บทที่ 105 : เทือกเขานภาจันทร์
จ้าวเฟิงพลันมุ่งหน้าไปยังตำหนักของเจ้าเมืองกว่านจวินในทันที บังเอิญนักที่ข้ารับใช้ของเขาได้บอกกับเขาว่าอาจารย์ของเขาเองก็ต้องการพบเขาเช่นกัน
หอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ภายในห้องอักษร
“การทดสอบเป็นเช่นไรบ้างในไม่กี่วันนี้?” ความคาดหวังปรากฏขึ้นในสายตาของเจ้าเมืองกว่านจวิน
เขาพบว่าศิษย์คนนี้ของเขานั้นมีกายผันแปร ดังนั้นแล้วพรสวรรค์ของเขาย่อมไม่แน่นอน
“ต่ำที่สุดกายครึ่งจิตวิญญาณ และสูงสุดที่กายจิตวิญญาณระดับกลาง” จ้าวเฟิงปกปิดความจริงเอาไว้
“กายจิตวิญญาณระดับกลาง? นั่นถือเป็นระดับมาตรฐานของสำนัก”
ผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ยินดีหรือผิดหวัง เมื่อพรสวรรค์ของกายผันแปรนั้นแตกต่าง ดังนั้นแล้วเหตุการณ์เช่นเป่ยโม่ยย่อมไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง
ยังคงเหลือเวลาอีกสิบวันก่อนจะถึงวันทดสอบเข้าสำนัก และเหตุผลที่เจ้าเมืองกว่านจวินเรียกเด็กหนุ่มเข้าพบนั้นเป็นเพราะสองสาเหตุ
อย่างแรก เขาต้องการที่จะชี้แนะจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มพลันแสดงวิชาของเขาเช่น วิชากำแพงเงิน ดรรชนีดารา ย่างก้าวหมอกผันแปร และนภาลอยล่องให้ผู้เป็นอาจารย์ดู
ในขณะที่แสดงนั้น เขามักจะหลมอรวมกระบวนท่าลมเคลื่อนเข้าไป
เจ้าเมืองกว่านจวินผงกศีรษะและเอ่ยแนะนำสิ่งที่ควรพัฒนาสองสามอย่าง สำหรับความสามารถของจ้าวเฟิงนั้น เขากระทั่งพึงพอใจมากกว่าเมื่อเทียบกับเป่ยโม่ย
ศิษย์ของเขาผู้นี้ได้ฝึกทุกวิชาจนเข้าสู่ระดับสูง และมันกระทั่งทรงพลังกว่าเดิมเมื่อหลอมรวมเข้ากับกระบวนท่าวายุทั้งสี่ กระทั่งบุรุษวัยกลางคนเองก็ไม่อาจหาช่องว่างใหญ่ๆ ได้
“ดีมาก! กระบวนท่าวายุทั้งสี่ของเจ้านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่วิชาเซียนธรรมดา” เจ้าเมืองกว่านจวินผงกศีรษะเอ่ยชม
ไม่ใช่วิชาเซียนธรรมดา?
