว่าความคิดของเขาจะถูกต้อง
“ปัญหาเพียงอย่างเดียวนั้นคือกายจิตวิญญาณดินและกายจิตวิญญาณฟ้านั้นไม่ถูกค้นพบมาเป็นเวลานานมากแล้ว อย่างน้อยใน 100 ปีที่ผ่านมามันก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นในจักรวรรดิเมฆา เป่ยโม่ยนั้นห่างจากกายจิตวิญญาณดินเพียงก้าวเดียว ดังนั้นแล้วเจ้าควรรู้ว่าความสามารถแฝงของเขานั้นสูงยิ่งนัก”
ผู้เป็นอาจารย์ถอนหายใจขณะที่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเป็นเศร้าโศกอีกครั้ง ทว่าเมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปยังจ้าวเฟิง แสงแห่งความหวังซีดจางก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายนั้นมีกายผันแปรซึ่งความหายากนั้นเทียบเท่าได้กับกายจิตวิญญาณแห่งดิน
“ยังคงมีเวลาเหลืออีก 20 วันจนกว่าจะถึงวันทดสอบเข้าร่วมสำนัก ในช่วงนี้เจ้าสามารถถามข้าเกี่ยวกับสิ่งใดก็ได้ที่เจ้าต้องการ” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยกับศิษย์ของเขา
จ้าวเฟิงรู้ว่าเจ้าเมืองกว่านจวินได้นำความหวังทั้งหมดของอีกฝ่ายมาไว้ยังตัวเขาหมดแล้ว และย่อมให้สิ่งที่เขาต้องการอย่างเต็มที่
สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำคือขอวิชาเซียนเพิ่มขึ้น ทว่าอีกฝ่ายนั้นเอ่ยว่าจะดีที่สุดหากฝึกฝนวิชาเซียนเพียงหนึ่งหรือสองวิชาก่อนจะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ในตอนนี้เด็กหนุ่มได้ฝึกฝนวิชากำแพงเงินของเขาอยู่ และพยายามที่จะทำความเข้าใจสี่กระบวนท่าวายุซึ่งเป็นวิชาเซียนอย่างแน่นอน
หากเขาเลือกวิชาเซียนเพิ่ม มันจะใช้เวลาและความสนใจของเขาไปจำนวนมาก
“หากเจ้าสามารถฝึกฝนวิชากำแพงเงินจนเข้าระดับสิบได้และเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ด้วยเพียงร่างกาย เจ้าจะมีตัวเลือกมากขึ้นสำหรับวิชาเซียนภายในสำนักเมื่อเทียบกับที่มีจำกัดในตำหนักกว่านจวิน” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
วิชาเซียนที่ตำหนักกว่านจวินมีนั้นเทียบไม่ได้กับที่มีในสำนัก
การเลือกเร็วเกินไปจะเป็นการจำกัดอนาคตของจ้าวเฟิง ซึ่งเด็กหนุ่มก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์กล่าว เขาเลือกวิชากำแพงเงินเพราะเขาต้องการพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมั่นคง และในความจริงนั้นเขาก็ทำได้ถูกต้อง
“ท่านอาจารย์ มีขอบเขตแห่งการฝึกตนเท่าใดกัน?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“ภายในสำนักนั้นจะมี เก้าขั้นแห่งขอบเขตรวบรวมปราณ เจ็ดนภาแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และสามสวรรค์แห่งขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง”
เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยถึงระดับของการฝึกตน
ขอบเขตแห่งการรวบรวมปราณ ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ขอบเขตแห่งการรวบรวมปราณนั้นยังเป็นที่รู้จักกันในนามหนทางแห่งผู้ฝึกตนและเป้าหมายของขอบเขตนี้คือการเตรียมพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับอนาคต
ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแบ่งออกเป็นเจ็ดนภา เป็นที่รู้จักกันในนามหนทางแห่งเซียนในสายตาของมนุษย์
ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแบ่งออกเป็นสามสวรรค์และไฮ่หยุนเองก็เป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตนี้
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะจากไป เจ้าเมืองกว่านจวินก็ได้ส่งคริสตัลให้กับจ้าวเฟิง
“เมื่อเจ้ามีเวลาว่าง จงลองทดสอบความสามารถของเจ้าดูอีก เพราะพรสวรรค์ของกายผันแปรนั้นไม่ได้เหมือนเดิมตลอดเวลา” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างคาดหวัง
ชัดเจนว่าเขาหวังว่าพรสวรรค์ของจ้าวเฟิงนั้นจะสูงกว่าเดิม
เด็กหนุ่มรับคริสตัลนั้นก่อนจะกลับไปยังที่พักของเขา
จ้าวเฟิงปิดประตูก่อนจะสูดลมหายใจลึกและส่งพลังจิตลงในคริสตัลทรงกลมใสนั้นอีกครั้ง
หนึ่งวงแสง… สองวงแสง… สามวงแสง… สี่วงแสง…
ตึก! ตึก!