จ้าวเฟิงรู้สึกสงสัยในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยเล็กน้อย
เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอธิบาย
“ในโลกมนุษย์นั้น มีวิชาระดับพื้นฐาน ต่ำ กลาง และสูง ทว่าวิชาเหล่านั้นไม่อาจเรียกได้ว่าวิชาในสายตาของสำนัก ในสายตาของพวกเขา มีเพียงวิชาเซียนที่นับเป็นวิชา และระดับที่ต่ำที่สุดนั้นเรียกขั้นมนุษย์ สูงกว่านั้นคือขั้นจิตวิญญาณ จากนั้นจึงเป็นขั้นดิน ต่อไปคือขั้นฟ้า”
ในโลกของสำนักนั้น วิชาเซียนนั้นเป็นเพียง ‘ขั้นมนุษย์’ และเป็นระดับที่ต่ำที่สุด
ในบรรดาวิชาเหล่านี้ วิชาขั้นดินและขั้นฟ้าได้สูญหายไปจนหมดแล้ว
เมื่อรับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าเขานั้นมีความรู้น้อยนิดเพียงใด
“ยังคงเหลือเวลาสิบวันจนกว่าจะถึงวันทดสอบ ข้าต้องสอนวิธีเอาชีวิตรอดให้เจ้า” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
นี่เป็นเหตุผลที่สองที่ทำให้เขาเรียกเด็กหนุ่มมา
จ้าวเฟิงพลันให้ความสนใจในทันที อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายนั้นได้อยู่ในสำนักมาก่อนเป็นเวลาพักหนึ่งและรับรู้ถึงสถานการณ์ภายใน
“หลังจากเข้าไปในสำนัก เป้าหมายแรกของเจ้าคือการกลายเป็นศิษย์สายใน เพราะศิษย์สายนอกนั้นจะไม่ได้รับความสนใจใดๆ จากสำนัก บางครั้งสำนักกระทั่งไม่สนใจหากพวกเขาจำนวนหนึ่งตาย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของจ้าวเฟิงก็กลายเป็นเย็นเยียบ
“ไฮ่หยุนนั้นไม่อาจแตะต้องเจ้าได้อย่างง่ายดายหากเจ้ากลายเป็นศิษย์สายใน” ดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินเปล่งประกายระริก
เป้าหมายแรก: ศิษย์สายใน
จ้าวเฟิงสลักมันลงไปในหัวใจ
“แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจทำตัวโดดเด่นเกินไปได้ หรือไม่เช่นนั้นไฮ่หยุนจะพยายามขัดขวางเจ้า ดังนั้นแล้วเป้าหมายที่สองของเจ้าคือได้รับการปกป้องจากผู้อาวุโส ยามนั้นไฮ่หยุนย่อมต้องคิดสองครั้งหากคิดจะทำอันตรายเจ้า” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของผู้เป็นอาจารย์
เป้าหมายที่สอง: หาผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง!
จ้าวเฟิงรับรู้ถึงเป้าหมายทั้งสองของเขาแล้ว หลังจากเอ่ยถามคำถามที่เหลือ เจ้าเมืองกว่านจวินจึงตัดสินใจที่จะให้ทรัพยากรแก่เด็กหนุ่มเป็นพิเศษจำนวนหนึ่ง
“คราที่แล้ว ในการบุกรุกของกองทัพสัตว์อสูร คะแนนของเจ้าถูกเก็บไว้ 100 แต้ม ข้าจะให้แต้มเจ้า 300 แต้มเพื่อกลบเกลื่อนมัน” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
300 แต้มนั้นสามารถทำได้หลายอย่าง
แต้มต่อสู้เหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนกับยาได้ กระทั่งแลกกับผงทองเสริมกายาได้
จ้าวเฟิงพลันเอ่ยขอบคุณผู้เป็นอาจารย์ จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติเพื่อแลกกับทรัพยากรเสริมกายา
เขาได้รู้ว่าไม่มีผงทองเสริมกายาเหลือแล้ว ห่อที่เขาได้แลกไปคราที่แล้วเป็นห่อสุดท้าย สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงแลกเปลี่ยนแต้มของเขากับทรัพยากรระดับต่ำที่คล้ายคลึงกับผงทองเสริมกายาแทนอย่างจนใจ
คราวนี้สิ่งที่ช่วยเสริมกายาเกือบจะหมดลงจากคลังสมบัติ
หลังจากกลับไปยังห้องของเขา จ้าวเฟิงได้ปิดด่านฝึกตนและให้ความสนใจกับวิชากำแพงเงิน
เจ็ดวันต่อมา
วิชากำแพงเงินของเด็กหนุ่มได้เข้าสู่ขั้นปลายของระดับแปด
ในตอนนี้ ร่างกายของเขานั้นได้เข้าสู่ระดับที่น่าผวา เขาสามารถเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นเก้าได้ด้วยเพียงร่างกายเปล่าๆ
“ความแข็งแกร่งของข้านั้นควรเทียบเท่าได้กับเป่ยโม่ยก่อนที่เขาจะจากไป”
จ้าวเฟิงคิด เขามั่นใจว่าบัดนี้ในนครหลวงกว่านจวินไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
ยังเหลือเวลาอีกสามวันก่อนที่จะถึงการทดสอบเข้าร่วมสำนัก
เจ้าเมืองกว่านจวินเรียกศิษย์ทั้งสามของเขา จ้าวเฟิง หยางชิงชั่น และหนานกงฟั่นเข้าพบในที่สุด จ้าวเฟิงกวาดตามองหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นก่อนพบว่าทั้งสองนั้นไม่ได้พัฒนาในด้านของพลังฝึกตน ทว่ากลิ่นอายที่พวกเขาปลดปล่อยออกมานั้นได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ท่านอาจารย์ เราจะไปแล้วหรือ?” หนานกงฟั่นเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ใช่!”
เจ้าเมืองกว่านจวินพลันเอ่ยอธิบาย
“เทือกเขานภาจันทร์นั้นห่างออกไปหลายพันลี้จากที่นี้ และเราไม่มีเวลามากนัก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเด็กหนุ่มทั้งสามก็สั่นสะท้าน
วันนั้น ทั้งสี่ได้ใช้วิชาเคลื่อนไหวของพวกเขาและมุ่งหน้าออกจากตำหนักกว่านจวิน ด้วยความเร็วของพวกเขานั้นสามารถเดินทางได้ถึงหกพันลี้ในหนึ่งวัน ซึ่งกระทั่งรวดเร็วกว่าม้า
คืนหนึ่ง
ทั้งสี่ได้มาถึงยังเชิงเขา
ปึก! ปึก! ปึก!
ทั้งสี่กระโจนขึ้นไปบนอากาศ สูง 20 เมตรต่อหนึ่งครั้ง
“เราถึงแล้ว!”
เจ้าเมืองกว่านจวินหยุดและมองไปยังเทอกเขาที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก ภายใต้แสงจันทรา แสงประกายเย็นเยียบส่องจากเบื้องหลังของเทือกเขา ให้ความรู้สึกกดดันเล็กๆ
นี่คือ ‘เทือกเขานภาจันทร์’
จ้าวเฟิงและอีกสองคนมองไปยังมันเช่นกัน พวกเขาตะลึงกับสิ่งที่เห็น
พื้นที่ใกล้ๆ เทือกเขานั้นเต็มไปด้วยหุบเหวและหน้าผา ซึ่งบางส่วนนั้นยาวหลายลี้
ผู้ฝึกตนขั้นเก้านั้นย่อมไม่อาจข้ามเหวเหล่านี้ไปได้ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ยังต้องระมัดระวังขณะที่ข้ามผ่าน
“นั่นคือทางเข้า” เจ้าเมืองกว่านจวินนำศิษย์ทั้งสามของเขาไป
หลังจากวิ่งไปหลายสิบลี้ ทางรูปตัวยูก็ปรากฏขึ้นซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเทือกเขานภาจันทร์ และบนทางเข้านั้นปรากฏคนราวๆ หนึ่งร้อยคน คนส่วนมากเป็นเด็กหนุ่มสาวที่อายุต่ำกว่าสิบแปดและมีพรสวรรค์สูงยิ่ง พวกเขากำลังรอคอยในการเข้าไปด้านใน
“หืม? เจ้าเมืองกว่านจวิน ท่านก็มารึ?” ชายชราผมสีรุ้งโบกมือให้พวกเขา
เบื้องหลังชายชราผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มสาวสามคน สองบุรุษ หนึ่งสตรี เด็กหนุ่มทั้งสองนั้นต่างอยู่ที่ขั้นเจ็ด ในขณะที่เด็กสาวอายุราว 14-15 ปีอยู่ที่ขั้นแปด
“ฮ่าฮ่า เจ้าเมืองชางตี้ ไม่ได้เจอกันนาน” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยตอบ
ชายชราผมสีรุ้งคือเจ้าเมืองชางตี้ เป็นเจ้าเมืองของนครหลวงใกล้เคียงนาม ‘เป้ยหลิงเก่อ’ และมีตำแหน่งเดียวกับเจ้าเมืองกว่านจวิน
เจ้าเมืองทั้งสองต่างสำรวจเด็กหนุ่มสาวที่ยืนอยู่เบื้องหลังของอีกฝ่าย
“นี่คือหลานสาวข้า ลิวเยว่เอ๋อร์” เจ้าเมืองชางตี้แนะนำเด็กสาวเบื้องหลังเขา