ภายใต้ดวงตาซ้ายที่เต้นตุบ วงแสงนั้นก็ได้ขยายไปเป็นห้าวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง แสงสีครามได้ปรากฏขึ้นบนลูกตาซ้ายของจ้าวเฟิง ขณะที่เขาทดสอบนั้น เขาก็ได้เปิดความสามารถของดวงตาซ้ายจนถึงขีดสุด!
วิ้งงง
คริสตัลทรงกลมส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ และวงแสงก็ปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ห้าวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง… หกวงแสง… หกวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง… เจ็ดวงแสง…
วงแสงที่ปรากฏขึ้นนั้นเริ่มที่จะเชื่องช้าลงเมื่อมันเข้าสู่เจ็ดวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายนั้นก็ยังคงเป็นแปดวงแสงและอีกนิดหน่อย
แปดวงแสงและอีกครึ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ในตอนนี้ ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มได้ถูกใช้จนถึงขีดจำกัดแล้ว
“พรสวรรค์ของดวงตาซ้ายนี่วิปลาสนัก!”
จ้าวเฟิงตื่นตะลึง พรสวรรค์ของเขานั้นเทียบเท่าได้กับเป่ยโม่ยเมื่อเขาพยายามถึงขีดสุด
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าดวงตาซ้ายของเขานั้นมีความสามารถแฝงอันไร้ขีดจำกัด และพลังจะปรากฏขึ้นเมื่อพลังฝึกตนของเขาเพิ่มมากขึ้น
ยังคงเหลือเวลาอีก 20 วันก่อนจะถึงการทดสอบเข้าสำนัก จ้าวเฟิงเพ่งความสนใจไปยังวิชากำแพงเงินของเขาเป็นส่วนมากเพื่อสร้างพื้นฐานที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
สามวันให้หลัง จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะใช้ผงทองเสริมกายา
ผงนี้นั้นมีพลังที่ทั้งกราดเกรี้ยวและรุนแรง มันได้รับฉายาว่าราชาแห่งผงเสริมกายา ตามความต้องการของมันนั้น เด็กหนุ่มได้เทผงนั้นลงในน้ำเดือด
เขาแช่ลงไปในของเหลวเดือดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับกระดูกของเขาได้แหลกละเอียด เป็นความรู้สึกที่แย่เสียยิ่งกว่าความตายเสียอีก!
ไม่แปลกใจเลยที่มันถูกกล่าวไว้ว่าผู้ฝึกตนขั้นแปดที่ใช้มันอาจพิการ ทว่าโชคดีที่เด็กหนุ่มได้ฝึกฝนวิชากำแพงเงินและสามารถควบคุมพลังนี้ได้
ตึก! ตึก!
ภายใต้ดวงตาซ้ายที่เต้นตุบ จ้าวเฟิงสามารถดูดซึมของเหลวทั้งหมดได้ ทว่าในเวลาเดียวกัน ความเจ็บปวดก็รุนแรงขึ้น
เป็นเวลาสามวันสามคืนที่จ้าวเฟิงนั้นได้ใช้ในการดูดซึมพลังงานของผงทองเสริมกายา ส่วนวันที่เหลือนั้นเขาก็ต้องใช้เพื่อซึมซับพลังงานที่หลงเหลือและลับคมร่างกายของเขา
หลังจากใช้ผงทองเสริมกายา วิชากำแพงเงินของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“หากข้าสามารถได้รับผงนี่อีกห่อ ข้าจะสามารถเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับแปดของวิชากำแพงเงินได้” จ้าวเฟิงคิด
เขาตัดสินใจไปหาเจ้าเมืองกว่านจวินเพื่อขอให้อีกฝ่ายช่วยเขาในเรื่องนี้ และครานี้เหลือเวลาเพียงสิบวันก่อนจะถึงวันทดสอบรับศิษย์เข้าสำนัก