ลิวเยว่เอ๋อร์นั้นอายุราวๆ 14-15 ปี ทว่านางนั้นได้เข้าสู่ขั้นแปด ย่อมหมายความว่านางนั้นค่อนข้างมีพรสวรรค์และเหนือกว่าหนานกงฟั่นยามที่พวกเขาอยู่ในวัยเดียวกัน
ณ ทางเข้านั้น มีเด็กหนุ่มสาวกว่าร้อย ส่วนมากอยู่ที่ขั้นเจ็ด แม้ว่าบางส่วนจะมีพลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นเจ็ด พวกเขาก็ยังเยาว์ อายุราวๆ 12-13 ขวบปี
เมื่อมองไปยังเด็กชายหญิงอายุราวๆ 12-13 ขวบปีและเข้าสู่ขั้นหกแห่งหนทางผู้ฝึกตน จ้าวเฟิงก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อยามที่เขาอยู่ที่หมู่บ้านใบไม้เขียว เขานั้นราวกับกบในบ่อน้ำ
เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างผ่านการทดสอบและสิ่งท้าทายจำนวนมากจนสามารถสมัครเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักจันทร์สลายได้ บางคนนั้นมาจากนครหลวงเช่นจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ขณะที่บางส่วนนั้นมาจากตระกูลใหญ่
ยังมีส่วนเล็กๆ ที่มาจากสายเลือดราชวงศ์ของจักรวรรดิเมฆา
“ดูนั่น นั่นองค์หญิงแห่งจักรวรรดินภา ‘หยวนเซี่ยงเมิง’!” เด็กหนุ่มสาวบางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เมื่อมองตามสายตาของพวกเขาไป จ้าวเฟิงก็พบกับเด็กสาวอายุราวๆ 15-16 ปีพร้อมด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์อย่างยิ่ง พลังฝึกตนของนางนั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นแปดเช่นกันกับหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่น นอกจากนางก็ยังมีอัจฉริยะแนวหน้าอีกจำนวนหนึ่ง ทว่าไม่มีผู้ใดเทียบเท่ากับเป่ยโม่ยได้
มีบางคนที่มีพัลงฝึกตนขั้นเก้า ทว่าพวกเขาได้อายุ 17-18 ปี แก่กว่าเป่ยโม่ยนัก
“เจ้าเมืองกว่านจวิน ผู้ใดกันที่นามเป่ยโม่ย?” เจ้าเมืองชางตี้มองอย่างสนใจไปยังคนทั้งสาม
เมื่อได้ยินชื่อของเป่ยโม่ยถูกหยิบยกขึ้นมา สีหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินก็ได้น่าเกลียดขึ้นเล็กๆ ทว่าเขาไม่ได้เอ่ยอธิบายว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้นั้นขณะที่เขาแนะนำศิษย์ทั้งสาม
เจ้าเมืองชางตี้สามารถรับรู้ได้ว่าในบรรดาคนทั้งสาม จ้าวเฟิงคือผู้นำ
หลานสาวของเขา ลิวเยว่เอ๋อร์ มองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความสนใจ ทว่าอีกฝ่ายนั้นทำเพียงกวาดตามองพวกเขาอย่างลวกๆ ก่อนจะไม่มองมาอีกเลย
ท่าทางของเขาทำให้คิ้วของเด็กสาวกระตุกเล็กๆ…